“บิ๊นท์” ป้องดรามา “ฟ้าใส” ไม่ใส่มงกุฏอยู่คนเดียว จนถูกเมาท์หึ่งต้องคืนทุกอย่างให้กองประกวด เหตุไม่เซ็นสัญญา ยันงานไม่ได้บังคับ แต่ทุกคนใส่มงฯ จัดเต็มกันเอง ออกตัวถึงมีมงฯ หรือไม่ ตำแหน่งและตำนานจะอยู่ในตัวอีกฝ่ายตลอดไป ฝากคนบูลลี่ ยุคนี้ควรหมดได้แล้ว ดี๊ด๊าเล่นละครช่องวันครั้งแรก อุบตอบเป็นนางเอก
เป็นอีกหนึ่งประเด็นของวงการนางงามที่ถูกพูดถึงเมื่อไม่นานมานี้ กับกรณีที่ “ฟ้าใส ปวีณสุดา ดรูอิ้น” Miss Universe Thailand 2019 ออกงานครั้งแรกหลังหมดวาระ แต่ปรากฎว่าเจ้าตัวไม่ได้สวมใส่ทั้งสายสะพายและมงกุฎ ขณะที่นางงามคนอื่นใส่มาครบ ไม่ว่าจะเป็น “บิ๊นท์ สิรีธร ลีห์อร่ามวัฒน์” Miss international 2019 “วาเลนติน่า ฟิเกร่า” MissGrand International 2019 และ “นิโคลีน พิชาภา” รองอันดับหนึ่งเวที Miss World 2018 ซึ่งภายหลังภาพดังกล่าวเผยแพร่ออกไป ฟ้าใสก็เจอกระแสดรามาทันทีว่าพอหมดวาระต้องคืนทุกอย่างให้กองประกวดทั้งหมด อีกทั้งทางผู้จัดการส่วนตัวยังมาตอบคอมเมนต์ชวนให้คิดอีกว่ารางวัลทั้งหมดเยอะร่วม 10 ล้าน แต่ทำไมฟ้าใสถึงไม่เซ็นสัญญากับกองประกวด ต่างจากตอนได้รองมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์รางวัลน้อยกว่า แต่ทำไมถึงยอมเซ็น
ซึ่งพอได้เจอสาว “บิ๊นท์ สิรีธร” เจ้าตัวก็เผยว่าจริงๆ ทางทีมงานไม่ได้บังคับว่าต้องใส่มงกุฎหรือสายสะพายมา แต่เพราะตนอยากให้เกียรติกับงาน และทางฝั่ง “ฟ้าใส” เองก็ไม่ได้มีอาการนอยด์ หรือเครียดใดๆ กับเรื่องนี้
“ก็มีทีมงานถามว่าบิ๊นท์มีมงกุฎไหม มีสายสะพายไหม ถ้าไม่มีไม่เป็นไรนะคะ คือเราไม่รู้ว่าท่านอื่นๆ จะไปด้วย เราก็ไม่ได้ถามกัน แค่แชตกันเรื่องอื่นเฉยๆ แต่เรามารู้จากแฟนเพจนางงามนี่แหละว่า อ้าว มีคนอื่นด้วยเหรอ ก็เลยทักแอน (แอนโทเนีย โพซิ้ว ผู้ครองตำแหน่งมิสซูปราเนชั่นแนลไทยแลนด์ 2019 และ มิสซูปราเนชั่นแนล 2019) ไปว่าไปเหรอ แอนก็บอกว่าไป ก็เลยคิดว่างั้นต้องแต่งเต็มแล้วแหละ ให้เกียรติ เพราะคนระดับโลกก็เยอะ ระดับประเทศก็เยอะ
วันนั้นเป็นงานเฟรชชี่ค่ะ ซึ่งมันดีมากเลย เพราะเราได้เห็นเด็กๆ รุ่นใหม่ที่เขากล้าแสดงออก เขาอาจจะรู้สึกว่าเขายังทำไม่ดีนะ บางคนไม่มั่นใจ แต่ว่าการที่ผ่านวันนั้นไปได้เขาจะรู้สึกว่าเขาทำอะไรเขาก็จะมั่นใจแล้ว
ยันงานไม่ได้บังคับให้ใส่มงฯ แต่อยากใส่กันเอง
“ถามว่าจริงๆ งานบังคับให้ใส่มงกุฎหรือไม่ใส่มงกุฎก็ได้ เขาก็ไม่ได้บังคับ ตอนแรกบิ๊นท์ยังบอกด้วยซ้ำว่ามงกุฎบิ๊นท์อาจจะเสร็จไม่ทัน ไม่ใส่ได้ไหม เขาก็บอกว่าได้ (เนื่องจากมงกุฎมิสอินเตอร์เนชั่นแนลของจริง อยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น มงกุฎมิสอินเตอร์เนชั่นแนลที่บิ๊นท์ใส่ออกงานเป็นอันที่ทำขึ้นมาใหม่ เพราะได้รับอนุญาตจากทางญี่ปุ่นแล้ว)
ลั่นถึงฟ้าใสไม่มีมงกุฏ แต่ตำแหน่งและตำนานจะอยู่กับเจ้าตัวตลอดไป
“ถามว่ารู้สึกยังไงที่มีการดรามาโยงไปหมด แล้วเราอยู่ในนั้นด้วย ก็เป็นเรื่องของความคิดเห็นเลย แต่ว่าวันนั้นพี่ฟ้าใสสวยมาก ดังนั้นมีหรือไม่มีมงกุฎบิ๊นท์มองว่าตำแหน่งและตำนานมันอยู่ในตัวเขา พลังทุกอย่างมันอยู่ในตัวเขาอยู่แล้ว ตัวจริงคือนี่แหละมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2019 แต่ไม่ได้คุยกับพี่ฟ้าใสเรื่องนี้กันเลย เราคุยกันว่าเจ๊เป็นไงบ้าง เจ๊ฝากมือถือหน่อย คือเราคุยกันน้อยเพราะเรานั่งห่างกันด้วยค่ะ”
วอนคนที่ชอบคอมเมนต์ด้านลบ ขอให้นึกถึงคนที่ถูกพูดถึงบ้าง ยุคนี้เรื่องบูลลี่ควรหมดไปได้แล้ว
“แต่ดูแล้วเขาโอเคนะ ก็ยิ้มแย้มแจ่มใสปกติ บิ๊นท์ว่าพี่ฟ้าใสเขามีความโปรเฟสชั่นแนลในการออกงานอยู่แล้ว ไม่มีกังวล เพราะตอนที่ถ่ายรูปด้วยกันเขามีความสุขนะ เพราะวันนั้นคนที่รักเขาเยอะ บิ๊นท์มองว่าเรื่องดรามาเป็นเรื่องความคิดเห็นที่แตกต่างกัน ซึ่งมันมีอยู่แล้วในการประกวดหรือการแข่งขันต่างๆ ด้วยการที่มันเป็นการแข่งขัน ไม่ว่าอะไรก็ตามแต่ มันจะมีฝ่ายเชียร์คนนั้นคนนี้ ดังนั้นมองให้เป็นเรื่องธรรมดา
แต่ก็อยากจะฝากถึงคนที่แสดงความคิดเห็นว่าบางทีถ้าเกิดสิ่งที่เราพูด เรานึกหน้าของอีกฝั่งที่เป็นคนที่เขารับสารไม่ออก ให้นึกหน้าตอนที่เขาร้องไห้เวลาเห็นคำพูดบางอย่าง เพราะมันจะมีบางอันที่ไม่ได้เกี่ยวกับเรา แต่เราอ่านแล้วรู้สึกว่าทำไมถึงพูดจาแรงขนาดนี้ ก็อยากให้เพลาๆ ตรงนี้ เพราะว่าสังคมยุคใหม่แล้ว เรื่องบูลลี่มันควรจะหมดไปแล้ว”
เผยตอนนี้เตรียมเล่นละครกับช่องวัน 31 แล้ว
“ตอนนี้มารับงานในวงการเต็มตัวแล้วค่ะ เพราะว่าเนื่องจากโควิดนี่แหละ มีงานอะไรที่ทำในประเทศไทยได้ เป็นโอกาสมาเราก็ทำหมดเลย ก็ได้มาจับงานแสดงเต็มตัวด้วย รอติดตามนะคะ มีข่าวว่าเซ็นกับช่องวัน ยังไม่ได้เซ็นค่ะ เนื่องจากเรายังเป็นนางสาวไทยอยู่ แต่ก็มีการพูดคุย ก็ร่วมเป็นโปรเจกต์ๆ ไป แต่ตอนนี้มีงานแสดงกับช่องวันค่ะ เดี๋ยวรอดูกัน ตื่นเต้นดีค่ะ รู้สึกว่าชีวิตดูท้าทาย (หัวเราะ) สนุกดี ชอบ
ก็ค่อนข้างแตกต่างจากตัวเรานะ แต่ด้วยความที่ตัวเราเป็นคนค่อนข้างไหล คือเรารู้สึกว่าทำอะไรเราก็สนุก และการแสดงก็เป็นอีกศาสตร์นึงที่มันต้องเรียนจริงจังมาก ซึ่งพอได้ลองเรียนก็รู้สึกว่ามันก็มีเสน่ห์ของมันนะ เราก็อยากลองทำให้ดีที่สุด แต่แน่นอนว่าพาร์ตนางงามเราก็ไม่ทิ้ง เรายังอยากทำอะไรให้สังคมในฐานะนางงามอยู่เสมอ
นอกจากช่องวัน ก็มีช่องอื่นมาจีบเยอะค่ะ แต่ว่าถ้าหมั้นหมายเลยยังไม่ถึงขั้นนั้นค่ะ ถามว่าอยากเซ็นหรือรับงานอิสระ ก็ต้องอยู่ที่การคุยกันค่ะ ตอนนี้ก็ยังบอกไม่ได้ว่าจะเซ็นเลยไหม เพราะเรายังไม่ได้คุยกันจนถึงขั้นหมั้นหมาย แต่ถ้าสังกัดเขาเปิดโอกาสให้เรา ก็จะเข้าไปคุยแน่นอน เพราะเราไม่ทิ้งโอกาส”
ฟุ้งได้เรียนการแสดงก็รู้สึกว่าตัวเองทำได้ แม้ต้นทุนในการแสดงเท่ากับศูนย์ ไม่บอกเรื่องแรกเป็นนางเอกหรือไม่
“ตอนนี้เรียนการแสดงหนักเลยค่ะ บิ๊นท์เป็นคนที่ชอบเรียนรู้ บิ๊นท์รู้สึกว่าถ้าจะมาเอาดีด้านการแสดงบิ๊นท์ต้องมั่นใจในการแสดงของตัวเอง ซึ่งการที่บิ๊นท์ได้ไปเรียนมันเพิ่มความรู้สึกที่ตื่นเต้น อยากทำ และรู้สึกว่าทำได้ดี มั่นใจไปไหม เดี๋ยวผลออกมาแย่ทำไงเนี่ย (หัวเราะ) แต่รู้สึกว่าทำได้ดี เพราะเราชอบด้วยค่ะ ต้นทุนทางการแสดงก็น่าจะศูนย์ (หัวเราะ) แต่เรารู้สึกว่าเราพัฒนาได้ คือเป็นคนที่มีความเชื่ออย่างนึง ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามแต่ถ้ามีคนทำได้ เราเป็นคนเหมือนกัน เราต้องทำได้ ดังนั้นจะเป็นคนที่มีความพยายามมากกับทุกสิ่งทุกอย่าง
ถามว่าเรื่องแรกกับได้เป็นนางเอกเลยไหม เขาให้งุบงิบไว้ก่อนค่ะ (ยิ้ม) แต่ตื่นเต้นแน่นอน ก็อาจจะเห็นต้นปีหน้านะคะ แต่พลิกคาแร็กเตอร์เลย ทุกคนจะเซอร์ไพรส์มาก (หัวเราะ) แล้วในช่องวันก็มีรุ่นพี่นางงามหลายคนที่เป็นนางเอกเยอะแยะเลย แต่เพิ่งได้เจอครั้งเดียวเองค่ะ เป็นวันทำบุญของช่อง ยังไม่ได้คุยกันเยอะ แต่ก็ตื่นเต้นนะว่าคนนี้เราเคยเห็นในทีวี ก็ต้องเตรียมพร้อมในบทบาทการแสดงแล้วค่ะ แต่ก็อยากให้ติดตามผลงานนางงามปีหน้านะ ยังเป็นมิสอินเตอร์เนชั่นแนลอยู่ และยังทำภารกิจเรื่อยๆ ไม่อยากให้ลืมพาร์ตนางงามเหมือนกัน”
เผยงานเกี่ยวกับสังคมยังไม่คิดทิ้ง เพราะมีความสุขที่ได้ทำ
“บิ๊นท์จะเป็นคนที่โฟกัสว่าอะไรที่เราทำแล้วทำได้ดีและทำเพื่อสังคม สิ่งที่บิ๊นท์ทำจะเป็นด้านสาธารณสุข คือบิ๊นท์อาจจะไม่ได้ทำโปรเจกต์ที่ใหญ่มาก แต่เราทำแล้วมันสามารถเข้าถึงกลุ่มคนเล็กๆ ทำให้เขามีชีวิตที่ดีขึ้นได้ อย่างเช่น การที่เราทำข้าวของไปให้เขาช่วงโควิด เราเลยได้เห็นว่าบางทีสิ่งที่คนเราต้องการมากที่สุดก็แค่กำลังใจในการใช้ชีวิตต่อไป ซึ่งสุดท้ายแล้วอันเล็กๆ อันนั้นมันทำให้บิ๊นท์ขยายต่อว่าบิ๊นท์อยากทำให้คนทั้งประเทศจังเลย สุดท้ายก็เลยได้เป็นโครงการธนาคารหน้ากาก ซึ่งตอนนี้ก็ส่งต่อเรียบร้อย และเป็นหน้ากากอนามัยออกมาเรียบร้อย เพราะตอนนั้นเรามีความคิดว่าทำไมคนไทยหน้ากากไม่พอช่วงที่โควิดหนักๆ ค่ะ
ความสุขที่ได้ลงมือทำมันไม่มีอะไรยากเลยค่ะ สำหรับบิ๊นท์คือเรามีความสุข เราทำสิ่งนี้แล้วสำเร็จ เรามีความสุขแล้ว เราก็จะคิดอย่างอื่นต่อไปว่าเราอยากทำอะไร มันเหมือนแรงบันดาลใจให้เราใช้ชีวิตต่อไป บางทีการที่เราได้ทำในสิ่งที่เราอยากทำ มันทำให้สิ่งที่เราต้องทำหรือควรทำมันทำได้ดี”
บอกต้องพักงานเภสัชกรไว้ก่อน ส่วนงานที่ต่างประเทศคงเริ่มกันใหม่ปีหน้า
“ส่วนเรื่องงานเภสัชกรอาจจะต้องดร็อปไปก่อนค่ะ เพราะงานในวงการบันเทิงมันสั้น เรารู้ว่าตอนนี้เรากำลังมีชื่อเสียง เราช่วยสังคมหรือทำหน้าที่การงานตรงนี้ได้ เราก็ทำก่อน แต่เภสัชฯ แน่นอนก็ไม่ทิ้ง เพราะบั้นปลายชีวิตก็แอบคิดไว้ เป้าหมายนึงคือต้องเปิดร้านยา แล้วก็มีคุณลุงมาบอกว่าหนูๆ ขอซื้อยาหน่อย
งานระดับอินเตอร์ถามว่ามีการวางแผนไว้ไหม ก็มีคุยไว้แล้วค่ะ ทางญี่ปุ่นก็ติดต่อมาว่าขอโทษจริงๆ ที่ปีนี้เราคงไม่ได้ไปไหนด้วยกัน แต่เขาบอกถ้าปีหน้าสถานการณ์มันดีขึ้นเราจะไปเยือนประเทศต่างๆ กัน เพราะว่าบางทีเราก็ต้องเข้าใจวงการนางงาม มันเหมือนจะเป็นอะไรที่เป็นความสวยความงามเฉยๆ แต่จริงๆ มันไม่ใช่ เพราะจากการที่บิ๊นท์ได้ไปต่างประเทศเขาแค่ต้องการเห็นหน้าและได้กำลังใจจากเรา มันทำให้เขาได้ใช้ชีวิตต่อไป ดังนั้นบิ๊นท์มองว่าการได้อยู่ตรงนี้มันมีความสุขมากเลยที่ได้เติมเต็มความรู้สึกของผู้คนที่อยู่รอบตัวเรา”