แม้รายได้ในจีนแผ่นดินใหญ่จะทำรายได้น่าผิดหวัง แต่ในสหรัฐฯ Mulan ดูจะประสบความสำเร็จอย่างมหาศาล โดยสำนักข่าวทางการเงินเปิดเผยว่า หนังฟอร์มใหญ่ของ Disney น่าจะทำเงินในสหรัฐฯ ไปแล้วถึง 261 ล้านเหรียญฯ
แม้จะต้องเจอปัญหาหลายด้านทั้งประเด็นการเข้าไปถ่ายทำหนังในซินเจียง, ความเห็นทางการเมืองของนักแสดงนำ และประเด็นเรื่องการนำเสนอภาพของวัฒนธรรมจีนในหนัง จนทำให้ Mulan กลายเป็นหนังที่โดนกระแสต่อต้าน จนถึงแอนตี้ แต่สุดท้าย Mulan อาจจะไม่ใช้งานที่ล้มเหลวอย่างที่หลายฝ่ายคิด
ขณะที่ Tenet เลือกที่จะเน้นฉายในโรงภาพยนตร์ และหวังว่าหนังจะยืนโรงทำเงินได้ในระยะยาว แต่ Disney กลับเลือกกลยุทธอีกอย่าง ด้วยการฉาย Mulan ในบางประเทศเท่านั้น และไม่นำหนังเข้าโรงฉายในสหรัฐฯ ที่ COVID-19 ยังระบาดอย่างหนัก แต่เลือกที่จะส่งหนังไปขายทาง Disney+ ในราคา 29 เหรียญฯ
ซึ่งตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าผลของการตัดสินใจจะปรากฏชัดแล้ว ว่าวิธีไหนเหมาะกับสถาณะการณ์ COVID-19 ระบาดมากกว่ากัน
เกือบ 10 ล้านคนยอมจ่าย 29 เหรียญฯ
มีรายงานว่า "การทดลอง" ของ Disney ได้ผลที่น่าพอใจอยู่พอสมควร เพราะมีรายงานจาก Yahoo Finance ว่ามีผู้ใช้บริการ Disney+ ถึง 29% ของสมาชิกทั้งประเทศสหรัฐฯ ที่ตอนนี้มีอยู่ 30 ล้านคนที่ยอมจ่ายเงิน 29 เหรียญฯ เพื่อซื้อ Mulan มาดู จนทำให้ Disney ได้เงินกลับมาทันทีถึง 261 ล้านเหรียญฯ
ที่สำคัญ Disney ยังได้เงินก้อนใหญ่ 261 ล้านเหรียญฯ นี้ไปแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย 100% โดยไม่ต้องแบ่งครึ่งกับโรงภาพยนตร์ เหมือนการฉายตามปกติ ซึ่งถ้าจะทำเงินขนาดนี้กับการเข้าฉายปกติ Mulan ก็ต้องทำเงินจากการฉายโรงประมาณ 400 - 500 ล้านเหรียญฯ เลยทีเดียว
ฉุดยอดสมาชิก Disney+ พุ่ง
ไม่เท่านั้น Mulan ยังทำให้ Disney+ มีสมาชิกในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นถึง 50% ทาง Disney จึงให้ข่าวว่าพวกเขาพอใจกับการทดลองนำ Mulan ขายทาง Disney+ ในครั้งนี้มาก และมีแนวโน้มว่า Soul อนิเมชั่นของ Pixar ผลงานใหม่ของ Disney ก็อาจจะถูกส่งตรงไปขายใน Disney+ สำหรับตลาดสหรัฐฯ เช่นเดียวกัน
Mulan ใช้ทุนสร้างประมาณ 200 ล้านเหรียญฯ โดยหนังสร้างเพื่อเอาใจตลาดจีนแผ่นดินใหญ่โดยเฉพาะ แต่กลับทำรายได้ในจีนอย่างน่าผิดหวัง ถึงตอนนี้หนังทำเงินทั่วโลกไปแล้วแค่ 42 ล้านเหรียญฯ แต่การที่หนังประสบความสำเร็จอย่างสูงใน Disney+ ก็คงจะพูดไม่ได้ว่า Mulan เป็นงานที่ล้มเหลว
เมื่อหนังความหวังไม่ได้อย่างหวัง
ขณะที่ Mulan ยังพอไปได้ในการฉายโรงสำหรับตลาดต่างประเทศ และขายในสตรีมมิงสำหรับตลาดสหรัฐฯ แต่ Tenet ของ Warner Bros. Pictures และ คริสโตเฟอร์ โนแลน ที่เน้นฉายหนังในโรงภาพยนตร์ กลับพบกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก
ถึงตอนนี้หนังทำเงินไปแล้ว 207 ล้านเหรียญฯ สำหรับการฉายทั่วโลก ซึ่งเป็นตัวเลขที่น้อยกว่าที่หลายฝ่ายคาด และสะท้อนว่าผู้ชมส่วนใหญ่ทั่วโลกยังไม่พร้อมสำหรับการกลับเข้าโรงภาพยนตร์ในตอนนี้
รายได้ที่น่าผิดหวังของ Tenet ไม่ได้เป็นเรื่องน่าผิดหวังสำหรับ Warner Bros. Pictures เท่านั้น แต่ยังเป็นการดับความหวังของโรงภาพยนตร์ทั่วโลกด้วย โดยมีข่าวว่าหนังหลาย ๆ เรื่องที่เตรียมลงโรง อย่าง Wonder Woman 1984 และ Black Widow ได้ประกาศเลื่อนฉายไปเป็นปลายปีนี้ หรืออาจจะเป็นปีหน้าเลย
ส่วนบริษัทผลิตภาพยนตร์อย่าง Sony ก็ถึงกับเปรยว่าพวกเขาอาจจะรอให้ทุกอย่าง "กลับมาเป็นปกติก่อน" จึงจะนำหนังฟอร์มใหญ่ของบริษัทอย่าง Venom 2 หรือ Morbius เข้าฉาย