เป็นเมียจิตอาสาต้องอดทน "โบ สุนิตา" เผยชีวิต "เล็ก ฝันเด่น" จิตอาสาใจถึงใจ ต้องบุกทุกสถานการณ์ฉุกเฉิน ทั้งอันตรายและลำบาก เป็นห่วงแต่ก็ต้องทำใจ สั่งผัวทำดีห้ามเอาหน้า ถ้าเอาหน้าจะขอด่าเป็นคนแรก
เป็นหนึ่งในคนเบื้องหลังจิตอาสาสำหรับ “โบ สุนิตา ลีติกุล” ภรรยาของ "เล็ก ฝันเด่น" จิตอาสาใจถึงใจ ที่ต้องเดินทางไปช่วยเหลือผู้คนอยู่เสมอ ในฐานะภรรยาของจิตอาสาโบบอกว่า ไม่เข้าใจก็ต้องเข้าใจเพราะสามีรักที่จะทำสิ่งนี้ รวมไปถึงการปลูกฝังให้กับลูกสาว “ฮานิ” ต้องเข้าใจในสิ่งที่พ่อทำ
“ต้องเปิดใจมากๆ (หัวเราะ) นี่ก็ไปจังหวัดไหนไม่รู้ ต้องเล่าย้อนเหตุการณ์ก่อนว่า ตอนที่เป็นแฟนกัน ก็เห็นว่าเขาไปร่วมกตัญญู ตอนนั้นยังอยู่ร่วมกตัญญู ยังไม่ได้มาทำใจถึงใจ ก็ทำเป็นปกติ เหตุการณ์ที่มันใหญ่มากๆ คือสึนามิ ตอนสึนามิโบกำลังจะแต่งงานตอน 17 ม.ค. เหมือนทหารกำลังจะออกไปรบ ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาหรือเปล่า เล็กเขาก็มาขอไป โบก็ถามเขาว่ายังจะขอไปอีกเหรอจะแต่งงานแล้วนะ เธอจะกลับมาไหม จะเอาตัวรอดได้ไหม แต่คือเล็กเขาไป แล้วเขาก็ภูมิใจที่เขาได้ไป เขาก็กลับมาเล่าทั้งน้ำตาเลยนะว่า ที่เราเห็นในข่าวมันเทียบไม่ได้เลย คนตายนอนกันเกลื่อน เห็นคนถือแหวน ถือรูปเพื่อไปตามคนที่รัก มันเศร้า แล้วสุดท้ายเขาไปอีกรอบหนึ่ง โบก็ให้เขาไป เพราะเราเห็นแล้วว่าเขาอิน เห็นแล้วว่าเป็นความอยากช่วยจากใจเขาจริงๆ"
"โบบอกเขาเลยว่า ถ้าทำงานเป็นอาสาเพื่ออยากเป็นข่าวเอาหน้า ฉันด่าเธอคนแรกนะเพราะว่าอย่างที่บอกว่าเราเป็นคนจริง เราไม่ใช่คนที่มานั่งประดิษฐ์อะไรกับใคร คนที่จะด่าเธอคือฉันคนแรก เพราะฉะนั้นห้ามทำอะไรเพื่อเอาหน้าเด็ดขาด ไม่ต้องรอให้สังคมด่า ฉันด่าก่อนเลย ฉันด่าเสียหายด้วย โบไม่ชอบเรื่องประดิษฐ์คุณเป็นมนุษย์ คุณอย่าเป็นดาราตลอดเวลาได้ไหม ฉันไม่ชอบ ไม่ต้องวงการมายาใส่กัน แต่คือเขาไปเพราะเขาอยากช่วยจริงๆ ทั้งเล็กทั้งใหญ่ (ฝันดี จรรยาธนากร) เลย สองคนนี้นะ โบโคตรนับถือใจเขาเลย เขาเกิดมาเพื่อทำอาสา และเขาไม่เคยเอาเงินใครสักสลึงเดียว ไม่เคยมีการโกงขึ้นให้เห็นสักครั้งเดียว ถ้าโกงโบด่าก่อน ไม่ต้องถึงคนอื่น”
“เราทึ่งมากเขาเป็นคนมีความอดทนในการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มันไม่ได้สบายนะ ตอนที่ไปถ้ำหลวงก็ไปนอนในอาคารโรงเรียนไปนอนพื้น เขาไม่ได้อยู่สบายไม่ได้อาบน้ำครบตามเวลาที่อยู่บ้าน กินอยู่ก็ลำบาก ถามว่าเป็นห่วงไหมก็เป็นห่วง แต่รู้ว่าเขาไปเป็นทีมแล้วทีมเขารักกัน เพราะฉะนั้นเขาช่วยกันอยู่แล้ว แต่ว่ากลับมาก็มีบ้างบาดแผลรอยปีนเขาหรือเหวอะตรงนั้น ก็รักษาพยาบาลกันไป ถามกลัวไหมเขาจะป่วยติดเชื้อก็กลัวแหละ แต่ทำอะไรไม่ได้เพราะเวลาผู้ชายจะไป สุดท้ายก็บอกแค่ว่าดูแลตัวเองนะ มีเมียมีลูกอยู่ตรงนี้อยู่ที่บ้าน (หัวเราะ)”
“น้องฮานิ” เข้าใจในสิ่งที่พ่อทำ แต่แอบมีถามบ้างว่าไม่ห่วงหนูเหรอ? พร้อมเปรยอยากลงพื้นที่ไปช่วยพ่อ
“ลูกเข้าใจ แต่ก็มีบ้างที่ว่า ทำไมป๊าไปอีกแล้ว อยากให้ป๊าอยู่บ้าน อย่างล่าสุดก็มีบ่นว่า ทำไมป๊าดูไม่ห่วงหนูเลย หนูไข้ขึ้นเนี่ย (หัวเราะ) เราก็บอกเขาว่าตรงที่ป๊าไปคนเดือดร้อนกว่า ของหนูป๊ามองว่าหนูมียายมีแม่ดูแลอยู่ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นก็มีแม่กับยาย มีตั้งสองคนนะลูก แต่คนตรงนั้นเขาเดือดร้อน เขาลำบากกว่า ป๊ะป๊าเขาไปช่วยคนอยู่ ก็พยายามอธิบาย”
“ส่วนใหญ่เราจะดูในไลฟ์ที่เขาลง ว่าเป็นยังไง สถานการณ์เป็นยังไง ก็มีโทรหากันบ้าง อะไรบ้าง บางทีก็มีติดต่อได้ และติดต่อไม่ได้บ้าง เราไม่ได้เป็นสายจิก เพราะเรารู้ว่าเวลาเขาไปทำงานตรงนั้นบางที่ไม่มีสัญญาณ สัญญาณมันล่มมันเข้าไม่ถึง แต่เมื่อมีสัญญาณหรือติดต่อได้ เขาจะโทรกลับมาเอง ก็จะบอกกันอย่างนี้ตลอด ถามว่าทำไมเข้าใจ เรียกว่าต้องเข้าใจ เพราะว่าเขารักตรงนี้”
"ซึ่งลูกก็มีสนใจ อย่างเขาก็เคยบอกว่า ป๊ะป๋าถ้าป๊ะป๋าไปแจกของแล้วหนูไปได้ เอาหนูไปด้วยนะ อยากไปด้วย เราก็ไม่ได้ห้าม แต่ก็ดูพื้นที่ด้วยว่าไปแล้วลำบากไหม ห้องน้ำห้องท่า ลูกเราเป็นเด็กผู้หญิงไง ไม่เหมือนเด็กผู้ชาย ถ้าไปแล้วไปเป็นภาระ ก็อย่าไปเลย เอาไว้เป็นงานบุญ งานอะไรใกล้ๆ ค่อยไปดีกว่า"
เลี้ยงลูกแบบ “โบ สุนิตา” สไตล์ชิลๆ เลี้ยงเหมือนเป็นเพื่อน พร้อมเผยกฎเหล็กห้ามเหยียดคนอื่น
“ชิลๆ สบายๆ เป็นแม่ที่ทำตัวเป็นเพื่อนลูก เราไม่วางกรอบให้ลูก อยากให้ลูกเป็นตัวเองสูงปล่อยเป็นธรรมชาติเขา แต่สิ่งหนึ่งที่จะสอนเขาคือกาลเทศะเป็นเรื่องที่สำคัญ อย่างที่บอกว่าเราเลี้ยงเขาแบบสบายๆ แบบเป็นเพื่อน ตอนนี้พอมีอะไรลูกกล้าเล่าให้ฟังหมดเลย อย่างเขาก็จะมาเล่าว่า แม่หนูมีเรื่องจะบอก เราก็ฟังโดยเตรียมใจว่าอาจจะมีทั้งเรื่องดีและเรื่องร้าย แต่เราจะไม่ตัดสินอะไรทั้งสิ้น ซึ่งเราก็คิดว่าถ้ามีเรื่องร้ายเราจะบอกลูกยังไง โดยที่เรายังใช้เสียงปกติ ไม่ใช่เสียงสองเสียงสาม เราจะไม่เล่นใหญ่ ก็คือเราก็จะให้เขาคิดว่า ถ้าเขาเจอเหตุการณ์แบบนั้น แบบนี้เขาจะทำยังไง เราก็ดูมุมมองลูก หลอกถามไปเรื่อยๆ”
“และห้ามตัดสินคนจากภายนอกเด็ดขาด จะเป็นเรื่องที่ขอ โบบอกเขาเลยว่าอาชีพแม่ต้องไปเจอคนเยอะมาก พยายามเอาลูกมาหลังเวที เขาก็จะมีคำถามเวลาเจอใคร อย่างเขาเจอน้องช่างแต่งหน้าทำผมสไตล์ลิส เขาก็จะมีมาบอกว่า แม่เขาไม่ใช่ผู้ชายนะแม่เป็นกะเทย โบก็จะถามเขาเลยว่า เป็นกะเทยไม่ดีตรงไหน แล้วเล่าให้ลูกฟังทั้งหมดเลยว่า โลกเรามีเพศอะไรบ้าง ลูกเข้าใจเรื่องทอมดี้ ลูกเข้าใจเรื่องผู้ชายรักผู้ชาย และไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องแปลก เพราะเราเล่าให้ลูกฟังว่านี่มันเป็นธรรมชาติของโลกเรา เมื่อก่อนมันมีแค่ผู้ชายกับผู้หญิงคนเข้าใจแบบนั้น แต่จริงๆ มันมีมากกว่านั้นคนเพิ่งมารู้ลูก (หัวเราะ) เล่าเป็นนิทาน เขาก็จะเข้าใจ”
“เพราะว่าสมัยนี้คนมีการเหยียดกันเยอะ คือสุดท้ายแล้ว เรียนหนังสือให้ตาย ทำอะไรให้ตาย สุดท้ายคุณก็ต้องมาอยู่กับคน มาอยู่ในสังคม สุดท้ายก็ต้องมาสู้กับคน ไม่ว่าคุณจะมีความคิดบวกคิดลบมาสู้กับคน สุดท้ายคุณก็ต้องรับให้ไหว เราก็ให้เขาชินกับเรื่องนี้ไป”