"สิตางศุ์ บัวทอง" ไม่อยากเชื่อภาพตนไปอยู่บนผนังโบสถ์ รับตกใจผู้หญิงตลาดล่างไปอยู่ในพุทธประวัติได้ไง แจงก่อนหน้านี้มีลางบอกเหตุฝันเห็นตัวเองอยู่บนหลังม้า พร้อมเผยเคยแอนตี้ความดี
ตกเป็นข่าวฮือฮาเลยทีเดียว กรณีมีภาพของเน็ตไอดอลคนดัง "สิตางศุ์ บัวทอง" เจ้าของตำนาน "ส้มหยุด หยุดโดยไม่มีอะไรกั้น" ไปปรากฎอยู่บนฝาผนังโบสถ์วัดที่จังหวัดอุทัยธานี จนถูกพูดถึงเป็นวงกว้าง ล่าสุดเจ้าตัวได้ควงสามีชื่อ "ตี๋" มาเปิดใจผ่านรายการ คุยแซ่บSHOW ทางช่องONE31 ยอมรับไม่คิดว่าผู้หญิงตลาดล่างอย่างตนจะไปอยู่ในพุทธประวัติได้
สิตางศุ์ : "ไม่ทราบเรื่องมาก่อนเลย มารู้ในข่าวตอนเย็น เราตกใจ ดูข่าวกับเขา(สามี) เขาน้ำตาไหลเลย ว่าเป็นไปไม่ได้ผู้หญิงตลาดล่างอย่างฉันไปอยู่ในพุทธประวัติ ศิลปินผู้วาดเขาให้ข่าวว่า เผื่ออีก 60 ปีข้างหน้าใครถาม เขาเป็นคนวาดในยุคแม่สิตางศุ์ ส้มหยุด ยุคแม่สิตางศุ์ส้มหยุด มันเป็นไปไม่ได้ ฉันไม่ได้เป็นขนาดนั้น ฉันแค่คนธรรมดา ฉันแค่แม่บ้านขายของออนไลน์"
ตี๋ : "ก็ไม่น่าเชื่อว่าจะโด่งดังขนาดนั้น"
ก่อนจะมีภาพวาดปรากฏบนโบสถ์ออกมา ฝันเห็นตัวเองอยู่บนหลังม้า พร้อมเผยประสบการณ์เห็นผี
สิตางศุ์ : "ตั้งแต่เริ่มดัง แล้วเริ่มรีวิววัตถุมงคลในโลกออนไลน์ แล้วฉันเป็นคนเห็นผีตั้งแต่เด็ก ตอนหลังเราฝันเห็นว่าเราอยู่บนหลังม้า คือพระอาจารย์จะมาบอกว่าเราเป็นแม่เมืองตรงโน้น แล้วเราสวดมนต์ทุกวัน เราเห็นว่าเราอยู่บนหลังม้า"
"ตั้งแต่ย้ายเข้าบ้านใหม่ 6 เดือนที่นิมิตใหม่ มีผีผู้หญิงผมยาว เราก็รู้อยู่แล้ว เรารู้ แต่เราชอบบ้านหลังนี้ เราก็เอา ซึ่งตอนที่หมูบ้านนี้สร้าง แล้วบ้านหลังนี้มีผู้หญิงมาผูกคอตาย แล้ววิญาณผู้หญิง คือเฮียเจ้าของบ้านเคยเปิดให้เช่า 3 ครั้ง แล้วเราก็เหมือนโดนปลุกมาสวดมนต์ตั้งแต่ตี 5 ครึ่งทุกวันตั้งแต่ย้ายมา"
"ไม่เคยเจอแบบเป็นๆ แต่เวลาเราพูดอะไรที่ห้องพระ ห้องที่ผีผู้หญิงยืนตรงระเบียง เราทำเป็นห้องพระเลย เราสวดมนตร์คืนนั้นที่เราทำพิธีรำถวาย เราก็จุดธูป เพิ่งจุดธูปครั้งแรกที่เขาผูกคอตาย แล้วเรารู้สึกว่าเขาต้องการบ้าน เราก็ให้ลูกน้องตระเวนหาเรือนไทย 3 วัน ที่ไม่ใช่ศาล"
เชื่อเรื่องพญานาค
สิตางศุ์ : "พญานาคอยู่กันมาสักพักหนึ่งแล้ว ตั้งแต่เรารีวิวเรื่ององค์พญานาค เราไปรำถวายที่ขอนแก่นนี่หลายปี ตั้งแต่ดังช่วงสะบัดต่อไม่รอแล้วนะ"
ตี๋ : "ผมก็เชื่อเรื่องพญานาคครับ ก็เมื่อไม่กี่วันนี้ขับรถเข้าหมู่บ้าน รถกระบะมันถอยหลังมาโดนรถผม วันนั้นไหว้พระด้วย ถ้าไม่ไหว้คงโดนหนักกว่านั้น"
สิตางศุ์ : "ไม่น่าเชื่อ เขาขับช้าๆ มันทิ่มมาตรงประตู เขาโทร.มาว่าหมาสองตัวเขาเห่าลั่น เรากลับจากแกรมมี่เย็นนั้นรถก็ติด ฉันอกจะแตกเลย ตอนนี้สั่งคนมาเฝ้าบ้านเพิ่มแล้ว เพราะเราห่วงหมา เรามีลูกเป็นหมา"
เคยคิดฆ่าตัวตาย เกือบไม่มี "แม่สิตางศุ์" ในวันนี้
สิตางศุ์ : "มันเป็นแผลของครอบครัว มันเป็นแผลของตัวฉัน คือเราอยากนำเสนอแต่ความบันเทิง เพราะว่าที่บ้าน ที่เขาบอกว่าทำไมเล่าไม่ตรงกัน ไม่ใช่ค่ะ ฉันก็หลบบางเรื่องตอนแม่ฉันโดนฟ้องล้มละลาย ตอนนั้นแบบเราลำบากกันมากนะคะ เพราะเราลูกคนละพ่อ แล้วพ่อฉันเป็นนายทหาร แล้วพ่อเลี้ยงเขาอยู่ต่างจังหวัด แต่น้องมันลูกพ่อเลี้ยง"
"คือในความที่เราเป็นพี่ ทุกคนแยกย้ายกันไปหมด ฉันโดนยึด แล้วแม่ต้องหลบคดี สมัยนั้นปลูกตึกขายกันเอง มันเรื่องเมื่อ 40 ปีก่อน นี่ฉันอยู่มา 58 ปีแล้ว ตอนนั้นฉันอยู่ปี 1 แต่ต้องคิดก่อน ตอนนั้นฉันไม่เคยลำบากเลยนะ นั่งรถเมล์ยังไม่เป็น ต้องหอบน้อง 2-3 คน มาอยู่ห้องเช่า เราไม่เคยชิน ฉันเดินหางานแบบไม่ไหวแล้วนะ"
"แล้วคืนนั้นน้องหลับหมด ฉันเดินจากบางขุนนนท์ไปสะพานพระปิ่นเกล้า เมื่อ 40 ปีก่อน ซึ่งสะพานพระปิ่นเกล้าดังเรื่องคนไปกระโดดฆ่าตัวตายบ่อย เราก็ไปยืนบนสะพาน แล้วรู้สึกว่าทำแบบนี้ไม่ได้ พรุ่งนี้น้องยังเรียนประถมอยู่เลย เดี๋ยวเช้ามามันจะยิ่งกว่าเราไหม ฉันเดินกลับมาอีก พวกแม่ค้าเขารู้กันหมดนะว่าเด็กมันไม่เคยลำบาก คือดูผิวพรรณก็รู้"
ใครที่กำลังท้อให้ดูตนเป็นตัวอย่าง เคยไม่เหลืออะไรแต่ก็อดทนผ่านมันมาได้ ให้คิดซะว่าถ้าหมดกรรมแล้วชีวิตจะเจอแสงสว่างในสักวัน
สิตางศุ์ : "ไม่เคยน้อยใจโชคชะตานะ คิดอย่างเดียวน้องฉันต้องรอดก่อน บางวันฉันไม่ได้กินข้าว ไปทำงาน ฉันต้องเซฟทุกบาท เพิ่งรู้ว่าเงินมันมีค่า เรื่องพวกนี้ยังไม่อยากเล่าให้ใครฟัง แต่จะเล่าเพื่อเป็นวิทยาทาน เป็นอุทาหรณ์สำหรับคนที่ท้อ จะบอกว่าเราอย่าเพิ่งทำร้ายตัวเอง ถ้าเรารู้สึกว่ามีใครทำร้ายเรา การทำร้ายตัวเองเพิ่มเนี่ย เธอคิดดูคนที่รักเธอจะอยู่อย่างไร"
"ดูตัวอย่างแม่นะคะ แม่เคยผ่านเรื่องพวกนี้มาแล้ว ในวันที่เรารู้สึกไม่มีใคร เราต้องยืนหยัด เราต้องท่องเลยว่ายังมีตัวฉันเอง ตัวเรานี่แหละที่สร้างพลังภายใน เวลาเราท้ออย่าไปรอความหวังจากใคร ตัวเราเองคือข้าวคลุกน้ำปลาก็ได้ไหม มาม่าห่อหนึ่งก็ได้ เราต้องอยู่ให้ได้ ฉันเคยเหมือนคลานในขณะที่ฉันโดนเฟกนิวส์ ในขณะที่คนเกลียดชังฉัน ฉันยังเปิดไลฟ์ทำบ้าๆ บอๆ จนฉันมีทุกวันนี้ ฉันขึ้นมาอีก ส้มหยุด ต้องกราบขอบคุณสวรรค์ และทุกคนที่เชียร์แม่"
"แล้วใครท้ออยู่อย่าทำร้ายตัวเอง ถ้าจะบอกให้สู้ต่อมันก็ง่ายไป แต่ฉันจะบอกว่าคิดซะว่าถ้ามันหมดกรรมช่วงนี้ เหมือนที่แม่ทนมา เราจะต้องเจอแสงสว่างเหมือนที่ฉันเจอ ฉันเป็นเน็ตไอดอลช่วงนั้น แล้วหลังจากนั้นไม่มีรายการเชิญฉันเลย ฉันโดนขยี้โดยที่ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด ฉันยังทนมาตั้งหลายปี ฉันทนในขณะที่โดนบูลลี่ โดนแกล้ง โดนคืนงาน ผัวฉันอยู่โรงพยาบาล ตอนฉันดังๆ ช่วงสะบัดต่อ ในขณะที่คนชั่วๆ ทั้งหลายก็เข้ามารุม ใครจ้างงานฉันก็เข้ามาถล่ม ฉันไม่เคยด่ากลับ ในขณะที่ฉันโดนเกลียดชังจากเรื่องที่คนมันอิจฉา"
เคยเสียคน ไม่เชื่อในความดี แต่พอมาเจอกับสามีชีวิตก็เปลี่ยนไป
สิตางศุ์ : "เมื่อก่อนจากที่เรามีเงิน เราอยากได้อะไร เราก็ซื้อ ในกลางวันเราไปช่วยงานแม่ เราก็เป็นผู้ชาย เราไม่เคยแต่งสาว เราก็เหมือนคนคุมงานก่อสร้าง แต่กลางคืน ตอนหลังช่วงอายุ 30 แล้ว เราก็ดีแตกบ้าง ตอนนั้นเริ่มรู้จักพวกกะเทยที่ตอนนั้นหน้าท้องสวย ไม่มีนม เริ่มซื้อผู้ชาย ซื้อไปซื้อมาแล้วเราไปรักเขา แล้วเราก็จะเป็นบ้า แล้ววันนึงเรามาเจอตี๋ เราก็แต่งตัวเป็นสาวเต็มตัว คือชีวิตมันช้ำมาเยอะ เราก็อยากบริหารเสน่ห์"
"ตอนนั้นฉันแอนตี้เรื่องความดี ฉันไม่ทำความดีแล้ว ฉันทำงานฟรีแลนซ์ไป พอกลางคืนก็ติดเหล้า ติดเที่ยว ติดยา ฉันเคยติดยา คืออยู่ในสังคมอีกสังคมหนึ่งแล้วมาเจอเขา จากที่ฉันหลอกเขามาจ่ายค่าบอล ตอนนั้นเขาขับรถรับจ้าง แต่ตอนเจอกันเขาเป็นยามแถวดอนเมือง เราเห็นเขาแล้วหลอกเงินเขามาหมดเลย แล้วเขากินมาม่า แล้วเพื่อนก็ด่าว่ามั่น สวยจังเลยนะมึง เพราะตี๋เขาก็หล่อ ก็เลยสงสาร เราก็เลยว่าจะตามหาความรักทำไม เราลองอยู่กับคนที่รักเราดูสิ ก็เนี่ยถ้าใครถาม การไปวิ่งตามคนที่เรารักเขา เหนื่อยเปล่า คือให้โอกาสตัวเองอยู่กับคนที่รักเรา เขาแก้ปัญหาให้หมดถึงแม้เขาจะเงินน้อย"
ตี๋ : "เขาเก่ง เขาใจดี ก็อยู่กันไปอย่างนั้น"