xs
xsm
sm
md
lg

Dongji Rescue บทบันทึกแห่งมนุษยธรรม ในประวัติศาสตร์ที่ถูกลืมเลือน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online



หากลองนึกถึงภาพยนตร์สงครามโลกครั้งที่สอง เรามักคุ้นชินกับเรื่องราวของความกล้าหาญ การเสียสละ และความโหดร้ายที่เกิดขึ้นในสนามรบ แต่จะมีสักกี่เรื่องที่นำเสนออีกด้านของสงคราม...ด้านที่แสดงให้เห็นถึง “มนุษยธรรม” ของคนธรรมดา ที่ส่องประกายสว่างไสวท่ามกลางความมืดมิดของความขัดแย้ง

“Dongji Rescue” หรือในชื่อภาษาไทย “ตงจี๋ เรสคิว พลิกนรกกู้ชีพ” คือภาพยนตร์ที่ทำหน้าที่นั้นได้อย่างทรงพลัง โดยหยิบยกเอาเหตุการณ์จริงบนเรือขนส่งเชลยศึก ลิสบอน มารู (Lisbon Maru) มาตีแผ่เรื่องราวที่ถูกซ่อนไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ และเป็นโอกาสให้เราได้สัมผัสกับความจริงที่เจ็บปวดแต่เปี่ยมไปด้วยหัวใจของคนจากสองโลกที่แตกต่างกัน

ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้เริ่มต้นด้วยฉากการรบที่ยิ่งใหญ่ หรือเสียงปืนที่ดังสนั่น แต่กลับพาเราไปสัมผัสกับวิถีชีวิตอันเรียบง่ายของชาวประมงบนเกาะตงจี๋ (Dongji Island) ในมณฑลเจ้อเจียง ประเทศจีน ปี ค.ศ. 1942 ขณะที่สงครามกำลังโหมกระหน่ำในหลายพื้นที่ พวกเขายังคงใช้ชีวิตอย่างสงบสุขในแบบของตนเอง ทว่าความสงบนั้นก็ถูกทำลายลงในพริบตา เมื่อเรือขนส่งเชลยศึกสัญชาติญี่ปุ่น “ลิสบอน มารู” ซึ่งบรรทุกเชลยศึกชาวอังกฤษกว่า 1,800 คน ถูกเรือดำน้ำอเมริกันยิงตอร์ปิโดเข้าอย่างจังโดยไม่รู้ว่าภายในเรือมีเชลยศึกอยู่ และการจมลงของเรือลำนี้ ไม่เพียงแต่จะส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก แต่ยังได้ปลุกสัญชาตญาณความเป็นมนุษย์ที่ยิ่งใหญ่ของชาวเกาะเล็ก ๆ แห่งนี้ให้ตื่นขึ้น


สิ่งที่ทำให้เรื่องราวของ “ลิสบอน มารู” แตกต่างจากโศกนาฏกรรมทางทะเลอื่น ๆ คือ “ความจริงที่ไม่ถูกกล่าวถึง” หลังจากเรือถูกโจมตี ทหารญี่ปุ่นบนเรือกลับเลือกที่จะปิดล็อกห้องขังเชลยศึกไว้ เพื่อไม่ให้พวกเขามีโอกาสรอดชีวิต และยิงใส่เชลยที่พยายามหนีตายขึ้นมาจากห้องขังอย่างโหดเหี้ยมที่สุด

ความตายที่เกิดขึ้นจึงไม่ใช่แค่เพียงอุบัติเหตุทางทะเล แต่เป็นการกระทำที่โหดร้ายและไร้ซึ่งมนุษยธรรมอย่างสิ้นเชิง ท่ามกลางสถานการณ์ที่สิ้นหวังและชีวิตที่แขวนอยู่บนเส้นด้าย ชาวประมงจากเกาะตงจี๋ที่ได้ยินเสียงระเบิดและเห็นซากเรือกำลังจม ต่างตัดสินใจเสี่ยงชีวิต นำเรือประมงลำเล็กๆ ออกไปช่วยเหลือคนแปลกหน้า

ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างความประทับใจตั้งแต่ฉากแรกด้วยการนำเสนอความสมจริงที่น่าทึ่ง ทั้งการจำลองเรือประมงโบราณ และการถ่ายทำในสถานที่จริงบนเกาะตงจี๋ ซึ่งทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นจริง ๆ การแสดงของนักแสดงนำอย่าง “จูอี้หลง” และ “อู๋เล่ย” ในบทบาทของสองพี่น้องชาวประมง ก็สามารถถ่ายทอดความรู้สึกอันซับซ้อนของมนุษย์ได้อย่างลึกซึ้ง


พวกเขาไม่ได้เป็นเพียงแค่ฮีโร่ในอุดมคติ แต่เป็นคนธรรมดาที่มีความกลัว ความกังวล และความขัดแย้งในจิตใจ การตัดสินใจที่จะช่วยเหลือเชลยศึกชาวอังกฤษ ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมันหมายถึงการต้องเผชิญหน้ากับความเสี่ยงที่จะถูกทหารญี่ปุ่นสังหาร หรือถูกลงโทษอย่างทารุณ แต่พวกเขากลับเลือกที่จะทำตามสิ่งที่หัวใจเรียกร้อง นั่นก็คือการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์โดยไม่สนเชื้อชาติหรือชนชั้น

บทภาพยนตร์ที่เรียบเรียงอย่างเฉียบคมนี้ ไม่ได้มุ่งเน้นแค่การสร้างความตื่นเต้นจากฉากแอ็คชันใต้น้ำหรือการไล่ล่า แต่ยังเจาะลึกไปที่ความสัมพันธ์ที่ก่อตัวขึ้นระหว่างผู้รอดชีวิตชาวอังกฤษกับชาวประมงจีน การสื่อสารที่ต้องใช้ภาษากาย และความเข้าใจที่อยู่เหนือกำแพงภาษา สะท้อนให้เห็นว่าความเป็นมนุษย์นั้นสามารถเชื่อมโยงถึงกันได้โดยไม่ต้องมีคำพูดใด ๆ ความช่วยเหลือที่ชาวเกาะมอบให้ ทั้งการให้ที่พักพิง เสื้อผ้า และอาหาร ไม่ใช่แค่การช่วยชีวิตทางกายภาพ แต่ยังเป็นการเติมเต็มจิตวิญญาณ และการยืนยันว่ายังมี “ความดีงาม” หลงเหลืออยู่ในโลกที่โหดร้ายใบนี้

Dongji Rescue ไม่ใช่เพียงแค่ภาพยนตร์สงครามที่สร้างขึ้นเพื่อความบันเทิง แต่เป็นเครื่องเตือนใจให้เราไม่ลืมเลือนประวัติศาสตร์ และความจริงที่ถูกซ่อนเร้นเอาไว้ การกระทำอันน่าละอายของกองทัพญี่ปุ่นในครั้งนั้นควรถูกจดจำ เพื่อเป็นบทเรียนให้กับคนรุ่นหลัง ขณะเดียวกัน ความกล้าหาญและความมีน้ำใจของชาวประมงจากเกาะตงจี๋ก็ควรถูกเชิดชูขึ้นมาให้โลกรู้ เพราะพวกเขาคือสัญลักษณ์ของมนุษยธรรมที่ส่องประกายท่ามกลางความมืดมิดของสงคราม

ภาพยนตร์เรื่องนี้จึงเป็นมากกว่าการ “พลิกนรก” เพื่อกู้ชีพคน แต่เป็นการ “กู้” ประวัติศาสตร์ที่ถูกลืม และเป็นบทสรุปว่า แม้ในห้วงเวลาที่เลวร้ายที่สุด ความดีงามก็ยังคงมีอยู่ และรอคอยให้เราค้นพบและส่งต่อมันต่อไป ซึ่งนี่คือความจริงที่ภาพยนตร์เรื่องนี้มอบให้กับผู้ชมได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด







กำลังโหลดความคิดเห็น