“หมาก ปริญ” แพลนอนาคตกับ "คิมเบอร์ลี่" คนนี้คือคนที่อยากอยู่ด้วยตลอดชีวิต พร้อมแต่งแล้วรอแค่จังหวะว่าเป็นเมื่อไหร่
ถามกันมาทั้งปีจนข้ามพ้นมาอีกปีก็ยังถามกันอย่างต่อเนื่องว่า “เมื่อไรจะแต่งงงานซะที?” แต่ดูท่าว่างานนี้จะเป็นคำถามที่มีคำตอบซะแล้วสำหรับคู่รักอย่าง “หมาก ปริญ สุภารัตน์” และ “คิมเบอร์ลี่ แอน เทียมศิริ” ที่ล่าสุดฝ่ายชายได้ออกปากแล้วว่านี่แหละคือเจ้าสาในอนาคตของผมแน่นอนไม่มีผิดเพี้ยน รวมไปถึงยังมองไกลไปถึงโรงเรียนลูกในอนาคตอีกด้วย แถมงานนี้เจ้าตัวเผยความสุขสุดๆ ในชีวิตคือการได้เข้าป่า อยู่กับตัวเอง
"(หัวเราะ) จริงจังมาตลอดนะครับ (จะแต่งเลยไหม?) ถามกันมาแบบนี้เยอะมากไม่รู้จะตอบยังไง เพราะเราไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เราเองยอมรับว่าเราคุยกันแล้ว และเราเองก็คุยกับพ่อแม่แล้ว ทางฝั่งน้องเองเราก็คุย ซึ่งเขาก็โอเค แต่ว่ามันอยู่ที่ว่าแค่เมื่อไรเท่านั้นเอง คือทุกอย่างมันพร้อมไปหมดแล้ว คือมันบอกไม่ได้ว่ามันอยู่ที่อะไรบอกว่ามันอยู่ที่จังหวะแค่นั้นเอง ซึ่งเราเองก็ตอบไม่ได้ว่ามันเมื่อไร"
“ถามว่าเคยมองไหมเรื่องแต่งงาน ก็มองนะครับ มองบ่อย มองเกือบทุกวันเลย (หัวเราะ) จริงๆ นะแต่อย่างที่บอกว่ารอแค่นี้ รอจังหวะคือจะเรียกว่าหล่อ มันก็ไม่ถึงแบบนั้น แต่ผมเชื่อว่าคนเรามันจะมีจังหวะที่ทำให้เราตัดสินใจแล้วก็คุกเข่า มันแค่จังหวะนี้เท่านั้นเอง คือเราอยากที่จะให้มันพอเหมาะพอดีที่สุด มันเลยเป็นเรื่องที่เราก็ตอบไม่ได้ว่ามันคือเมื่อไหร่ตอนไหนมันอยู่ที่ความรู้สึกของคนสองคนคือถ้ามันคลิกลงตัวจังหวะมันพอดีมันก็โอเคคือหมากเชื่อในเรื่องของช่วงเวลา"
อนาคต “หมาก” คือ “คิมเบอรี่” แย้มมองไกลหาโรงเรียนให้ลูก รับชีวิตต้องมีปรับจูนกันตลอด
“หมากก็คิดถึงอนาคตทุกวันเลยนะ เราคิดถึงงาน คิดถึงบ้านที่เราจะอยู่ในบั้นปลายชีวิต คิดถึงลูก คิดถึงโรงเรียนของลูก คือเราคิดไปหมดคือเราคิดไว้แล้ว แต่ถ้าจะให้บอกว่าคำตอบมันคือเมื่อไร เราเองก็ยังตอบไม่ได้ แต่เราเริ่มวางแผนไว้คร่าวๆ แล้วคือเราอยากวางทุกอย่างให้มันมั่นคงและพร้อมมากที่สุด คือไม่อยากที่ว่าแต่งงานปุ๊บ แล้วก็ค่อยมานั่งคิดว่าอนาคตจะยังไง มีลูกแล้วจะยังไง คืออยากคิดไว้คร่าวๆ ก่อนเพื่อเป็นแนวทางในการเดิน"
"เรามองแล้วว่ากับคนนี้คือคนที่เราจะอยู่ด้วยกันไปตลอด เพราะที่ผ่านมาเราเรียนรู้และปรับตัวด้วยกันมานานมาก คือเราก็เหมือนคู่อื่นๆ ที่เวลามีปัญหา เวลาทะเลาะกัน มีช่วงเวลาที่ดีกัน ช่วงเวลาหวานๆ โรแมนติกก็มี คือเราผ่านกันมาหมดแล้ว และเราก็ยังอยู่ด้วยกัน ช่วงเวลาที่ผ่านมาเราก็ปรับจูนเข้าหากัน ไม่ใช่แค่ว่าเราปรับ แล้วเขาไม่ปรับ เขาเองก็ปรับ อะไรที่เคยเป็นนิสัยของเราที่เป็นนิสัยแย่ๆ เราเองก็ต้องเปลี่ยน แล้วก็ต้องหยุด ก็ต้องเบรก นิสัยอะไรที่เราเป็นแล้วเขาไม่ชอบ เราก็พยายามที่จะไม่ทำ คือเราจะไม่ทำในสิ่งที่เขาไม่ชอบ เราก็ใช้การปรับตัวนี้แหละ ช่วยประคองความรักของเราทั้งคู่ เราก็ต้องยอมรับว่าเราต่างคนต่างมาจากคนละทาง มันก็ต้องมีการสลับกันบ้าง อย่างเวลามีปัญหา คนนึงก็จะมาปรึกษาอีกคน อีกคนก็พร้อมที่จะให้คำปรึกษา สลับกัน หรืออย่างเวลาคนนึงโมโหอะไรมา อีกคนก็จะคอยบอกเหตุผล คือเราต้องเป็นฝั่งตรงข้ามกันและกัน คือถ้าคนหนึ่งเป็นไฟ อีกคนก็ต้องเป็นน้ำ คือปรับให้มันสมดุล"
ถอดรหัส “ความสุข” คือการได้เข้าป่า ใช้เวลาอยู่กับตัวเอง เผยตลอด 10 ปีถือว่าเป็นโชคดีที่ได้เป็น “หมาก ปริญ”
"ความสุขก็คือความสงบอย่างการเข้าป่าเพราะเวลาเข้าป่าเราได้เห็นตัวเองว่าเราทำอะไรอยู่ เอาจริงๆ นะ เราอยู่ทุกวันนี้ เราแทบจะไม่เห็นตัวเองเลยเพราะทุกอย่างมันเป็นระบบออโต้กับวัฏจักรของการทำงานวนไป เราแทบจะไม่ได้เห็นตัวเอง ไม่ได้สัมผัสกับตัวเองเลยว่า เราทำอะไรอยู่คือมีช่วงที่ผมทำงานหนักๆ ก็มีการตั้งคำถามกับตัวเองเหมือนกันว่า เราทำอะไรอยู่เพราะเราค่อนข้างเหนื่อยมาก แต่มันก็แค่เหนื่อยเอง พอเรานั่งคิดนั่งคุยกับตัวเอง เราก็ดึงตัวเองออกจากความเหนื่อยล้าได้ คือหมากเป็นคนที่เวลาทำงาน เราก็สุด ถ้าเวลาพักผ่อนก็เช่นกัน มันอาจจะรู้สึกว่าจะใช้ความเป็นมนุษย์ เป็นคนธรรมดาให้มากที่สุด ตอนนี้เลยรู้สึกว่าชีวิตคุ้มมากเลย ทุกวันนี้ที่บอกว่าสบายว่าแฮปปี้ เพราะผมรู้สึกว่าผมจะทำอะไรผมก็ทำได้ อย่างเวลาทำงานผมก็ไม่คิดถึงอย่างอื่น ผมก็ทำงานของผม พอถึงวันหยุด ผมก็ได้ไปเที่ยว ได้เป็นตัวเอง ผมว่าชีวิตคนเราคนธรรมดาก็ต้องการแค่นี้"
"ไม่เหนื่อยนะ เพราะตลอดเวลา 10 ปีกับการอยู่ตรงนี้ผมไม่เคยถามตัวเองเลยนะว่าทำไมถึงมาอยู่ตรงนี้ ไม่เคยคิดด้วย ผมคิดว่าการที่ผมมาทำตรงนี้มันคืออาชีพไม่ได้คิดว่าแค่ต้องทำ แต่มีคนเคยถามผมว่าถ้าไม่เป็นหมากปริญในวันนี้จะทำอะไร เชื่อไหมผมคิดไม่ออก (หัวเราะ) เอาจริงๆ ถ้าสมมุติว่าทุกวันนี้ผมไม่ได้เป็นนักแสดงไม่ได้ทำอาชีพตรงนี้ ผมก็คิดไม่ออกนะว่าตัวเองจะทำอะไรคือทำอย่างอื่นไม่เป็น (หัวเราะ) ถ้าย้อนกลับไปแล้วถามว่าถ้าไม่มาทำตรงนี้ทำอะไรก็คงเป็นนักกีฬามั้ง เพราะว่าผมเป็นนักกีฬายูโดอยู่แล้ว นี่เลยเป็นความโชคดีของผมมากๆ ที่ผมได้มาทำงานแล้วเจออะไรดีๆ เจองานดีๆ คนดีๆ เจอเพื่อนดีๆ นั่นคือสิ่งที่ทำให้ผมตัดสินใจว่าผมต้องอยู่ตรงนี้แล้วทำให้ดี"