“เจเจ” ไม่หลงไหลกับชื่อเสียง ดังแค่ไหนก็จะไม่ลืมตัว ทำงานเสร็จกลับบ้านไปหาแม่ที่บ้านต่างจังหวัด เพื่อกลับไปเป็นตัวเอง
ทำเอาแฟนๆต่างเซอร์ไพรส์ในความสามารถของหนุ่ม “เจเจ กฤษณภูมิ พิบูลสงคราม” กับความสามารถทั้งร้องทั้งเต้นในเวทีคอนเสิร์ต My boyfriends concert แบบจัดเต็ม ซึ่งเจ้าตัวบอกว่าดีใจที่ทุกคนเห็นความตั้งใจและได้พิสูจน์ความสามารถของตัวเองอีกงานหนึ่งด้วย
“ดีใจที่ทุกคนเห็นความตั้งใจครับ ด้วยความที่เราอยากจะไปเรียนรู้จากพี่ๆ อยากทำในส่วนที่เราได้รับผิดชอบให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ด้วยความที่เรายังเป็นมือใหม่ เราต้องเรียนรู้อะไรอีกเยอะ ยิ่งเราได้ทำงานร่วมกับพี่ๆ ศิลปินท็อปของวงการในเมืองไทยเราก็ยังได้เห็นจุดบกพร่องของเราและยังมีสิ่งที่เราต้องเรียนรู้อีกเยอะ ก็ถือเป็นงานที่ทำให้เราได้พิสูจน์ความสามารถตัวเองอีกหนึ่งงาน ผมเชื่อว่าคนน่าจะได้เห็นชิ้นงานที่แปลกออกไป ถ้าผมมีประสบการณ์ที่มากกว่านี้ผมเชื่อว่าผมจะทำได้ดีกว่านี้อีก เรียกว่าเป็นสนามแรกที่ใหญ่มากๆ สำหรับผม”
ไม่กล้าเรียกตัวเองเป็นแร็พเปอร์มือใหม่ของวงการ เพราะตั้งใจเข้าวงการมาเพื่อเป็นนักแสดง
“ใช้คำว่าทำได้และตั้งใจที่จะทำจะดีกว่า เราทำจากความชอบของเรา ตอนนี้ผมรู้ตัวเองว่าผมค่อนข้างจับฉ่าย อย่างซิงเกิ้ลล่าสุดผมก็ทำทั้งช่วยแต่งเนื้อร้องทำนอง ก่อนหน้านี้ผมก็เล่นหนัง มันเลยดูไม่ได้เฉพาะเจาะจงไปทางใดทางหนึ่ง ด้วยความที่ตอนแรกเลยที่เข้ามาคืออยากจะมาเป็นนักแสดง แต่พอเราได้มีโอกาสจากโปรเจ็กต์ไนน์บายนาย เราทำได้แล้วมันก็เป็นสิ่งที่เราชอบอยู่แล้ว พอเรารู้ว่าเราพอจะมีความสามารถที่จะทำได้เราก็เลยฝึกตัวเองดูว่ามันจะไปได้สุดขนาดไหน ก็ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปครับ ผมไม่ค่อยอยากรีบร้อนเพราะผมก็ยังไม่ชัวร์ในตัวเองว่า มันยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่เราต้องฝึกต้องเรียนรู้”
“ที่ผมโพสต์ว่าหลังจากนี้จะมั่นใจในตัวเองในเมื่อทุกคนเชื่อมั่นใจผม อาจจะเป็นเพราะว่าผมเป็นมือใหม่ที่ทำงานกับศิลปินนักร้องที่เขามีประสบการณ์ที่มากอยู่แล้วในการร้องเพลง ผมเป็นมือใหม่แต่ในขณะเดียวกันผมเองก็เป็นคนที่คนรู้จักอยู่แล้วในด้านของการแสดง พอเราจะก้าวขาเข้ามาในด้านของเพลงเราก็ต้องพิสูจน์ตัวเองประมาณนึง มันเลยทำให้ผมอยากจะทำให้มันดีมากๆ”
“ต้องบอกว่าด้านเพลง การเป็นศิลปินเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแบบที่เราไม่ได้ตั้งใจจะมาอยู่ในตรงนี้ แต่ตัวเราก็มีความชอบอยู่เหมือนกัน เอาว่า ณ ตอนนี้ผมมีแพสชั่นกับการทำเพลงร้องเพลงมากๆ แต่ผมก็ไม่ได้ทิ้งการแสดง เหมือนกับว่าตอนนี้เรากำลังหลงไหลในด้านการทำเพลง แต่สิ่งที่เราทำได้ดีและเป็นสิ่งที่เรารักมันคือการแสดง ยังไงผมก็ยังให้ตัวเองกับการแสดงมากกว่า ผมรู้สึกว่ามันอาจจะด้วยเพราะเราเริ่มมาจากการแสดงแล้วเราก็อยู่กับมันมานานจนเรารักมันไปแล้วโดยที่เราไม่รู้ตัว เราได้เห็นพัฒนาการของตัวเองทางด้านการแสดงและด้านการร้องเพลงด้วย คือหลังจากนี้ก็จะเห็นผมไปๆ มาๆ กับทั้งสองอย่างนี้ ก็มีผู้ใหญ่หลายท่านบอกให้ผมเลือกเอาสักทางแต่ผมก็จะเข็นมันไปทั้งสองทางให้ได้ครับ”
เผยการเป็นไอคอนคนใหม่ของวงการในยุคพ.ศ.นี้แค่เป็นตัวเอง ไม่ต้องวางตัวคีพลุคแค่รู้จักกาลเทศะก็เพียงพอ
“แต่ก่อนหน้านี้ก็ยอมรับว่าจะนิ่งเงียบจนคนคิดว่าเราหยิ่งหรือเปล่า แต่จริงๆ ไม่ใช่เลยครับผมเกร็งอยู่(หัวเราะ) ก็พยายามทำตัวให้เป็นปกติ ผมไม่ได้มองเรื่องของการวางตัวแต่ผมมองเรื่องของกาลเทศะมากกว่าว่าแต่ละที่เราควรจะวางตัวแบบไหน แต่ถ้าโดยปกติผมจะเป็นคนที่ชิลๆ อยู่แล้ว ไม่ได้เปลี่ยนไปจากการวางตัวในชีวิตประจำวันเสียเท่าไหร่ ผมก็ยังเป็นตัวผมอยู่ ตอนนี้ก็พูดเก่งขึ้นมากแล้วจากเมื่อก่อน คือมันก็เป็นไปเองด้วยความที่เราได้เจอคนเยอะขึ้น ก็อย่างที่บอกผมมองเรื่องของกาลเทศะกับมารยาทมากกว่าจะต้องว่างตัวคีพลุคอะไรแบบนั้น ถ้าเรายังเป็นตัวเองและมีสองสิ่งนี้ผมว่าอยู่ที่ไหนก็ได้ครับ”
ลั่นไม่เคยหลงยึดติดในชื่อเสียงที่มี โดยพยายามกลับบ้านไปใช้ชีวิตอยู่กับตัวเองจริงๆ จึงทำให้ไม่หลงลืมตน
"ผมชอบกลับบ้านนะครับ เพราะการกลับบ้านที่เชียงใหม่ทำให้ผมรู้สึกว่าผมได้กลับมาใช้ชีวิตเป็นตัวของผมเองจริงๆ ผมก็จะหาเวลากลับบ้านสักระยะนึงให้มันได้รีมายตัวเองว่าเรามาจากไหน ตัวตนของเราเป็นยังไง มันเป็นเรื่องสำคัญสำหรับผมมากๆ ก่อนที่เราจะไปเจอคนหรือว่าโลกภายนอกเราต้องรู้จักตัวเองให้ดีก่อน มันทำให้เราไม่ลืมตัวเราเอง มันเป็นอะไรที่สนุกนะครับ”
“ผมไม่เคยหลงในชื่อเสียงเลยครับ เพราะเราอยู่กับตัวเราเองตลอด มันเหมือนเป็นไลฟ์สไตล์ของผมด้วยในช่วงที่เข้าวงการแรกๆ แล้วเริ่มดัง ผมยังเรียนอยู่ที่เชียงใหม่ ผมต้องเดินทางไป-กลับ กทม.-เชียงใหม่ตลอดมันเลยทำให้ผมแบ่งได้ พอมาทำงานที่นี่ผมสามารถทิ้งตรงนี้ได้แล้วกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมๆ ที่บ้านที่เชียงใหม่ ตอนนี้การเรียนก็จะจบปีหน้าแล้ว เรียนมา 5 ปีครับ ผมก็พยายามทำทุกอย่างให้มันออกมาดีที่สุดในทุกๆ ด้าน”
