“ใหม่ ภวัต” เปิดใจไม่ได้กำกับ “พรหมลิขิต” ภาคต่อบุพเพฯ แล้ว ลั่นถึงเวลาโต โดดเซ็นสัญญาช่องวัน 5 ปี เปิดบริษัทเป็นผู้จัดละครเอง สร้างอนาคตใหม่ๆ ให้ตัวเอง เผย “เจ๊หน่อง” เสียใจ แต่จบดี
กำกับภาคแรกละครบุพเพสันนิวาสเอาไว้จนเรตติ้งกระฉูด จนกลายเป็นภาพจำ แต่ล่าสุด “ใหม่ ภวัต พนังคศิริ” เผยภาคต่อบุพเพฯ อย่างพรหมลิขิต คงไม่ได้กำกับแล้ว เพราะต้องมาทุ่มเทละครเรื่องใหม่ในฐานะเป็นผู้จัดเองกับทางช่องวัน 31 ในเรื่อง พระจันทร์แดง อีกทั้งยังเซ็นสัญญากับทางช่องวันเป็นเวลา 5 ปี ลั่นถึงเวลาโตแล้ว
“ตอนแรกคุยกันว่าจะทำเรื่องนี้และมาขอทางผู้ใหญ่ทั้ง 2 ที่ ซึ่งพี่บอย (ถกลเกียรติ วีรวรรณ) ก็อนุญาต และเข้าใจว่าคงต้องทำเรื่องพรหมลิขิตก่อน แต่พอถึงเวลาจริงๆ เวลาอาจไม่ลงตัว ทีนี้ก็อยู่ที่ทางผู้ใหญ่ตัดสินใจแล้ว อีกอย่างคืองานของที่นี่ก็ต้องเปิดแล้วด้วย ก็อาจจะมีการชนอยู่ ตอนนี้คิดว่าเป็นเรื่องของเวลาที่ไม่ลงตัวมากกว่าพอเวลาชนกันทางผู้ใหญ่ต้องช่วยตัดสินใจแล้วแหละ (หัวเราะ) ก็มีการคุยบ้าง แต่อาจจะไม่ลงตัว ก็อาจจะไม่ได้กำกับพรหมลิขิต
ตอนนี้ผมเซ็นกับช่องวัน 5 ปี แล้วที่ตัดสินใจเซ็น คือความจริงก็คุยกับพี่หน่อง (อรุโณชา ภาณุพันธุ์) ก่อนว่าเราอยากจะโตมากกว่านี้ พอดีได้มาคุยกับพี่ป้อน (นิพนธ์ ผิวเณร) ในตอนแรก พี่ป้อนพี่บอยก็โอเคเห็นดีด้วยกับการที่เราจะเปิดบริษัทเอง ซึ่งผมเป็นทั้งผู้จัดและผู้กำกับด้วย ผมคิดว่าถึงเวลาที่เราจะต้องโต ต้องทำอะไรให้ตัวเองแล้ว”
เผยเจ๊หน่องก็เสียใจ แต่ถ้าเปิดกล้องไล่ๆ กัน มีปัญหาแน่นอน
“ก่อนเข้าช่องวันถามว่ามีโจทย์อื่นไหม ไม่มีครับ ตั้งเป้าคุยกับพี่ป้อนเลย แต่เราก็คุยกับพี่หน่องก่อน เพราะพี่หน่องก็เสียใจ ก็บอกพี่หน่องว่าอยากทำอยู่ อ่านบทแล้วสนุกมาก เราก็เลยขอคุยกับผู้ใหญ่ทางนี้ พี่บอยอนุญาต ก็บอกว่าให้เปิดกล้องและเคลียร์เรื่องพระจันทร์แดงไปก่อนนะ แต่ทางโน้นเขาต้องรีบเปิดกล้องเพราะด้วยคิวของนักแสดงที่โคกันไว้นานมากแล้ว ถ้าจะรีบเปิดก็จะไม่ลงตัวแล้วคราวนี้ ก็ต้องกำหนดระยะเวลาที่ชัดเจนสำหรับฝั่งทางพรหมลิขิต
เรื่องพระจันทร์แดงจะจันทร์-พุธ ส่วนพรหมลิขิตตอนแรกคุยไว้ว่าพฤหัสบดี-อาทิตย์ แต่คือมันต้องทำเร็วถ้าเกิดว่าต้องทำเลย คือตามแผนของที่ทางโน้นวางไว้คือทำเลย ซึ่งในขณะที่ทางนี้ก็กลัว ในขณะที่เปิดทางนี้ด้วย ซึ่งตัวเราเองก็กลัวอยากจะ concentrate ไปให้ได้สักครึ่งก่อน ก็อยากทุ่มเทกับเรื่องแรกสักครึ่งหนึ่งหรือว่าสัก 70 % ไปแล้วแล้วค่อยทำอันนี้ ซึ่งเขาก็เห็นด้วยว่าไปได้สัก 70 - 80% ค่อยทำดีไหม
แต่ภาพมันยังไม่ชัดครับ และโอกาสที่จะเป็นไปอย่างที่คิดมันเป็นไปได้ยากเหมือนกัน อย่างที่บอกว่าของทางนั้นคิวต่างๆ ของนักแสดงที่โคกันไว้นานแล้วมากๆ แล้วน้องๆ ก็รอกันอยู่ ซึ่งก็ไม่อยากให้เสียคิวไปทางพี่หน่องก็ไม่อยากให้เสียคิวไป เพราะว่าได้ดีลด้วยอะไรไว้หลายอย่าง แล้วทีนี้จะเปิดหรือไม่เปิดผู้ใหญ่ทางโน้นจะแจ้งอีกทีหนึ่ง ผมยังไม่แน่ใจ แต่ตอนนี้ความคืบหน้ายังไม่มีอะไร”
บอกตอนนี้ยังไม่ชัวร์ว่าจะได้กำกับพรหมลิขิต หรือไม่
“ก็ยังไม่ 100% ว่าจะไม่ได้ทำเรื่องนั้นแล้วกับพี่หน่อง ยังไม่ออกจากปากพี่หน่อง แต่เราก็บอกปัญหาไปแล้วว่าปัญหาเป็นอย่างนี้ พี่หน่องก็ถอนหายใจไปเฮือกหนึ่ง เพราะเรารู้สึกว่าเปอร์เซ็นต์ไปกำกับเป็นไปได้น้อย เพราะเวลามันจะต้องชนกันแน่นนอน และด้วยความที่พระนางเขาจะต้องไปถ่ายหนังปีหน้าควบด้วย เลยทำให้เวลาคิวต่างๆ ยาก ชนกันจะไม่ลงตัว แต่เราก็เตรียมใจไว้แล้วว่าอาจจะไม่ได้ทำเรื่องนั้น
ถามว่าเสียดายไหม เสียดาย เพราะเราก็ได้อ่านบทได้อะไรไปแล้ว ได้ไปคุยกับป้าแดง คนเขียนบทแล้ว บทก็สนุก เราก็รู้สึกว่าแนวทางการเล่าของป้าแดงสนุก ตอนนั้นเราอยากทำ เราก็มาคุยกับพี่บอย บอกกันตรงๆ พี่บอยก็สปอร์ตมาก ใจดีมาก เปิดโอกาสให้เราทำ
ถามว่าคนอาจจะมองว่าถ้าเราไม่ได้กำกับมันจะประสบความสำเร็จไหม จริงๆ ละครมันประสบความสำเร็จได้ ไม่ได้เกิดจากผมคนเดียว มันมีองค์ประกอบหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นโป๊ป (ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ) เบลล่า (ราณี แคมเปน) หรือนักแสดงท่านอื่นๆ หรือแม้กระทั่งตัวบทเอง ตัวเรื่องเองที่เขาดังอยู่แล้ว เกิดจากหลายองค์ประกอบ จะดีกว่าหรือดีกว่าเดิมก็ได้”
เผยต่างฝ่ายต่างเสียใจ และใจจริงตนก็อยากสานต่อให้จบ
“ตอนบุพเพสันนิวาสก็ใช้เวลาปีกว่า ซึ่งเรามองอนาคตแล้วถ้า 8 เดือน มันคือถ้าระยะเวลาขนาดนั้นกับงานที่เราต้องรับผิดชอบตรงนี้ด้วย ก็จะค่อนข้างยาก แต่ตอนที่ออกมาจากพี่หน่องก็จบกันด้วยดีครับ เราเข้าใจพี่หน่องแล้ว พี่หน่องก็เข้าใจเรา แล้วผมก็รู้ว่าพี่หน่องก็มีเสียใจแหละ แต่ก็บอกเหตุผลไปว่าพี่หน่องครับมันถึงเวลา ป่านนี้แล้วผมอยากจะทำอะไรให้ตัวเอง สร้างอะไรให้กับตัวเอง โตขึ้นมากกว่าเดิม บางทีเราก็จะได้รู้จักข้างนอกเยอะขึ้น อะไรเยอะขึ้น เพราะที่ผ่านมาก็ทำกับพี่หน่องตลอด ไม่ไปไหนเลย นอกจากอันนี้
แต่พรหมลิขิตก็เป็นเหมือนงานค้างของเรา ที่จริงๆ เราอาจจะต้องสานต่อ ถามว่าจะเป็นเรื่องที่ติดใจไปตลอดชีวิตเลยไหมว่าเราไม่ได้ทำจนมันจบสุดท้าย มันก็คงมีบ้าง แต่ ณ ถึงจุดหนึ่งที่คิดว่าทางผู้ใหญ่ก็คงจัดสรรอย่างลงตัวแล้ว ผมว่าภาคสองก็คงสนุกแหละ ด้วยบท ด้วยเรื่อง ด้วยอะไร สนุก จำนวนตอนก็เยอะพอๆ กับบุพเพสันนิวาสไหม พี่หน่องก็คงต้องเตรียมหาผู้กำกับใหม่ แต่เราก็ไม่ได้บอกพี่หน่องไปตรงๆ ว่าอาจจะต้องหาผู้กำกับสำรองนะ ไม่ได้พูดขนาดนี้หรอก ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าทางเขาหาไว้แล้วไหม แต่ผมคิดว่าเขาจะมารอเราให้เสร็จจากงานนี้เหมือนอย่างแผนที่วางไว้คงไม่ได้ เพราะว่าหลายๆ อย่างก็จะดูเห็นแก่ตัวเกินไป
เราก็ไม่สามารถกำกับสองอย่างในเวลาเดียวกันได้ เราต้องเริ่มต้นก้าวใหม่ในชีวิตเรา มันเป็นจุดเริ่มต้น เพราะฉะนั้นผมอยากทำให้ดี ใส่ให้เต็มที่ในแต่ละอย่าง เอาไว้ที่เรามีพละกำลังมากกว่านี้ (หัวเราะ) อันนี้มันก็ไหวแหละ แต่ว่าเวลาทำอยากจะ concentrate กับมันหน่อย อยากให้ก้าวแรกดีที่สุด จริงๆ เรื่องการทำสองงานซ้อนกันมันก็ทำได้อยู่ เหมือนอย่างที่เราทำละครแล้วเราก็ขอไปทำหนังอยู่เสมอ อันนี้ก็ทำอยู่ตลอด แต่ครั้งนี้ด้วยความที่เราเป็นผู้จัดเองด้วย มันเลยต้องโฟกัสหลายอย่าง มันมีส่วนที่เราจะต้องดูแลมันเยอะขึ้น”
บอกในฐานะผู้จัดและผู้กำกับด้วย คงต้องมีอะไรให้คิดเยอะขึ้น
“ถามว่าทำให้หนักใจขึ้นไหม เพราะตอนนี้เป็นผู้จัดด้วย ก็พยายามไม่คิดมากขึ้น (หัวเราะ) ไม่อย่างนั้นมันจะเป็นการปิดกั้นไอเดีย หรือว่าอะไรของตัวเองอย่างที่เขาคิดว่ากัน แต่ว่าเราต้องรู้จักทำงาน และเข้าใจกับมัน ที่ผ่านมาเราเป็นแต่ผู้กำกับ เรารู้จักแต่การใช้เงิน เรารู้ว่าบางอย่างเราก็ใช้ พี่หน่องลงทุนกับเราเยอะเหลือเกิน ถ่ายบางครั้งก็ใช้คิวเยอะ บางครั้งก็ใช้ของเยอะ บางทีก็ใช้เงินเยอะ ฉะนั้นหลังจากที่เราต้องมาทำเองเราต้องรู้จักตรงนี้ ใช้ให้เป็น ซึ่งมันก็สอนเราด้วยมันก็เป็นอีกหน้าที่หนึ่งที่เราจะต้องทำ
ในมุมของการเป็นผู้จัดอยากจะทำละครแบบไหนเหรอ จริงๆ ก็ยังชอบละครพีเรียด กับละครผีลึกลับ เหมือนอย่างพระจันทร์แดง ที่เรายังรู้สึกว่าเราชอบละครพีเรียด แต่ว่าทั้งหมดทั้งมวลมันต้องดูโรแมนติก แนวโรแมนติกที่อยากจะทำออกมาเหมือนฝันนิดหนึ่ง ฟีลลิ่งแบบบุพเพสันนิวาส อยากให้มันเป็นโรแมนติก อย่างของเดิมพระจันทร์แดงเป็นแนวลึกลับสยองขวัญ เพราะฉะนั้นเวอร์ชั่นนี้ก็จะเป็นเวอร์ชั่นลึกลับแฟนตาซีแต่โรแมนติก มีเรื่องของการอนุรักษ์ป่าไม้ มีเรื่องของอนุรักษ์สัตว์ป่าเป็นแกนหลัก
ถามว่าปีหนึ่งต้องทำกี่เรื่องในการเป็นผู้จัด สำหรับที่ช่องวันก็ 2 เรื่อง เรื่องที่สองกำลังเตรียมๆ อยู่ คราวนี้พี่บอยกับพี่ป้อนก็พูดเสมอว่ามีเรื่องอะไรอยากจะทำก็มาบอก เพราะฉะนั้นก็มีการเตรียมๆ ไว้บ้างว่าอยากจะทำอะไรมีเรื่องที่สองเดี๋ยวอาจจะต้องเดินเข้าไปบอก ในส่วนของพระนางเรามีส่วนตัดสินใจขนาดไหน เท่าที่คุยกันมาก็มีบ้างแหละ คือเลือกใช้จากข้างในก่อน แล้วค่อยๆ ดึงหรือว่าอะไรจากข้างนอก ดูจากข้างนอก เพราะฉะนั้นมันก็เหมือนกัน ผมว่าก็เหมือนกับทำกับที่โน่น ไม่ได้ต่างกัน”