จากแค่แฟชั่น, ของเด็กเล่น ที่ใครหลายๆ คนเคยมองว่าไร้สาระ ปัจจุบันคงต้องยอมรับว่าการแต่งตัวเลียนแบบตัวการ์ตูน - คนดัง หรือที่เราเรียกกันว่าการ "คอสเพลย์" นั้นได้กลายเป็นอาชีพหนึ่งของเด็กรุ่นใหม่ไปแล้ว
แต่ถึงแม้จะกลายเป็นเวทีที่สร้างชื่อ-รายได้และถูกยอมรับมากขึ้นในฐานะ "งาน" ของเด็กรุ่นใหม่ แต่ก็ต้องยอมรับว่าเรื่องราวในแวดวงการคอสเพลย์เยอร์บ้านเราก็ยังเป็นที่รับรู้อยู่ในวงแคบ ๆ
การมีโอกาสได้พูดคุยกับคอสเพลย์เยอร์สาววัย 19 ครั้งนี้จึงเป็นเรื่องยินดีอย่างยิ่ง เพราะอย่างน้อยๆ คำบอกเล่าของเธอก็ทำให้เราได้เห็นอีกหนึ่งมุมของวงการนี้ที่เราไม่เคยรับรู้มาก่อน
"หนูรู้จักคอสเพลย์ก็น่าจะตอนเรียนอยู่ประถมช่วง ป.3-6 ค่ะ เริ่มต้นก็คงจะมาจากการเป็นคนชอบวาดชอบอ่านการดูการ์ตูนนี่แหละ..." คำบอกเล่าจาก "โม่ยจัง" (ชลฐิติรัตน์ แก้วแดง) คอสเพลย์แนวหวิวเริ่มต้นเล่าถึงที่มาของการแต่งตัวเลียนแบบตัวการ์ตูนของตนเอง
"คือตอนนั้นชอบการ์ตูนอยู่เรื่องหนึ่งชื่อ "เค-อง" (K-ON! - ก๊วนดนตรีแป๋วแหวว) เป็นการ์ตูนแนวนักเรียนม.ปลาย ที่ชอบเล่นดนตรี หนูกับเพื่อนก็จัดกลุ่มกันและทำทุกตัวละครเลย แล้วก็มีเพื่อนคนหนึ่งเอาหนังสือมาเปิดให้ดูบอกรู้จักคอสเพลย์เปล่า หนูก็บอกว่ามันมีอย่างนี้ด้วยหรอ"
"ตอนนั้นหนูรู้สึกว่ามันมหัศจรรย์มากเพราะตัวการ์ตูนลายเส้นที่อยู่ในหนังสือสามารถมาแต่งเป็นคนจริง ๆ หนูรู้สึกว่ามันว้าวมากเลย ก็เริ่มสนใจแล้วก็มาแต่งตัวจริง ๆ จัง ๆ ก็ตอนม.1 แต่ตอนนั้นยังไม่ได้รับเป็นอาชีพค่ะ เพราะตอนเด็กถ้าถามว่าอยากเป็นอะไรก็อยากเป็นหมอ อยาเป็นครูอะไรไปเรื่อย"
แล้วรู้เมื่อไหร่ตรงนี้สามารถทำเป็นอาชีพได้?
"ต้องย้อนกลับไปนิดนึงว่า ช่วงม.ต้น ตอนที่หนูเรียนหนังสือหนูก็ช่วยที่บ้านทำงานไปด้วย คือคุณแม่จะเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวค่ะ เขาก็ทำธุรกิจส่วนตัว พวกโรงพิมพ์ หนูก็รู้สึกว่ามันแคบ แล้วงานอดิเรกที่หนูชอบคือคอสเพลย์เงินที่แต่งตัวมันค่อนข้างสูง อย่างชุดคอสเพลย์ชุดนึงก็เป็นพันแล้ว ไม่รวมวิก รองเท้า"
"ตอนนั้นเลยมีความรู้สึกว่าถ้าอยู่ที่เชียงใหม่ทำงานพาร์ทไทม์รายได้กับความชอบที่เราอยากจะทำมันไม่บาลานซ์กัน หนูก็เลยคิดว่าไปอยู่กรุงเทพดีกว่า ความคิดแรกคืออยากจะไปเป็นนางแบบ มาถ่ายแบบ ไม่ได้จะมาเป็นคอสเพลย์อะไร จนวันนึงไปเดินเล่นงานคอสเพลย์ ก็เห็นว่าทำไมบูทตรงนี้มีคนแต่งตัวคอสเพลย์ไปยืนด้วย"
"หนูก็สงสัยว่าไปยืนถ่าย หรือยืนเฉยๆ หรืออะไร เพราะบูทนั้นไม่เกี่ยวอะไรกับการ์ตูนเลย ก็เลยไปถามพี่ๆ เขา ก็เลยรู้ว่าเค้าโดนจ้างมา จากนั้นก็เลยไปค้นดูในโซเชียลจนรู้ว่ามีแบบนี้ด้วย"
เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญไม่น้อยที่เด็กอายุแค่ 16 จะตัดสินใจไม่เรียนต่อแล้วมาอยู่กรุงเทพฯ คนเดียว ตอนนั้นเราบอกคุณแม่ว่าอย่างไร?..."ก็บอกแม่ว่าหนูไม่อยู่แล้วนะ จะไปกรุงเทพ เขาก็บอกเราว่าไปสิ ไปแล้วอยู่ให้รอดแล้วกัน อย่าร้องไห้กลับบ้าน อย่ามาขอเงินใช้แล้วกัน (หัวเราะ) แล้วตอนนั้นพอดีคุณแม่ก็มีครอบครัวใหม่ด้วย"
"คุณพ่อก็ให้เงินมา 500 บาท เป็นค่ารถ ก็นั่งรถทัวร์มากรุงเทพ มาอยู่กับพี่ที่รู้จักกัน ก็ต้องยอมรับว่าคือช่วงแรก ๆ ที่มากรุงเทพแทบไม่ได้โทรศัพท์หากันเลย แม่ไม่คุยกับหนูเลย เหมือนแม่กับลูกทะเลาะกัน แล้วพอหลัง ๆ มาเริ่มอยู่ได้ เริ่มมีอะไรเป็นของตัวเอง แม่ก็เริ่มโทรศัพท์มา บอกอยู่ได้เนอะไม่กลับมา ไม่ร้องไห้เนอะ"
ช่วงเริ่มต้นอาชีพคอสเพลย์แรกๆ เป็นอย่างที่เราหวังมั้ย?..."เริ่มรับถ่ายงานครั้งแรกจะเป็นแนวคอสเพลย์ ใส่เสื้อผ้าไปถ่ายในสถานที่สาธารณะต่างๆ เช่น สวนรถไฟ สตูดิโอ คือปีแรก ๆ ไม่ค่อยเรียกเงินได้เท่าไหร่ เหมือนให้ตากล้องถ่ายแล้วเก็บรูปไว้เป็นพอร์ตโฟลิโอ(Portfolio) ให้คนแชร์ให้คนเห็นผลงานตัวเองก่อน"
"พอถ่ายมาสักพักก็มีตากล้องแนะนำว่าลองถ่ายชุดเซ็กซี่ดูมั้ย ครั้งแรกเรากลัวมากนะว่าแม่จะโอเคมั้ย จะเป็นยังไง แต่ใจก็อยากลองเพราะรายได้ค่อนข้างจะดีกว่าด้วยแหละ"
พอจะบอกตัวเลขได้มั้ย?
"คือช่วงใหม่ๆ ที่ยังไม่ค่อยจะเป็นที่รู้จัก ก็เรียกอะไรได้ไม่มาก อย่างงานเซ็กซี่ช่วงแรกๆ ได้ 8,000 บาทต่อ 3 ชั่วโมง ก็ต้องไป ตอนนี้เรตราคาอยู่ที่ 10,000-15,000 บาท ต่องานถ่ายแบบใน 3 ชั่วโมง ส่วนยืนบูทเขาจะให้ยืนเป็นวันประมาณ 9 โมงเช้า ถึง 6 โมงเย็น เรตก็แล้วแต่ที่ค่ะ ก็เคยยืนบูทได้วันละ 10,000 บาทก็มี"
คงไม่ต้องถามมั้งว่าทำงานตรงนี้เจอคนหื่นๆ หรือเปล่า?..."ช่วงแรกๆ โดนค่ะ โดนเยอะมาก โอ๊ย น้องนมแบบน่าจับ เมื่อก่อนหนูเป็นคนที่เดือดเห็นแล้วด่าเลย...เอาจริง ๆ หน้างานไม่ค่อยมีนะคะ ก็ใม่มีคนเข้ามาจับตัวเราเลย แต่น้องๆ คนอื่นเจอเยอะมาก อย่างพวกแอบถ่ายใต้กระโปรงอะไรพวกนี้ก็มี"
"กฏในงานคอสเพลย์ก็เหมือนกฏทั่วไปที่ใช้ในสังคมค่ะ คืออย่างเวลาเราเจอคนไม่รู้จัก ถ้าเราไปจับตัวหรือตั้งใจไปโดนตัวเขามันก็ไม่ควรใช่มั้ยคะ แล้วเวลาถ่ายรูปถ้าเป็นท่าโอบไม่ซีเรียสค่ะ แต่ถ้ามาจับตรงสะโพกอันนี้ไม่ใช่แล้ว ไม่โอเค สิ่งแรกที่จะทำคือไม่พูดอะไรมาก จะปัดมือเขาออกเลย ปัดให้รู้ว่าอย่าจับ"
หลายคนอาจจะรู้สึกว่าแคสเพลย์แนวเซ็กซี่ที่เราแต่งนอกจากจะไม่สร้างสรรค์แล้วมันยังส่อไปในเรื่องอนาจารมากกว่า..."ก็ได้ยินอยู่ค่ะ คือบางคนคำพูดดูเหมือนเขาไม่มั่นใจว่ามันจะดีหรือ เป็นไอดอลแบบนี้จริงหรือ ซึ่งสำหรับหนูแล้วแต่คนจะมอง เพราะเราไปห้ามความคิดคนไม่ได้"
"เพราะตั้งแต่แรกถ้าเขามองเราดีมันก็ดี ถ้าเขาจะมองเราไม่ดีมันก็ไม่ดี ถึงเราจะทำอะไรออกมาดีขนาดไหน เราอาจจะไม่ได้ขายคอสเพลย์โป๊ ถ้าคนจะมองเราไม่ดีก็ไม่ดีได้ แต่ถ้าให้หนูพูดในจุดนี้ คือโลกมันค่อนข้างใหม่ ใหม่ในที่นี้คือมันมีอะไรมากขึ้น อย่างคอสเพลย์ในต่างประเทศเขาก็ถ่ายแนวนี้เป็นปกติ"
"บางคนก็เบื่อคอสเพลย์แนวเรียบร้อยแล้ว อย่างหนูคอสเพลย์ชุดเกราะแต่คนไม่สนใจไม่จดจำ แต่พอมาคอสเพลย์ชุดเซ็กซี่วาบหวิวคนสนใจก็จะจำเราที่ตรงนั้น ส่วนจะมองว่าดีหรือไม่ดีขึ้นอยู่ที่คนแต่ละคน เราก็แค่รู้ว่าเราทำอะไรอยู่ เวลาเราแต่งเซ็กซี่หนูจะสอนทุกคนว่าเวลาเราใส่อะไรชุดโป๊แค่ไหนเราต้องเซฟตี้"
เคยจินตนาการมั้ยว่า คนที่เห็นภาพเราเค้าจะเอารูปเราไปแล้วจินตนาการเรื่องอย่างว่า...?
"โอ๊ย! เห็นเยอะแยะ เมื่อก่อนรู้สึกประสาทแดกเลยนะ ทำไมเขาเอารูปเราไปทำอย่างนั้นอย่างนี้ ตอนหลังปลงเพราะเห็นเยอะ ยกตัวอย่างอันหนึ่ง คือเขาเอารูปหนูไปช่วยตัวเอง แล้วเขาถ่ายเป็นคลิปวีดิโอเลย เขาไม่ได้ส่งมาให้หนูนะ เขาเอาไปอัพลงในทวิตเตอร์ ซึ่งทวิตเตอร์ส่วนใหญ่จะมีเรื่องพวกนี้เยอะ"
"เพื่อนๆ โดนหลายคนเลย เพื่อนๆ บางคนรับไม่ได้ก็มี ซึ่งในความคิดของหนูก็คือคนเราก็มีอารมณ์ทางเพศ คนเราเกิดมาไม่ได้มองตากันแล้วท้อง คนเราก็ต้องหาที่ระบาย อยู่ที่ว่าการระบายของเขาจะเป็นแบบไหน ถ้าเอารูปหนูไปช่วยตัวเองแล้วคุณโอเค จบตรงนั้น คุณไม่ไประรานผู้หญิงคนอื่น ก็นับว่าดีค่ะ"
"ซึ่งหนูก็ยินดีด้วยที่รูปของหนูทำให้คุณสามารถสำเร็จความไคร่ได้ ทำให้คุณรู้สึกสบายตัวได้ คือเมื่อก่อนรับไม่ได้กับเรื่องนี้ จนอยู่มาสักพักก็คิดได้ว่ามันก็ดีนะที่เค้าเอาแค่รูปเราไป เขาไม่ได้มาก้าวก่ายในตัวเราเลย ก็คือแค่รูป ดีกว่าที่เขามาจับตัวเรา ลากเราไปทำอะไรที่ไม่ดี คือถ้าสบายใจที่จะทำแบบนี้ก็ตามสบาย ทำไป แต่ไม่ต้องบอกก็ได้"
ตอนนี้คุณแม่รู้หรือยังเราทำงานถ่ายภาพแนวนี้?..."รู้ค่ะ เป็นเพื่อนในเฟซบุ๊ค เห็นตลอด เขาจะกดไลค์แต่จะไม่คอมเมนต์ แม่ไม่ค่อยว่าอะไร แต่เขาจะบอกว่าปิดๆ ไว้อย่าไปเปิดตรงนั้นแล้วกัน มันไม่ดี คุณแม่เป็นแนวรักนะแต่ไม่พูด เวลามีอะไรถ้าเขารู้สึกไม่โอเคเขาก็จะไปบอกเพื่อนสนิทหนูให้มาบอก เขาจะไม่มาบอกตรง ๆ"
เคยมองอายุการทำงานของตัวเองมั้ยว่าจะทำตรงนี้ไปถึงอายุเท่าไหร่?..."หนูว่าสัป 23 ค่ะ หลังจากนั้นก็กลับไปช่วยธุรกิจของพ่อกับแม่ เพราะว่าตอนนี้แม่ก็เริ่มตาม ๆ ให้กลับไปช่วยแล้วค่ะ..."
มีข่าวไปถูกจับที่ประเทศมาเลเซีย เล่าให้ฟังหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้น?
"คือมีออแกไนซ์เชิญไปร่วมงาน Cosplay Festival 4 ที่ประเทศมาเลเซียค่ะ ซึ่งแขกที่มาร่วมโขว์ตัวเป็นคอสเพลเยอร์ที่ดังระดับโลกเลย ก็มีการคุยกันว่าจะเชิญเราไปยังไง คือเขาจะรับผิดชอบเรื่องค่าเดินทาง ค่าที่พัก ค่าตั๋วให้ คือเป็นการดิวงานแบบเรามีบูทให้ แค่เราช่วยไปงานเขาได้ไหม แต่ไม่มีสัญญาจ้าง"
"ก่อนหนูไปก็ให้พวกออแกไนซ์ที่จัดงานในไทย เขาช่วยดูให้หน่อยว่าคนนี้มีประวัติไหม ซึ่งรุ่นพี่ที่ดูให้เขาก็บอกว่าไม่มีประวัติอะไร ก็โอเคไม่น่ามีปัญหาอะไร พอไปถึงเขาก็ส่งคนขับมามารับไปโรงแรม ซึ่งโรมแรมที่พักนั้นข้างล่างก็เป็นที่จัดงานเลย ในสองวันแรกที่ไปก็ไม่ต้องทำอะไร ก็ไปเที่ยว ไปเฮฮาทุกอย่างปกติ"
"พอถึงวันงานเราก็ตื่นมาแต่งตัวแต่เช้า ก็ไปคุยบรีฟงานกับเขาว่าต้องมีอะไรพิเศษหรือเปล่า ซึ่งตอนนั้นทุกอย่างก็ปกติดี ขายของก็ปกติ พอถึงคิวแสดงช่วงประมาณบ่ายโมง หนูก็ขึ้นไปร้องเพลง พอเสร็จก็ลงมานั่งที่บูทแล้วก็เดินไปเดินดูของขายในงาน ตอนนั้นก็มีคนเข้ามาถามเราว่ามีพาสปอร์ตมั้ย"
"หนูก็ไปเอามาให้เค้าดู พอเขาเห็นเป็นคนไทยก็จับเลย ล่ามก็เริ่มหน้าเสียแล้ว จากนั้นก็โดนใส่กุญแจมือพาไปขึ้นรถเพื่อไปที่กักตัว ก็ถูกจับประมาณสิบกว่าคน ตอนแรกเขาไม่ได้บอกเหตุผลก่อนจะมาบอกว่าเป็นเพราะเราไม่มีใบอนุญาตการแสดง ซึ่งจริง ๆ ใบอนุญาตการแสดงนี้ออแกไนซ์ควรจะจัดการ"
"คือก่อนจะไปที่มาเลเซียหนูมีหลักฐานแชททุกอย่างในการถามเขาว่าเราต้องเตรียมเอกสารการแสดงอะไรมั้ย เขาก็บอกว่าไม่ต้องเตรียมอะไร เขาจัดการให้เราหมดทุกอย่างแล้ว"
คุก 7 วัน บรรยากาศไม่เลวร้ายอย่างที่คิด
"พอไปถึงก็ไปนั่งรอทำเอกสารสอบประวัติ เพื่อนที่โดนจับมาด้วยกันก็จะมีสิงคโปร์ จีน ญี่ปุ่น พอสอบประวัติเสร็จเขาก็เก็บพาสปอร์ต แล้วเขาก็เรียกตัวไปสัมภาษณ์ว่ามาจากไหนมาทำอะไร เสร็จแล้วก็ต่อแถวเปลี่ยนเสื้อเป็นชุดธรรมดา ตอนนั้นนอนในคุกประมาณ 7 วัน คือมันก็คือคุกค่ะ แต่เขาเรียกว่าที่กักกันตัว"
"แต่ข้างในค่อนข้างสะอาด คนสิงคโปร์เขาตกใจมากๆ จนร้องไห้กับเหตุการณ์นี้ แต่คนญี่ปุ่นกับคนจีนไม่ค่อยตื่นตระหนกเท่าไหร่ ตอนอยู่ข้างในก็อัดประมาณ 40-50 คนต่อหนึ่งห้องขัง ก็แยกโซนชายหญิง ถามว่าตอนอยู่ข้างในเจอเหตุการณ์อะไรรุนแรงมั้ย ก็ไม่ได้เจออะไรที่รุนแรงนะ"
"คนทั่วไปจะคิดว่าโดนรับน้อง โดนอะไรแน่ ๆ แต่ในความเป็นจริงคือสังคมข้างในดีกว่าที่เราคิดไว้มาก ไม่มีกฎอะไรเลยค่ะ อยู่กินนอน อาบน้ำ ทำอะไรก็ได้ตามสบาย เขาก็มีอาหารห่อ น้ำถุง ผลไม้ มาให้ แต่เขาไม่ได้ให้ช้อน ก็ใช้มือกินข้าว บางทีผู้หญิงเขาก็เอาผลไม้ที่ทางเรือนจำให้เอามาทาผิว ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอย่างที่คิด"
"ตอนนั้นคนด่าออแกไนซ์เยอะเลย แต่ก็ต้องขอบคุณที่เขาพยายามติดต่อเพื่อนๆ ในประเทศไทย ติดต่อสถานทูตให้ คือเขาผิดจริง ทางเขาก็ขอโทษทุกคนและรับผิดชอบออกค่าใช้จ่าย ค่าเสียหายให้ทั้งหมด ส่วนที่หลายคนสงสัยว่าการโดนจับจะมีประวัติอะไรมั้ย ก็ไม่มีค่ะ..."