xs
xsm
sm
md
lg

เดอะ ร็อก กับ โอกาสออสการ์แรกในชีวิต: ยุคใหม่ของดเวย์น จอห์นสันเริ่มต้นแล้ว

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


เดอะ ร็อก ในผลงานใหม่ล่าสุด
ดเวย์น "เดอะ ร็อก" จอห์นสัน—นักมวยปล้ำระดับตำนานผู้ผันตัวสู่ซูเปอร์สตาร์แอ็กชันแห่งฮอลลีวูด—กำลังเดินหน้าสู่เส้นทางที่หลายคนคาดไม่ถึง: รางวัลออสการ์

ในภาพยนตร์ The Smashing Machine ผลงานของเบนนี แซฟดี ที่ร่วมอำนวยการสร้างโดยค่ายอินดี้ชื่อดัง A24 เดอะ ร็อกได้สลัดภาพชายกล้ามโตผู้รอดชีวิตจากทุกระเบิดมาเป็นนักสู้ MMA ผู้เปราะบางทั้งร่างกายและจิตใจ ตัวหนังมีกำหนดฉายช่วงฤดูใบไม้ร่วง—ฤดูเก็บเกี่ยวของเวทีประกวดภาพยนตร์—และมีแนวโน้มสูงว่าจะกลายเป็นหมัดเด็ดของเทศกาลหนังอย่างเวนิสหรือโตรอนโต

หลายเสียงกล่าวว่านี่คือ "The Rock's Oscar play" หรือความพยายามเอื้อมถึงรางวัลออสการ์ครั้งแรกในชีวิต แต่หากพินิจดี ๆ มันคือการปฏิวัติตัวเองแบบเดียวกับแมทธิว แม็กคอนาเฮย์ที่หันหลังให้หนังรักตื้นเขิน และหันมากวาดรางวัลจากบทดราม่าอย่าง Dallas Buyers Club

แม้เดอะ ร็อกจะเคยแสดงบทซีเรียสมาก่อน—เช่น Southland Tales และ Pain & Gain ของไมเคิล เบย์ ซึ่งเขาได้รับคำชมอย่างมากจากการแสดงที่ทั้งตลกร้ายและสะเทือนอารมณ์—แต่ครั้งนี้แตกต่าง เพราะเขาเลือกจับมือกับผู้กำกับระดับศิลปินอย่างแซฟดี ไม่ใช่แค่เพื่อเปลี่ยนภาพลักษณ์ แต่เพื่อพูดบางสิ่งที่ลึกซึ้งและจริงจัง

เดอะ ร็อก และ มาร์ค เคอร์ ตัวจริง
คำถามคือ: มันจะพอไหมให้เขาไปไกลถึงเวทีออสการ์?

บางคนอาจหัวเราะเยาะแนวคิดนี้ เพราะโลกภาพยนตร์ยังมองเขาเป็นเพียงซูเปอร์สตาร์เชิงพาณิชย์ที่เล่นหนังแฟรนไชส์ไม่หยุดหย่อน แต่ The Smashing Machine อาจเป็นจุดเปลี่ยนของเขาในสายตาคอหนังคุณภาพ และแม้ว่าเขาอาจยังไม่คว้ารูปปั้นทองคำในปีนี้ แต่เส้นทางสู่ความเคารพในฐานะ "นักแสดง" มากกว่า "ดารา" กำลังเริ่มต้นอย่างจริงจัง

หลังความล้มเหลวของ Black Adam ทั้งด้านรายได้และคำวิจารณ์ เดอะ ร็อกเริ่มทบทวนเส้นทางอาชีพของตัวเอง เขาหยุดรับโปรเจกต์แบบเรื่อยเปื่อย และเลือกงานที่มีความหมายกับตัวเองมากขึ้น พร้อมทั้งกลับไปหารากฐานที่สร้างชื่อให้เขาอย่าง มวยปล้ำ WWE ซึ่งแม้จะได้รับเสียงตอบรับที่หลากหลาย แต่ก็แสดงให้เห็นว่าเขาต้องการ “รีเซ็ต” ทั้งภาพลักษณ์และความเชื่อมโยงกับแฟน ๆ จากจุดเริ่มต้นของตัวเองอีกครั้ง

หนึ่งในก้าวสำคัญของการเปลี่ยนแปลงนั้นก็คือหนังเรื่องนี้ The Smashing Machine ที่เขาเลือกด้วยตัวเอง ไม่ใช่แค่เพราะบทดราม่าที่ท้าทาย แต่เพราะมันสะท้อนถึงความเจ็บปวด การต่อสู้ และการเยียวยา—ทั้งในตัวละครและในชีวิตจริงของเขาเอง

ภาพในตัวอย่าง
The Smashing Machine ที่นำแสดงโดย ดเวย์น “เดอะ ร็อก” จอห์นสัน และกำกับโดย เบนนี แซฟดี จากฝาแฝดผู้สร้างชื่อจาก Uncut Gems เดิมทีโปรเจกต์นี้เคยเป็น “บายโปรเจกต์” หรือ passion project ของผู้กำกับและนักแสดงชื่อดังหลายคนก่อนจะมาอยู่ในมือของ A24 และเบนนี แซฟดี

The Smashing Machine เป็นเรื่องราวที่สร้างจากชีวิตจริงของ มาร์ค เคอร์ นักสู้ MMA ชื่อดังในยุคแรกเริ่มของ UFC ผู้ต้องต่อสู้ทั้งบนสังเวียนและกับปีศาจภายในอย่างการเสพติดและความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน

หนังเรื่องนี้ถูกพูดถึงมาตั้งแต่ ปี 2019 เมื่อ เดอะ ร็อก ประกาศผ่าน Instagram ว่าเขาได้สิทธิ์สร้างภาพยนตร์ชีวิตของเคอร์ และรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้แสดงบทที่ “เปราะบางที่สุดในชีวิตเขา”

เอมิลี บลันต์ ร่วมแสดงด้วย
โปรเจกต์เคยพัฒนาอยู่ใน Universal Pictures ช่วงหนึ่ง และมี เจฟฟ์ เชียเปอร์ ร่วมเขียนบทในช่วงแรก ๆ ก่อนที่โปรเจกต์จะหยุดนิ่ง

ต่อมาทาง A24 ซึ่งมีชื่อเสียงในการปั้นหนังอินดี้สายประกวด เข้ามารับช่วงและดึง เบนนี แซฟดี มากำกับเดี่ยว (โดยไม่มีจอช แซฟดี) เปลี่ยนโทนหนังให้มีความดิบและดราม่าหนักแน่นตามสไตล์ของเขา

การที่ A24 เข้ามาหนุนหลังหนังเรื่องนี้ ทำให้ The Smashing Machine กลายเป็นมากกว่าหนังดราม่าเกี่ยวกับกีฬา แต่กลายเป็นผลงานที่อาจพา เดอะ ร็อก สู่เวทีออสการ์ได้จริงจังครั้งแรกในชีวิต

ผลงานจาก A24



กำลังโหลดความคิดเห็น