“จอย รินลณี” เผย โควิด-19 ทำให้พักยาวจนคิดเรื่องรีไทร์ แอบคิดถึงบั้นปลายชีวิตในวัยเกษียณ ตอนนี้เตรียมเงินสำคัญที่สุด แพลนอนาคตมีแต่แม่-พี่สาว แอบคิดเรื่องลูก แต่ไม่อยากมีสามี ย่องเช็กความสมบูรณ์ของไข่แล้ว แต่ความเป็นแม่ยังมีไม่พอ
ได้ฤกษ์กลับมารับงานอีกครั้ง สำหรับนักแสดงสาว “จอย รินลณี ศรีเพ็ญ” หลังจากที่ต้องหยุดพักไปนานกว่า 3 เดือน ในช่วงของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยวันนี้สาวจอยก็ได้ประเดิมการกลับมารับงาน ด้วยการทำหน้าที่พิธีกรสาวสวย ในงานเปิดตัวบริษัท โฮปฟูล จำกัด อย่างเป็นทางการ ณ ห้องเกรท บอลรูม ชั้น 3 โรงแรมดับเบิ้ลยู
“หยุดนานมาก ช่วงโควิด-19 รู้สึกตื่นเต้นเลยนะ หยุดมาสัก 2-3 เดือนได้ค่ะ นี่เป็นงานแรกในรอบ 3 เดือน ที่ออกมาสาธารณชน ไปถ่ายรายการ ถ่ายละครวันแรก มันเหมือนเปิดเทอมจริงๆ ทุกอย่างมันจะฝืดนิดหนึ่ง เหมือนเราหยุดไปนาน สมองมันก็จะไม่ค่อยไปเท่าไหร่ แต่ก็รู้สึกว่ามันเป็น New normal จริงๆ ที่ทุกคนนั่งเว้นระยะห่างกัน เป็นบรรยากาศอีกแบบหนึ่ง ที่เราไม่เคยสัมผัสมาก่อนค่ะ”
การกลับมาทำงานหลังจากหยุดไปนาน ต้องตั้งสติดีๆ และรีสตาร์ทใหม่ เหมือนเด็กเปิดเทอม แต่ตอนนี้เริ่มอยู่ตัวแล้ว
“คือต้องพยายามสติดีๆ ค่ะ พยายามดูแล้วดูอีก แต่ม้นก็ยังมีผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ก็รู้สึกว่าทุกอย่าง ถ้าเราหยุดไปนานๆ มันก็จะต้องสตาร์ทใหม่ ต้องพยายามให้มีเอ็นเนอร์จี้ เหมือนเด็กปิดเทอมนานๆ อะ ตอนแรกๆ มาทำงานก็จะแบบโอ้ย แต่ตอนนี้ก็เริ่มอยู่ตัวค่ะ เพราะอย่างละครเองก็ถ่ายมาร่วมเดือนแล้วเหมือนกัน”
ช่วงนี้งานพิธีกรยังติดต่อมาไม่เยอะ เพราะคนยังค่อนข้างระวังกับการจัดงานอยู่
“ก็ถือว่าไม่เยอะนะคะ จริงๆ เราก็ยังแอบคุยกับออแกไนซ์ เขาก็ถามเราว่าช่วงนี้มีเยอะไหม เราบอกว่าไม่เยอะ เขาก็บอกว่าเขาก็ไม่เยอะ คือ คนยังค่อนข้างระวังในการจัดงาน ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดี อย่างวันนี้การจัดงานเขาก็ค่อนข้างเซฟมาก มีระยะห่าง แต่ถามว่าก่อนจะมีโควิด-19 งานพิธีกรมีเยอะไหม จริงๆ ก็มีเรื่อยๆ อยู่แล้ว แต่พอโควิด-19 ทุกอย่างก็หยุดเหมือนกันหมดค่ะ”
เรื่องการสูญเสียรายได้ ทุกอาชีพบนโลกได้รับผลกระทบหมด
“ก็หมดทุกคน (หัวเราะ) มันก็เยอะแหละค่ะ แต่ว่ามันไม่ใช่แค่นักแสดง มันทุกอาชีพในโลกใบนี้ ทุกคนก็คือรายได้ลดลงอยู่แล้วค่ะ”
หยุดโควิดไม่ได้มีอาชีพเสริมเหมือนคนอื่น แต่ได้หยุดพักผ่อนในรอบ 10 ปี เหมือนซ้อมรีไทร์ไว้ก่อน
“ไม่มีค่ะ ช่วงที่ผ่านมาก็รู้สึกว่าเป็นช่วงพักผ่อนของชีวิต เพราะว่าเราทำงานมา ก็ไม่ค่อยมีเวลาได้หยุดแบบนี้ มาเป็นสิบๆ ปีแล้ว มันก็เหมือนเป็นช่วงเบรก เป็นการซ้อมก่อนรีไทร์ค่ะ (หัวเราะ) เรามีความรู้สึกว่าถ้าเราอายุ 60-70 ทุกคนต้องมีภาวะนี้ ที่แบบไม่ต้องทำงาน ทุกคนต้องเจอเหตุการณ์แบบนี้ แต่ว่าอันนี้เป็นการซ้อมให้เราได้รู้ ว่าถ้าไม่ได้ทำงานแล้ว ชีวิตเราจะเป็นแบบนี้นะ มันก็เหมือนเป็นการให้ทุกคนได้ซ้อมการใช้ชีวิตในอนาคตที่มันจะเกิดขึ้นค่ะ”
การได้หยุดอยู่กับบ้าน ได้มีเวลาพักผ่อนอยู่กับครอบครัวมากขึ้น ฟังดูดี แต่จริงๆ แค่เป็นการหาข้อดีในเรื่องแย่ๆ เท่านั้น
“ตอนแรกมีความรู้สึกร้อนรนมาก คือ แค่วนอยู่ในซอยบ้าน ด้วยความที่ออกงานทุกวันไม่เคยอยู่บ้าน แต่อันนี้คือเราอยู่ตลอด ไปไหนไม่ได้ แค่วนรถอยู่ในรถเราก็รู้สึกดีแล้ว ว่าเราได้ออกจากบ้าน แต่พอผ่านไปสักพักหนึ่ง เอาจริงๆ เราเริ่มอยู่กับมันได้ รู้สึกว่าเรามีความสุขในแบบของเราได้ คือ เรารู้ว่าจริงๆ แล้วเราได้มีเวลาอยู่กับครอบครัวเยอะขึ้น ได้มีเวลาทำในสิ่งที่เราไม่ค่อยได้ทำ ได้ออกกำลังกาย ได้ทำอาหาร ได้พูดคุยกับแม่ ได้อยู่กับแม่ทั้งวันเลย ก็มีความรู้สึกว่าจริงๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีหรอกค่ะ แต่เราก็ต้องหาข้อดีในเรื่องแย่ๆ”
ความคิดอยากจะรีไทร์เกิดขึ้นมาตั้งแต่ช่วงแรกที่เริ่มหยุดโควิด
“คือเริ่มรู้สึกตั้งแต่แรกๆ ของการหยุดพักเลยค่ะ ด้วยความที่มันไม่เคยหยุด แล้วเรารู้สึกว่าแบบเราเคยคิดว่าถ้าเราไม่ได้ทำงานแล้ว เราจะรู้สึกยังไง เรารู้สึกแบบนั้น แล้วพอถึงวันที่เป็นโควิด-19 เราก็เข้าใจแล้ว ว่าชีวิตบั้นปลายของเราจะเป็นยังไง การเตรียมความพร้อม จอยว่าจริงๆ คือ การคุมสติ ให้ทุกคนกลับมามองว่าเราต้องเตรียมเงินให้พร้อม เราต้องหากิจกรรมอะไรที่เราทำ ไม่ใช่อยู่ไปเฉยๆ พอไม่ทำอะไรเลย ให้อยู่บ้านนั่งดูซีรีส์ กินข้าวทั้งวันจริงๆ มันก็จะถดถอยไปเรื่อยๆ ทั้งสมองและร่างกาย มันต้องมีการทำอะไรที่เรายังใช้เอ็นเนอร์จี้อยู่ค่ะ”
การอยู่บ้านทำให้ค้นพบว่าตัวเองทำขนมได้ แล้วยังได้เจอความสุขที่เคยลืมไป อย่างการอ่านหนังสือ
“ทำขนมค่ะ แล้วอีกก็คือได้อ่านหนังสือ จริงๆ เราค้นพบว่าเมื่อก่อนเราชอบอ่านหนังสือมากๆ แต่พอเราทำงาน เราเลิกอ่านหนังสือไปเลย แต่พอช่วงโควิด-19 เรามีเวลาเยอะมาก เราได้กลับมาอ่านอีก เรามีความรู้สึกว่ามันเป็นความสุขที่เราลืมไป ว่าการอ่านหนังสือเรามีความสุข แล้วเราก็ได้ความรู้ การที่เรามีหนังสือดีๆ อยู่สักเล่มหนึ่ง เราสามารถมีกิจกรรมทำไปได้ 2-3 วัน เราอาจจะลืมตรงนี้ไปแล้ว วันหนึ่งเราก็ได้กลับมาทำอีกครั้งหนึ่งค่ะ”
ในสถานการณ์แบบนี้การเตรียมเงินให้พร้อม คือ สิ่งสำคัญที่สุด ต้องคิดเผื่อไว้หากไม่มีรายได้เข้า จะใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างไร
“ก็คือเรามีความรู้สึกว่า เราจะต้องมีเงินให้พร้อม เพราะหลายๆ คนมีปัญหา เพราะไม่ได้เตรียมเรื่องของการเงิน ทุกคนจะใช้ชีวิตแบบแฮปปี้ ไม่ได้เผื่อว่าถ้าเราไม่มีรายได้สัก 2-3 เดือน จะเป็นยังไง อันนี้มันทำให้เราได้คิด แต่ถ้าตัวจอย จอยเป็นคนวางแผน ในเรื่องนี้จอยซีเรียส ตั้งแต่เด็ก รู้สึกว่าเราเซฟ แล้วต่อไปเราสามารถเป็นคนแก่ที่มีชีวิตที่โอเคอยู่ได้ แต่มันทำให้เราได้มองว่า หลายๆ คนเดือดร้อน เขาเดือดร้อนเพราะว่าไม่ได้เตรียมในจุดนี้ ว่าวันหนึ่งมันอาจจะไม่มีรายได้เข้ามา 3 เดือนนะ”
สำหรับตัวเองตอนนี้ หากเกษียณก็สามารถอยู่ได้แบบไม่เดือดร้อน เพราะวางแผนไว้ตั้งแต่เริ่มทำงานแล้ว
“อยู่ได้ค่ะ พร้อม แต่ไม่ได้หมายถึงว่ามีเยอะ แต่ว่าเราเตรียมพร้อมมาตั้งแต่เด็กๆ คือจอยไม่ได้เป็นคนแบบซื้อแบรนด์เนม เรารู้สึกว่าเราเก็บเงินเราไปลงทุนต่อยอด ทั้งงานที่เราทำ เราก็ได้เงิน เราก็เอาเงินไปต่อยอดด้วยการลงทุน เราจะบริหารเงินของเรา ว่าอายุสัก 85 เราจะใช้เงินเท่าไหร่ เราคิดแบบนี้ตั้งแต่เราเริ่มทำงานวันแรก แล้วก็รู้สึกว่าตอนนี้เราก็พร้อมนะ แต่เราก็ยังทำงานอยู่ค่ะ (หัวเราะ) อย่าเลิกจ้างนะคะ ยังทำอยู่ค่ะ”
“แต่เป็นคนวางแผนเรื่องการเกษียณมาตลอด แล้วก็เริ่มดูต่างจังหวัด เราอยากอยู่ต่างจังหวัด เป็นคนชอบธรรมชาติ ว่างเราก็เริ่มดูที่ อยากจะอยู่ที่ไหน แพลนชีวิตเรายังไงในอนาคต ตอนนี้ก็ดูอยู่หลายที่ อยากจะเป็นแบบเขาๆ ที่สามารถปลูกผักปลูกหญ้าได้ อยากจะมีฟาร์มออร์แกนิกของตัวเอง เลี้ยงสัตว์ คือรู้สึกว่าอยากมีของกินเป็นของตัวเอง ในช่วงโควิด-19 เราอิจฉาคนต่างจังหวัดมาก เพราะเราเป็นคนกรุงเทพฯ แต่ถ้าเกิดอะไรขึ้น คนกรุงเทพฯ อดตายนะ เพราะกรุงเทพฯ ไม่มีอะไรเลย ต่างจังหวัดเขาเก็บผักเก็บหญ้า อยู่ในน้ำก็สามารถหาของกินได้ เรารู้สึกว่านั่นเป็นสิ่งสำคัญที่เราต้องมี”
ไม่เคยวางแผนเรื่องชีวิตคู่ คิดแค่ว่าต้องเอาตัวเองให้รอด เพื่อเป็นหลักให้คนครอบครัว
“ไม่เคยวางแผนเรื่องคู่ชีวิตเลย คือ เราต้องเอาตัวเราให้รอดเป็นหลักก่อน แล้วเราก็อุ้มคนในครอบครัวเราให้ได้ อีกคนหนึ่งที่จะเข้ามามันแล้วแต่ มันอาจจะมีหรือไม่มีก็ได้ แต่เราต้องอยู่ได้ด้วยตัวเอง”
ไม่เคยคาดหวังกับเรื่องของความรัก แพลนในชีวิตมีแค่ตัวเองกับแม่และพี่สาวเท่านั้น
“ไม่เคยหวังเลย ก็เลยไม่รู้ว่ามีหวังไหม ไม่เคยมองว่าจะต้องมีคู่ชีวิตหรืออะไร คือการแพลนของเราไม่เคยมีใครอีกคนหนึ่งเลย เราแพลนแค่เรา พี่สาว คุณแม่ เราไม่เคยแพลนนอกเหนือจากนี้เลย แพลนบีก็ไม่มี แพลนบีคือแพลนที่แล้วแต่ (หัวเราะ) เราปล่อยเป็นว่างๆ ไว้ เรามีแค่แพลนเอ แพลนบีมันจะเป็นเรื่องที่ไม่คาดฝันค่ะ”
ทุกวันนี้ก็ยังเปิดใจสำหรับเรื่องความรักอยู่ บอกอยู่ด้วยตัวเองตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้ ในอนาคตก็ต้องอยู่ได้อยู่แล้ว
“ก็เปิดใจนะคะ แต่ก็ไม่ได้มีใครนะคะ ไม่ได้แพลนเรื่องนี้จริงๆ คือถ้าเข้ามาแล้วรู้สึกว่าคุยกันโอเค แต่เราไม่ได้ว่าอยากมีจังเลย เราไม่เคยมีภาพในอนาคตเป็นเรื่องของใคร (ที่ผ่านมาก็มีเข้ามาบ้างใช่ไหม?) ไม่มีนะคะ โควิดก็อยู่บ้าน (หัวเราะ) เราอยู่ด้วยตัวเองมาตั้งแต่เด็กจนทุกวันนี้ค่ะ แล้วก็ในอนาคต เราก็ต้องอยู่ได้อยู่แล้วค่ะ”
ความสุขเกิดจากตัวเอง ไม่ต้องเกิดจากใคร ทุกอย่างเริ่มต้นจากตัวเอง
“คือความสุขของเรา มันไม่จำเป็นต้องเกิดจากใครคนใดคนหนึ่ง ความสุขของเราก็คือเกิดจากเรา ความสุขที่เรามีกับครอบครัว เรามีความรู้สึกว่าเราไม่ได้เป็นคนขี้เหงา เราชอบหากิจกรรมอะไรทำ แล้วก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนอื่น เรารู้สึกว่าทุกอย่างมันเริ่มต้นจากตัวเราเองค่ะ (คือไม่โหยหาใช่ไหม?) ไม่ แต่มีก็โอเค (หัวเราะ) แต่ตอนนี้โสดมากค่ะ”
แอบคิดอยากมีลูก แต่ไม่อยากมีสามี เคยไปเช็กไข่มาแล้ว สมบูรณ์ดีมีลูกได้ แต่สุดท้ายก็ยังไม่ไปฝาก อาจจะเป็นเพราะยังไม่มีความเป็นแม่มากพอ
“แอบมีความคิด คือไม่ได้อยากมีสามีนะ แต่เคยแอบมีความคิดว่าอยากมีลูก (หัวเราะ) คือ เอาจริงๆ แอบไปเช็กไข่นะ ด้วยความที่เราคุยกับน้องจ๊ะ (จิตตาภา แจ่มปฐม) น้องเอิน (นิธิภัทร์ เอื้อวัฒนสกุล) ตลอด เขาก็จะทำเรื่องพวกนี้ เขากำลังพยายาม เราก็อยากรู้ว่าเรายังสามารถมีลูกได้อยู่หรือเปล่า เราก็ไปเช็กไข่มา หมอบอกว่าสมบูรณ์มาก สามารถมีได้ แต่เราก็ยังไม่มีความคิดจะเก็บไข่ คือถ้าคนอยากจะมีลูก เขาก็จะมีความคิดว่าจะเก็บไข่ดีไหม เผื่ออนาคต”
“แต่ทุกวันนี้เราก็ยังไม่เก็บ เหมือนเราไม่ได้อยากมีขนาดนั้น เราไปเช็กว่ามีไข่เยอะมาก ที่สามารถเก็บได้ แต่สุดท้ายเราก็ตัดสินใจว่าเราก็ไม่ได้อยากเก็บ เรายังถามว่าไม่ได้อยากท้อง ให้พี่สาวท้องได้ไหม หมอก็บอกว่าพี่สาวแก่ไป ก็คือ ไม่อยากท้องเองอีก เลยรู้สึกว่าเราก็คงไม่ได้อยากมีลูกจริงๆ มั้ง เพราะขนาดท้องยังไม่อยากท้องเองเลย เราก็อาจจะยังไม่ได้มีความเป็นแม่ ที่รู้สึกว่าฉันอยากมีลูกในอนาคตนะ คือมาแอบคิดค่ะ แต่ก็ยังไม่ลงมือทำ”