"แนทเธอรีน" ดีใจพ้นสภาพ BNK48 เสียที ศาลยกฟ้องคดีหมิ่นอดีตต้นสังกัด จ่ายค่าปรับ 1 แสน เตรียมฟ้องกลับเรียก 20 ล้าน ค่าตอบแทนที่ยังได้รับไม่ครบ
จากกรณี บริษัท อินดิเพนเด้นท์ อาร์ทิสท์ เมเนจเม้นท์ จำกัด หรือ iAM ซึ่งเป็นต้นสังกัดของ BNK48 ได้ยื่นฟ้อง "แนทเธอรีน” ดุสิตา กิติสาระกุลชัย อดีตไอดอล คดีหมายเลขดำ พ1806/2563 เรื่องยกเลิกสัญญา และไม่ได้รับของจากแฟนคลับ iAM ซึ่งบริษัทมองว่าเหมือนเป็นการดิสเครดิตกัน รวมทั้งเรียกคืนแอ็กเคานต์โซเชียล
โดยในช่วงเช้าวันนี้ (29 ม.ค.) แนทเธอรีน พร้อม นายดุสิต กิติสาระกุลชัย คุณพ่อ และทีมทนาย นายพงศธร เอมอ่อน, นางสาวปวีณ์นิษฐ์ เอมอ่อน, วริศ อมรชัชวาลกุล ได้เดินทางมาศาลแพ่ง รัชดาภิเษก เพื่อฟังคำตัดสิน ซึ่งศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าคดีหมิ่นประมาทจำเลยไม่ได้โพสต์ข้อความที่มีลักษณะกล่าวหาโจทก์อย่างชัดเจน จึงพิพากษายกฟ้อง ส่วนกรณีเรียกร้องเงินค่าสอนระหว่างอยู่ในสังกัด ศาลพิพากษาให้จำเลยจ่ายเบี้ยปรับ 1 แสนบาท
ซึ่งภายหลังจากฟังคำพิพากษา แนทเธอรีน คุณพ่อ และทีมทนาย ได้ออกมาเปิดใจต่อสื่อมวลชนว่ารู้สึกโล่งขึ้น พร้อมเผยคดีของตนจะเป็นบรรทัดฐานให้สมาชิกคนอื่นในวงต่อไป
แนทเธอรีน : “รู้สึกดีใจค่ะที่เราออกจากวงมาได้แล้ว ก่อนหน้านี้หนูได้ส่งจดหมายลาออกไป แต่ทางวงแจ้งมาว่ายังไม่อนุญาตให้ลาออก ยังไม่อนุมัติ แต่วันนี้ศาลก็ประกาศว่าการรอของหนูมีผลตั้งแต่หนูส่งจดหมายลาออกแล้ว ก็รู้สึกดีใจที่เป็นอิสระ รับงานได้อย่างไม่มีข้อผูกมัดอะไร”
ทนายพงศธร : “ประเด็นที่มีปัญหากันหลักๆ จะมีทั้งหมด 3 ประเด็น ประเด็นแรกการเลิกสัญญา มันเลยกลายเป็นเหมือนว่าเลิกสัญญาไปแล้วหรือยัง ประการที่สองคือเรื่องเฟซบุ๊ก ไอจี จะต้องคืนเขาหรือไม่ สุดท้ายคือเรื่องของการหมิ่นประมาท ศาลก็ตัดสินออกมาแล้วทั้ง 3 ประเด็น ประเด็นแรกเรื่องสัญญา มันเลิกไปแล้วตั้งแต่วันที่เราบอกเลิกไป ส่วนเรื่องข้อกฎหมายและค่าชดใช้ ทางเราฟังคำพิพากษาแล้วก็ยินดี ถ้ามันทำให้เรายุติสัญญาไปโดยที่ทำให้เราสบายใจ”
คุณพ่อดุสิต : “ในคำฟ้องคือเขาฟ้องมา 5 แสนบาท ศาลก็ให้ 1 แสนบาท บอกว่าเป็นค่าใช้จ่ายของเขา ซึ่งเราเคารพคำพิพากษาของศาล ส่วนสิ่งที่เราดีใจก็คือวันนี้ศาลตัดสินพิพากษามาแล้วว่าน้องพ้นสภาพจากการเป็น BNK48 ตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม เพราะงั้นที่เขาบอกว่ายังไม่ออก ยังไม่อนุมัติให้ออกนั้นไม่ถูกต้อง อันนี้มีผลต่อน้องๆ คนอื่นๆ ที่อยู่ในวงด้วย วันนี้ถ้ามีน้องคนไหนต้องการลาออก ก็สามารถลาออกได้ สามารถเอาตรงนี้ไปใช้ได้เลย ไม่จำเป็นต้องได้รับอนุญาต เดี๋ยวศาลก็มีคำพิพากษาออกมา เขาจะเขียนออกมาชัดเจนเลยว่า ทันทีที่ลูกจ้างมีความต้องการที่จะหยุด ยกเลิกสัญญา สามารถยกเลิกสัญญาได้ทันที”
ทนายพงศธร : “ประการที่สองในเรื่องของไอจี เฟซบุ๊กทางเราอาจจะต้องไปปรึกษาหารือกันก่อนว่ามันเป็นยังไง แต่เราก็เคารพคำพิพากษาของศาล ส่วนประการที่สามที่บอกว่าน้องได้กระทำการหมิ่นประมาท ประเด็นนี้ศาลก็ยก พิพากษาว่าน้องไม่ได้ผิด”
ทนายพงศธร : “1 แสนคือค่าเสียหายในการยกเลิกสัญญา ซึ่งทางเรามองว่าสมเหตุสมผล แล้วมันจะเป็นบรรทัดฐานให้กับสมาชิกคนอื่นๆ ที่ว่าคุณถือสัญญาเอาไว้ก็ไม่ใช่ว่าคุณจะสามารถอยู่ตลอดระยะเวลาของสัญญาก็ได้ วันนึงคุณไม่พอใจในวงแล้ว หรือคุณอยากจะยกเลิกสัญญาก็สามารถทำได้ แต่ทีนี้ตัวเลขศาลก็ได้ตัดสินออกมาแล้ว ประมาณนี้ สมาชิกคนอื่นๆ ก็สามารถเอาคำตัดสินนี้ไปใช้ได้เลย ก็จะเป็นบรรทัดฐานสำหรับสมาชิกคนอื่นๆด้วย”
คดียังไม่สิ้่นสุด เตรียมหารือเรื่องอุทธรณ์ต่อ
ทนายพงศธร : “กราบเรียนว่าเรื่องเฟซบุ๊กไอจีก็ขอให้มันเป็นเพียงแค่ศาลชั้นต้น มันยังไม่ถึงที่สุด ผมอาจจะต้องปรึกษาหารือกับทางทีมทนายความ ปรึกษากับคุณพ่อและน้องว่าจะทำยังไงต่อไป คดีมันยังไม่ถึงที่สุด เราก็ยังมีโอกาสอุทรณ์ในบางประเด็นที่เราไม่พอใจ อาจจะต้องกลับไปหารือกันก่อน”
ทนายพงศธร : “ซึ่งตอนนี้ยังตอบไม่ได้ ต้องไปหารือกันก่อน”
คุณพ่อดุสิต : “ในกระบวนการพิจารณา เรากำลังพิจารณาว่าการเบิกความใดๆ ก็ตาม มีอะไรที่เราคิดว่าไม่ถูกต้องที่มันเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย เราก็กำลังพิจารณาใช้สิทธิ์ที่จะดำเนินคดีต่อไป รอกลับไปพิจารณาเรื่องพวกนี้กัน”
ไม่กังวลขึ้นศาล เป็นประสบการณ์ที่ต้องสู้ด้วยตัวเอง และอยากชี้แจงประเด็นหมิ่นประมาท
แนทเธอรีน : “ตอนนี้ก็มีงานเข้ามาเรื่อยๆ ค่ะ ไม่ว่าจะเป็นงานแสดง งานเพลง ตอนนี้เพลงที่ 2 ก็เพิ่งเขียนเสร็จ ทางพี่ๆ ลิปตาแจ้งมาว่าเพิ่งเขียนเพลงเสร็จ เดี๋ยวจะเข้าห้องอัดเพลง
มาขึ้นศาลวันนี้ก็ไม่กังวลนะคะ ในเมื่อตกลงกันไม่ได้ หรือว่ามีประเด็นอะไรที่เราคิดเห็นไม่ตรงกัน มันก็เลยต้องมาจบกันที่ศาล แต่มันก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้นหรอกค่ะ มันก็เป็นประสบการณ์ที่ดีในฐานะของเด็กคนนึงที่ลงมาสู้ด้วยตัวเอง มันมีหลายประเด็น อย่างเช่น ประเด็นหมิ่นประมาท หนูมีความรู้สึกว่าหนูควรจะมีโอกาสได้ชี้แจง
อย่างกรณีหมิ่นประมาทที่ทางนั้นแจ้งว่าหนูเหมือนทำให้เขาเสื่อมเสียชื่อเสียงเพราะหนูบอกหนูไม่ได้รับของจากแฟนคลับ แล้วของก็หายไป คือตอนนั้นหนูคุยกับแฟนคลับทางแมสเซนเจอร์ คุยกันสองคน หลังจากที่ตอนนั้นพ้นสภาพ BNK48 แล้ว เขาถามว่าได้รับของหรือยัง หนูก็บอกว่ายังไม่ได้เลยค่ะ ของหายไปไหนหมดก็ไม่รู้
หนูก็เขียนไปแบบนี้ หลังจากนั้นทางแฟนคลับก็แคปข้อความนี้ แล้วไปลงทางเฟซบุ๊กแล้วไปด่าทางต้นสังกัด แต่ว่าหนูไม่ได้รู้เห็นเรื่องตรงนั้นด้วย ที่เขาไปเขียนว่าทางต้นสังกัด รวมถึงเรื่องที่บอกว่าของหายไป หนูคิดว่าของหายไปมันก็แปลว่าเราไม่ได้รับ ไม่ได้บอกว่าเขาเป็นคนขโมยไป แต่ทางนั้นบอกว่าหนูตั้งใจทำให้ทุกคนเข้าใจว่าทางนั้นขโมยของไป เขาก็บอกว่าเขาได้รับการสูญเสียชื่อเสียงจากเรื่องนี้ ซึ่งหนูก็คิดว่าหนูควรจะได้มีโอกาสออกมาชี้แจงในเรื่องนี้ว่าหนูไม่เคยคิดแบบนั้นเลย คำว่าของหายไปของหนูคือเรายังไม่ได้รับเพียงเท่านั้นค่ะ”
ทนายพงศธร : “ศาลก็บอกว่ามันไม่ได้เป็นการหมิ่นประมาท การกระทำหมิ่นประมาทมันก็มีองค์ประกอบทางกฎหมาย ของน้องไม่เข้าองค์ประกอบความผิดของหมิ่นประมาทเลย ก็เลยยกไป ส่วยรายละเอียดมันอยู่ในสำนวนแล้ว เนื่องจากคดีนี้มันยังไม่ถึงที่สุด ผมก็อาจจะเปิดเผยอะไรมากไม่ได้ ผมไม่แน่ใจว่าทางนั้นเขาจะอุทรณ์ต่อหรือเปล่า อาจจะต้องสงวนเรื่องราวในสำนวนไว้ก่อน ตอนนี้น่าจะมีเหลืออีกคดีนึง ซึ่งอยู่ระหว่างศาลพิจารณาอยู่ เป็นเรื่องของน้องแนทฟ้องทางต้นสังกัด แต่ผมยังไม่ทราบรายละเอียดชัดเจน”
เตรียมยื่นอุทธรณ์เรื่องคืนแอ็กเคานต์ไอจี เพราะไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้่
คุณพ่อดุสิต : “เรื่องไอจีสภาพบังคับมันยากนะ เพราะหลังจากที่ออกจากวงมาแล้ว ผลงานในไอจีทั้งหมด ประเด็นนี้ศาลให้เหตุผลว่าผลงานในสื่อสังคมมันเป็นผลงานของต้นสังกัด ที่นี้ในข้อเท็จจริงหลังจากที่น้องออกจากวงแล้ว รูปภาพทั้งหมดที่น้องใส่ลงไปคือภาพหลังจากที่ออกจากวง เพราะรูปที่อยู่ก่อนหน้านี้ไม่มีแล้ว ถ้าเอากลับไป มันก็เป็นผลงานของน้อง เขาก็เอาไปใช้อะไรไม่ได้ ถ้าเขาเอาไปปิดเฉยๆ ปัญหาคือกรณีนี้ พ่อเข้าใจว่าจะต้องอุทรณ์ เพราะเราไม่เห็นด้วย เมื่อเราอุทรณ์ไปเมื่อศาลสูงเกิดตัดสินให้ไอจีเป็นของน้อง ทางนั้นปิดไปแล้วจะมาเอาคืนได้ยังไงครับ
ตอนนี้ตั้งไอจีใหม่ไว้ด้วย คือจริงๆ แล้วไอจี จะเปิดหรือจะทำใหม่ มันไม่ใช่ปัญหาหรอก ปัญหามันอยู่ที่ว่าเราไม่เห็นด้วย ก็น่าจะสร้างบรรทัดฐานเพื่อให้รู้ว่าจริงๆ แล้วมันน่าจะมีข้อตกลงว่าไอจีเป็นของใคร มันก็น่าจะทำตั้งแต่แรกตั้งแต่ตอนที่ทำสัญญาแล้ว ในเมื่อสัญญาไม่ได้กำหนดอย่างนั้น เหตุผลของเรามันมีแค่เพียงว่าเราไม่เห็นด้วย แต่จริงๆ แล้วต้องบอกว่าเราไม่คิดว่าจะเป็นปัญหาอะไรเลย ถ้าไม่ฟ้องน้องเรื่องหมิ่นประมาท ถ้าไม่ฟ้องเราก็คงไม่มีอะไรกันเลยตั้งแต่แรก พอฟ้องหมิ่นประมาทมา ทางพ่อและน้องเองก็เสียใจ”
แนทเธอรีน : “เสียใจมาก”
พ่อดุสิต : เพราะทางวง น้องเองก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับใครเลย เมื่อมีการฟ้องแบบนี้ ก็ดีครับ มีโอกาสที่เราได้พิสูจน์อะไร แต่อย่างที่ทนายบอกมันเป็นแค่ศาลชั้นต้น ยังต้องมีการอุทรณ์ซึ่งอุทรณ์แน่นอน”
ฟ้องกลับต้นสังกัดกว่า 20 ล้าน เรียกค่าตอบแทนที่ยังได้รับไม่ครบ
พ่อดุสิต : “ฟ้องครับ มันจะมีเรื่องของค่าตอบแทนที่เรายังได้รับไม่ครบ ก็ฟ้องไปจำนวน 20 กว่าล้านครับ ต้องบอกอย่างนี้ครับว่า ผมเห็นว่าการที่น้องๆ ที่ไม่ใช่แค่ลูกสาวผม แต่รวมถึงเด็กทุกคนในวงที่ออกไปทำงาน งานบางอย่างที่ไม่อยู่ในสัญญาเด็กก็ควรจะได้รับค่าตอบแทนด้วย แม้ไม่อยู่ในสัญญาการที่เอาคนไปทำงานถ้าเราได้ระบุไว้ว่าเราจะจ่ายค่าตอบแทนยังไง
โอเคมันควรจะเป็นไปตามนั้น ซึ่งเรายังได้ไม่ครบถ้วน 1 ประเด็นนะ อีกหนึ่งประเด็นก็คืองานอะไรก็ตามที่ไม่ได้อยู่ในสัญญา แต่ได้ให้น้องไปทำงาน เพราะสัญญาที่เขียนเป็นสัญญาบริหารจัดการศิลปิน เมื่อเอาน้องไปทำงาน และงานนั้นไม่ได้อยู่ในสัญญา แต่ทางบริษัท ต้นสังกัดหาเงินได้จากตรงนั้นก็ควรมาแบ่งให้เด็กครับ
ยืนยันว่าสัญญาฉบับแรกไม่มีเรื่องพวกนี้ และน้องยังไม่ได้รับเลย ส่วนน้องคนอื่นๆ อยู่ในวง แม้จะทำสัญญาฉบับต่อมา แต่ก็หลังจากนั้นเป็นปี ฉะนั้นค่าตอบแทนพวกนี้ ด้วยความเป็นธรรม ควรตอบแทนให้เด็ก และยืนยันว่าเราจะเรียกร้อง จริงๆ แล้วผมไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินจนต้องมาเรียกร้องอะไรหรอก แต่ในเมื่อมีคดีแบบนี้ก็จำเป็นทำอะไรเพื่อเด็กๆ ลูกๆ ผมทั้งนั้นในวง ยืนยันว่าพ่อแม่ก็รักกันสนิทกันหมด”
พอใจคำตัดสินของศาล สามารถรับงานได้อิสระแล้ว
แนทเธอรีน : “จริงๆ พอใจค่ะ เรื่องที่กังวลก่อนหน้านี้คือเรื่องที่เขาบอกว่าไม่อนุญาตให้เราออกจากวง แต่ตอนนี้เขาอนุญาตแล้วก็รู้สึกโล่ง จากนี้ไปเราสามารถรับงานได้อย่างอิสระ อย่างเต็มที่ โดยที่เราไม่ต้องกังวลอะไรจริงๆ ชื่นใจ หายกังวล
แล้วก็หายกังวลเรื่องหมิ่นประมาทด้วยที่ว่าสุดท้ายแล้วหนูไม่ได้หมิ่นประมาท หนูก็ดีใจกับผลลัพธ์ เพราะตอนแรกที่โดนข้อหาหมิ่นประมาท หนูรู้สึกเสียใจมากๆ เพราะหนูคิดว่าทางต้นสังกัดก็คงรู้แหละว่าหนูไม่ได้ทำอะไรผิด หนูค่อนข้างเสียใจจริงๆ เรื่องนี้ มันค่อนข้างกระทบความรู้สึกหนูมาโดยตลอด แต่พอมาวันนี้ศาลก็ได้พิสูจน์แล้วว่าหนูไม่ได้หมิ่นประมาทอะไรเขาเลย หนูแค่บอกว่าหนูยังไม่ได้รับของจากแฟนคลับเพียงเท่านั้น เพียงเท่านี้หนูก็ชื่นใจ ดีใจมากๆแล้วค่ะ สามารถยิ้มกว้างๆ ได้เสียทีค่ะ”
ทนายพงศธร : “ส่วนเรื่องยื่นอุทธรณ์เราจะต้องกลับไปหารือกันก่อน ทีมทนาย ทางคุณพ่อกับแนทยังไม่ได้คุยกัน เพราะศาลเพิ่งสั่ง เดี๋ยวยังไงจะให้น้องแถลงอีกที หรือถ้าจะไม่ยื่นก็ขึ้นอยู่ที่เราจะตกลงกัน แต่ตอนนี้เรายังไม่ได้พูดคุยกัน”
เผยเงิน 1 แสนที่จ่ายไม่ใช่ค่ายกเลิกสัญญา แต่เป็นค่าเทรนลูก
พ่อดุสิต : “มันไม่ใช่ค่ายกเลิกสัญญานะ ในสัญญามันจะระบุเอาไว้ว่ากรณีที่น้องลาออก ถ้าออกโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเขา มันมีค่าเสียหายของเขาคือค่าที่เขาต้องหาครูมาสอนเด็ก ส่วนตัวพ่อในประเด็นนี้ที่ต่อสู้กันในศาล มุมมองพ่อมองว่าเขาอนุมัติให้ลาออกแล้ว มีหนังสือ ฉะนั้นพ่อเลยมองว่าจริงๆ ไม่น่าจะต้องจ่ายอะไร
แล้วข้อสำคัญคือน้องทำงานให้เขามา ได้เงินไปเยอะมากเมื่อเทียบกับรายได้ที่น้องได้รับมา มองว่าเขาไม่ได้เสียหายอะไร ตรงนี้ศาลตัดสินใจ ในสัญญาเขียนไว้ชัด แล้วก็เรียกไปตามนั้นว่าเป็นค่าครูที่ฝึกสอนน้อง จริงๆ ไม่ใช่แค่เลิก แค่ฉีกสัญญานะ เพราะในสัญญาไม่ได้เขียนเรื่องฉีกสัญญาเลย เป็นค่าเทรนน้อง ในมุมนึงก็ถูกนะ มีครูมาสอนน้อง เราก็โอเค เพียงแต่สัญญาเขียนไว้อีกอย่างนึง ก็ควรจะทำตามสัญญา”