“ประชุม” เคลียร์ข่าวพี่ชาย “ประวิทย์” เทขายหุ้น ลดบทบาทเหลือแค่พนักงานช่อง 3 กระทบความเชื่อมั่น ลั่นตระกูลมาลีนนท์ยังถือหุ้นสูงสุดในช่อง 3 ปรับเปลี่ยนการบริหารจากครอบครัวเป็นรูปแบบมหาชน ไม่กีดกันนำรายการใหม่ๆ เข้ามา เผยครึ่งปีหลังทีวีดิจิทัลแข่งดุ-ตัดราคาโฆษณากันเอง ยอมรับต้องปรับค่าโฆษณาลง แต่มั่นใจในคอนเทนต์และเรตติ้ง ไม่คืนช่อง 13 แล้ว แต่เล็งหาพันธมิตร
ยังคงได้รับความสนใจไม่น้อย สำหรับกรณีข่าวการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของช่อง 3 “ประวิทย์ มาลีนนท์” ในฐานะผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในบริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) ตัดสินใจเทหุ้นขายเกลี้ยงพอร์ต จนทำชาวเน็ตพากันแตกตื่นว่าเกิดอะไรขึ้น พร้อมข่าวรอยร้าวในตระกูลมาลีนนท์ที่ผุดมาเป็นระลอก ล่าสุด “ประชุม มาลีนนท์” ในฐานะผู้กุมบังเหียนแทนในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้ชี้แจงเรื่องดังกล่าว พร้อมเผยถึงความสำเร็จของละคร “บุพเพสันนิวาส” ที่ทำให้ลูกค้าเก่าที่เคยทิ้งไปกลับมาซื้อโฆษณาอีกครั้ง ยังมั่นใจในคอนเทนต์และเรตติ้ง แม้คู่แข่งชิงตัดราคาโฆษณา
“บุพเพสันนิวาสเราไม่ได้ขายไปที่เมืองจีนนะ เพราะติดกฎเกณฑ์ของเขา แต่กระแสของเราก็ดีที่โน่น เพราะมีการลักลอบเอาคอนเทนต์เข้าไปแบบผิดๆ เลยทำให้มีคนติดต่อเข้ามาเพราะมันมีกระแสที่นิยม เพื่อจะนำไปฉายที่จีนด้วยเช่นกัน และกฎเกณฑ์ที่ติดๆ กันเพราะเขามีกฎของเขาเอง อย่างละครที่มีผีสาง ลักษณะความรุนแรง เพศ หรือคำพูดที่ไม่เหมาะสม เขามักจะไม่สนับสนุนนี่คือหมายถึงในตลาดทีวีนะ และใน ott (อินเตอร์ในประเทศจีน) ก็เริ่มมีการคุมกันอย่างมากขึ้น ในประเทศจีนเป็นตลาดใหญ่ กฎเกณฑ์เยอะและมีโควตาด้วยว่าปีๆ หนึ่งจะให้ในกลุ่มประเทศเอเชียเข้าไปขายในประเทศเขาได้ประมาณสักเท่าไหร่ ซึ่งหมายความว่าคอนเทนต์ที่เราจะเอาไปขายนั้นก็ต้องไปผ่านเซ็นเซอร์ที่นั่นก่อน ก็มีจีนกับไทยนี่แหละเข้มมาก”
เผยครึ่งปีหลังทีวีดิจิทัลยังแข่งเดือด เผยถูกบางช่องตัดราคาโฆษณา แต่เชื่อคอนเทนต์และเรตติ้ง
“ในส่วนของภาพรวมทีวีดิจิทัลครึ่งปีหลัง ก็ยังแข่งขันกันอย่างดุเดือดอยู่แบบตาไม่กะพริบ เพราะถ้าเราเคลื่อนไหวเมื่อไหร่ คู่แข่งก็ขยับตามทันที และผมว่าในตอนนี้การแข่งขันในการขายคอนเทนต์ ก็อยากจะให้แข่งขันแบบมีระดับที่เหมาะสม อย่าไปทำลายมาตรฐานราคาโฆษณาที่มันมีมา เพราะอาจจะมีบางช่องตัดราคาไปบ้าง ซึ่งปัจจุบันนี้มันกลายเป็นปัญหาของทุกราย”
“มันก็ขึ้นอยู่ที่ตลาด บางช่องเรตติ้งน้อยก็จะขายในราคานั้น ทุกรายที่ขายก็ต้องไปอิงกับเรตติ้งของตลาด แต่ในส่วนของตัวเลขเราบอกไม่ได้ ต้องไปถามผู้ซื้อ เอเยนซี และเม็ดเงินอุตสาหกรรมในทีวีมันลดลง มันไม่ใช่เกิดจากการที่ลูกค้าเขาใช้เงินน้อยนะ เพราะจริงๆ เขาก็ยังใช้มากอยู่ แต่ราคามันลดลง แม้จะเกิดการตัดเกิดขึ้น เราก็ต้องแข่งขันให้ได้ และถ้าเราจะลดราคาให้เท่ากับคู่แข่งมันก็ไม่ได้ เพราะสินค้ามันต่างกัน แต่ทุกอย่างขึ้นอยู่ CPRP (Cost Per Rating Points : การเปรียบเทียบค่าโฆษณา) หรือเรตติ้งนี่แหละ เพราะเรตติ้งเราห่างจากคู่แข่งพอสมควร ก็ราคามันก็จะดี ซึ่งเราก็ต้องปรับราคาให้พอแข่งขันได้”
ปรับลดเยอะหรือไม่พูดไม่ได้ ต้องดูเดือนต่อเดือน โชคดีได้อานิสงส์ละครบุพเพสันนิวาส ลูกค้าที่ทิ้งไปกลับมาซื้ออีกครั้ง ดึงกลยุทธ์ด้านโซเชียลฯ มาช่วยปั่นกระแส
“อันนี้จะพูดภาพรวมไม่ได้ ก็ต้องดูเดือนต่อเดือนกันเลย ทุกอย่างอยู่ที่เรตติ้งเลย เพราะในสภาวะสถานการณ์นี้ถือว่าดีขึ้นกว่าต้นปี ในเรื่องของเรตติ้งก็ดีขึ้น จากอานิสงส์ของบุพเพสันนิวาส จากคนที่เขาทิ้งเราไป เขาก็กลับมาซื้อเราอีกครั้ง อย่างเรามีละครใหม่ๆ เขาก็ซื้อเราต่อเนื่องอยู่ แม้เรตติ้งจะไม่แรงเท่าบุพเพฯ แต่เรทติ้งก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ เราก็ต้องรักษากระแสตรงนี้ให้อยู่ต่อไป เพราะตรงนี้มันมีการแข่งขันกันมาก ไม่ใช่แค่เราสร้างคอนเทนต์เสร็จแล้ว เราจะพอ เพราะเราต้องดูคู่แข่งด้วยว่าของเขามีอะไร บวกกับมันปัจจัยอีกสารพัด”
“อย่างผังรายการเราปรับผังทุกเดือนไม่หยุดนะครับ เราเคยวางแผนว่าจะเอาคอนเทนต์นี้ลง แต่พอคู่แข่งลงไปอีกแบบ เราก็เลยอาจจะต้องมีปรับกันบ้าง ถึงได้บอกว่าต้องแข่งกันตลอดเวลา และตอนนี้เอากลยุทธ์ทางด้านโซเซียลฯ มาสร้างกระแสด้วย เป็นการชิงไหวชิงพริบตลอด จะเห็นได้กระแสโซเซียลช่วยบุพเพฯ ได้เยอะ”
เผยกรณี คสช.ชะลอออก ม.44 ช่วยทีวีดิจิทัลเรื่องจ่ายค่าสัมปทาน ทำให้สถานการณ์ดีขึ้น
“ทำให้กระแสเงินสดนั้นดีขึ้นนะ เดิมช่อง 3 และช่อง 7 แข็งแรงมาก ดีมานด์-ซัปพลายคือแข็งแรง คือตลาดของผู้ขาย ตอนนั้นช่องยังมีไม่มาก ปัจจุบันมี 24 ช่องค่อนข้างมาก กระจายผู้ชมออกไป ผู้ชมมีโอกาสเลือกชมมากขึ้น แต่พอมันมีช่องมาก มันก็กระทบต่อฐานธุรกิจ ซึ่งเราก็เอาเงินตรงนั้นมาพัฒนาคอนเทนต์และก็ภาพรวมทั้งหมด (อย่างภาครัฐเขาช่วยมาแล้ว 2 ข้อคิดว่าเพียงพอไหม? หรือว่าต้องการข้อ 3 อีกหรือเปล่า?) ถ้ามีช่วยเหลืออีกก็ได้นะครับ (หัวเราะ) แต่นี่คือผมพูดในภาพรวมว่าทุกช่องก็อยากจะได้การช่วยเหลือมากกว่านี้ แต่ก็เข้าใจทางภาครัฐนะครับ”
ยังคืนช่อง 13 ไม่ได้ และทำคนเดียวไม่ได้ เล็งเป้าหมายหาพันธมิตร
“ตอนนี้เขาไม่ให้คืนแล้ว คือเราประมูลมาแล้ว เราก็ต้องทำครับ แต่ถ้าทางรัฐมีช่องทางที่จะให้คืน ก็ต้องมาดูเงื่อนไขก่อนครับ คืนกับไม่คืน มันจะเป็นยังไง ยังไม่เห็นเงื่อนไขก็ยังพูดอะไรไม่ได้ แต่ตอนนี้คือยังคืนไม่ได้ครับ และถ้าถามไปว่าถ้าเปลี่ยนมือไป จะมีคนมาซื้อเหรอ แต่ตอนนี้ถ้าเปิดโอกาสจะมีคนมา ก็น่าจะโอเค ส่วนในเรื่องของการลงทุนเองนั้น BEC ของเราก็หาพันธมิตรมาร่วมลงทุน เราเปิดทุกแชนแนลอยู่แล้ว สมัยนี้เราทำคนเดียวไม่ได้หรอกครับ เราต้องมีเพื่อนเยอะๆ เพราะมันเป็นการสร้างความแข็งแกร่งแต่ละด้าน เพราะไม่มีใครจะแข็งแกร่งไปทุกด้าน อย่างวันนี้เราก็ชักชวน JKN มาร่วมมือ (แต่ช่องอื่นเพื่อนๆ เขาเอาเงินมาลงทุนเป็นพันล้าน อย่างเรามีเพื่อนแบบนั้นมั้ย?) (หัวเราะ) เอาจริงๆ นะครับยังไม่มีถึงขนาดนั้น เพราะถ้ามีต้องคุยกันเยอะ”
“ประวิทย์” เทหุ้นเป็นเรื่องส่วนตัว
“เรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัวของคุณประวิทย์ ต้องถามคุณประวิทย์เองเลยครับ มาถามผมไม่ได้ ส่วนมีผลต่อความน่าเชื่อถือมั้ย ผมว่าเรื่องถือหุ้นก็เรื่องหนึ่ง แต่ก็ต้องดูภาพรวมของ BEC จะมาดูแต่คุณประชุม คุณประวิทย์คือไม่ได้ และเดิมเราทำธุรกิจแบบครอบครัว แต่ปัจจุบันเราเป็นบริษัทมหาชนแล้ว เราก็ปรับเปลี่ยนการบริหารมากขึ้น ก็ต้องมีความโปร่งใสมากขึ้น เพื่อเพิ่มศักยภาพในด้านการแข่งขันแบบไม่หยุดยั้ง”
“แต่ถามว่าเรื่องคนมีความสำคัญมั้ย ก็มีความสำคัญเช่นกัน รวมไปในเรื่องระบบ การตลาดก็มีความสำคัญเช่นกัน อย่างตัวผมเองถ้าทำให้หลายๆ อย่างดีขึ้น ก็ไม่ใช่ความสามารถของผมคนเดียว แต่เป็นความสามารถของทุกคนในทีม พันธมิตรต่างๆ ในส่วนตรงนี้ต้องการเวลาในการแก้ปัญหาพอสมควร จริงๆ แล้วอย่างตลาดโฆษณาช่อง 3 กับช่อง 7 ยังเป็นหลัก ปกติเวลาคนที่ทำธุรกิจจะทราบว่าตลาดเปิดมากขึ้น มีคู่แข่งมากขึ้น เปิดจนซัปพลายมันล้นดีมาน ก็เป็นปัญหาของผู้ประกอบการที่ต้องแก้ไข ส่วนที่มองว่าตระกูลมาลีนนท์ไม่ได้ถือหุ้นสูงสุดก็ไม่ครับ ยังถือหุ้นสูงสุดอยู่ เป็นสัดส่วนเดิมอยู่”
ปัดตอบ “ประวิทย์” ลดบทบาทเหลือแค่พนักงานช่อง 3 บอกยังเป็นพี่ ไม่อยากพูดอะไรแทน
“ผมว่าเรื่องคุณประวิทย์ก็ต้องถามตัวคุณประวิทย์เอง จะเหมาะกว่า ถ้าผมไปพูดอะไรแทน เดี๋ยวจะกลายเป็นประเด็นเปล่าๆ เพราะคุณประวิทย์ก็คือพี่ชายผม ส่วนผู้ถือหุ้นก็เป็นในอีกลักษณะหนึ่ง และการประชุมผู้ถือหุ้นก็พูดเรื่องนี้เยอะนะครับ เราก็บอกไปว่าเราบริหารด้วยทีมงาน คนที่บริหารหลักๆ ก็ยังอยู่”
ไม่ได้กีดกัน นำรายการ The Best of All เลขระทึกโลก เข้ามา
“อันนั้นก็เป็นอีกลักษณะหนึ่ง เราโอเพ่นอยู่แล้ว พันธมิตรคนอื่นเสนอคอนเทนต์ ของดีอยากทำงานกับเรา เราก็โอเค แต่ก็ต้องมาดูเคสบายเคสไป จริงๆ ไม่ได้อยู่ที่คุณประวิทย์เอาของมา แต่อยู่ที่ว่าของที่คุณประวิทย์นำมา ถ้าของดีแน่นอน ช่อง 3 สนใจอยู่แล้ว แต่ในส่วนของการดีลก็คืออีกเรื่องหนึ่งเพราะถ้าของแพงมาก แล้วเราเอามาทำตลาด จะทำไหวมั้ย เพียงแต่ยกตัวอย่าง ไม่ได้หมายความว่าเราจะกีดกันคุณประวิทย์นะครับ ช่อง 3 เองเราก็มีพันธมิตรที่ทำกันประจำและก็มีฟรีแลนซ์แบบเปิดกว้าง”
(ติดตามทุกข่าวสารในแวดวงบันเทิงทั้งหมดได้ที่https://mgronline.com/entertainment)