xs
xsm
sm
md
lg

“WORK” ลุ้นหืดขึ้นคอ รักษากำไรปี 61 หลัง “ออเจ้า” ฟีเวอร์ฉุดเรตติ้งรายการ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ผู้จัดการรายวัน 360° - มาตรการอุ้มทีวีดิจิทัล ช่วยหนุนหุ้นกลุ่มทีวีกำไรโรจน์ และฟื้นตัว แต่หวั่น “เวิร์คพอยท์” รักษาสถิติกำไร 900 ล้านบาท ยากลำบาก หลังเรตติ้งเฉลี่ยยังชะลอตัวลง อีกทั้งเจอฤทธิ์ “ออเจ้า” ฉุดยอดคนดูหนีรายการหลักของบริษัท เบรกฝันราคาวิ่งจากปัจจุบันกลับไปแตะหลักร้อย

การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วทางเทคโนโลยี และพฤติกรรมผู้บริโภค มีผลทำให้ผู้ประกอบการทีวีดิจิทัล แบกรับต้นทุนมหาศาล จนรัฐบาลต้องออกมาตรการช่วยเหลือ โดยการให้ ม.44 พักชำระหนี้ค่าใบอนุญาตให้กับผู้ประกอบการเป็นเวลา 3 ปี เหลือเพียงแค่จ่ายดอกเบี้ยจากอัตราของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และให้ลดค่าใช้จ่ายค่าเช่าโครงข่ายทีวีดิจิทัลภาคพื้นดิน (MUX) ให้กับผู้ประกอบการทีวีดิจิทัล 50% เป็นเวลา 2 ปีนั้น ช่วยสร้างความน่าสนใจให้กับผู้ประกอบการที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ มากขึ้น เนื่องจากมีหลายบริษัทที่มีผลประกอบการที่ดีอยู่แล้วแต่จะได้รับอานิสงส์ในเรื่องนี้ให้ดียิ่งขึ้นไป

ขณะที่บริษัทที่เผชิญปัญหา มาตรการดังกล่าวเปรียบเหมือนโอกาสในการฟื้นตัวทางธุรกิจ โดยบริษัทในกลุ่มทีวีดิจิทัล ที่ผลดำเนินงานมีกำไรสุทธิในปีที่ผ่านมา ได้แก่ บมจ. เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ (WORK) กำไรสุทธิ 904.09 ล้านบาท ถัดมา คือ บมจ. อาร์เอส (RS) กำไรสุทธิ 332.86 ล้านบาท และ บมจ. บีอีซี เวิลด์ (BEC) กำไรสุทธิ 61 ล้านบาท

ส่วนบริษัทที่มีผลดำเนินขาดทุนสุทธิ คือ บมจ. จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ (GRAMMY) ขาดทุนสุทธิ 773.34 ล้านบาท, บมจ.อสมท. (MCOT) ขาดทุนสุทธิ 2.54 พันล้านบาท, บมจ. เนชั่น บรอดแคสติ้ง คอร์ปอเรชั่น (NBC) ขาดทุนสุทธิ 916.23 ล้านบาท, บมจ.นิวส์ เน็ตเวิร์ค คอร์ปอเรชั่น (NEWS) ขาดทุนสุทธิ 567.67 ล้านบาท และ บมจ. อมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง ขาดทุนสุทธิ 163.94 ล้านบาท

ทั้งนี้ บริษัทจดทะเบียนในกลุ่มทีวี ที่นักวิเคราะห์ต่างยกให้ว่าจะเติบโตโดดเด่นที่สุดในปีนี้ คือ บมจ. เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ (WORK) โดยมีการคาดการณ์ว่า รายได้ทีวีดิจิทัลเติบโต และงานคอนเสิร์ตและละครเวทีที่ทยอยออกมาจะเป็นปัจจัยหนุนให้กำไรขยายตัวในปีนี้ นอกจากนี้ เชื่อว่าราคาหุ้นที่ปรับลงมากว่า 25% จากจุดสูงสุดที่ 105 บาท ได้สะท้อนแนวโน้มกำไรไตรมาส 4/60 ที่ออกมาอ่อนแอแล้ว ซึ่งเป็นโอกาสในการเข้าซื้อสะสมเพื่อรับผลประกอบการเติบโตในปี 2561 เนื่องจากเชื่อว่าบริษัทจะกลับมามีกำไรสุทธิอีกครั้งในไตรมาส 1/61 หนุนโดยเม็ดเงินโฆษณาบนทีวีดิจิทัลฟื้นตัว เนื่องจากมีฐานต่ำในไตรมาส 1/60 ที่ได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากช่วงไว้อาลัย ขณะที่อัตราค่าโฆษณาของ WORK มีแนวโน้มสูงขึ้น 15-20% จากเรตติ้งช่องที่มากขึ้นในปี 2560 จึงทำให้ปี 2561 น่าจะเป็นอีกหนึ่งปีทองของ WORK

อย่างไรก็ตาม จากกระแสความนิยมของผู้ชมที่มอบให้กับละครบุพเพสันนิวาส ของทางช่อง 3 หรือ บมจ. บีอีซี เวิลด์ (BEC) ณ ปัจจุบัน เริ่มทำให้หลายฝ่ายวิตกว่า ผลดำเนินงานของ WORK อาจไม่สามารถรักษาสถิติ หรือทำลายสถิติกำไรสุทธิเดิมในปี 2560 ที่บริษัททำไว้ 904 ล้านบาทได้ เนื่องจากละครเรื่องดังกล่าวดึงจำนวนผู้รับชมจากช่องต่าง ๆ ไหลไปสู่ช่อง 3 มากเป็นประวัติการณ์

เห็นได้จากการจัดอันดับเรตติ้งทีวี (24 ชั่วโมง) ในเดือนกุมภาพันธ์ 2561 พบว่า ภาพรวมยังคงเหมือนกับเดือนก่อนหน้า โดยช่องที่เรตติ้งสูงที่สุด คือ ช่อง 7 รองลงมา คือ ช่อง 3, MONO (ช่อง 29), WORK และ RS (ช่อง 😎 ซึ่งเรตติ้งอยู่ที่ 1.92, 1.25, 0.82, 0.79 และ 0.62 ตามลำดับ ทั้งนี้ เรตติ้งเฉลี่ยของ MONO และ RS ในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2561 เพิ่มจากค่าเฉลี่ยในปี 2560 แต่สิ่งที่น่าสนใจ คือ เรตติ้งเฉลี่ยของช่องอื่น ๆ (ช่อง 7, ช่อง 3 และ WORK) ต่างชะลอลง

ล่าสุด บล. เอเซียพลัส ออกบทวิเคราะห์ต่อหุ้น WORK ไว้อย่างน่าสนใจว่า ธุรกิจทีวีดิจิตอลจะไปได้ดีหรือไม่ ขึ้นอยู่กับเรตติ้ง ความยากของธุรกิจนี้จึงอยู่ที่การรักษาเรตติ้งไม่ให้ตก หรือทำอย่างไรให้เรตติ้งเพิ่มขึ้นอยู่ตลอด และอย่างตอนนี้ที่ถูกพูดถึงกันมากก็คือ เวิร์คพอยท์ (WORK) ที่เรตติ้งร่วงลงมาอยู่ราว 1.1 ตั้งแต่เดือน พ.ย. 60 เป็นต้นมา ขณะที่คู่แข่งอย่าง MONO, ช่อง 8 และช่อง ONE เรตติ้งสูงขึ้น รวมทั้งช่อง 3 ที่ได้กระแสละครบุพเพสันนิวาส เข้ามาช่วย จนกวาดเรตติ้งได้ถล่มทลาย แย่งชิงเรตติ้งรายการวาไรตีของเวิร์คพอยท์ อย่างรายการ I can see your voice และรายการ The Mask Singer 4 เพราะออกอากาศชนกันโดย บมจ. เวิร์คพอยท์ แม้จะพยายามปรับผังรายการ เพิ่มรายการใหม่ ไม่ว่าจะเป็น ซีรีส์อินเดีย, รายการ Diva Makeover, รายการ Show me your Son, รายการ My Mom Cook และ รายการ The Show แต่ก็ยังไม่ปังพอที่จะแก้วิกฤตเรตติ้งในครั้งนี้ได้

และเมื่อยังไม่สามารถแก้วิกฤตเรตติ้งได้ ภาพรวมธุรกิจในอนาคตของ WORK จึงเปลี่ยนไป เรตติ้งยังอยู่ในขาลง และเชื่อว่าจะกระทบต่ออัตราค่าโฆษณาในอนาคต ทำให้ฝ่ายวิจัยปรับลดประมาณการกำไรของ WORK ในปีนี้ลง 13.7% มาที่ 1.2 พันล้านบาท จากเดิมคาด 1.4 พันล้านบาท พร้อมประเมินราคาเหมาะสมใหม่ ที่หุ้นละ 66 บาท และปรับลดคำแนะนำเป็น switch จากเดิมแนะนำซื้อ ซึ่งท้ายที่สุดงานนี้ ต้องรอให้ “ออเจ้าการะเกดกับพี่หมื่น” จบเสียก่อนกระมัง เวิร์คพอยท์ถึงจะปล่อยของรอบใหม่ แก้เกมส์เรตติ้งตก

จากข้อมูลที่นำเสนอนี้ ทำให้น่าคิดอย่างยิ่งสำหรับผลดำเนินงานในปี 2561 ของ WORK ว่าจะรักษาฟอร์มเฉิดฉายอย่างปีที่ผ่านมาได้อีกครั้งหรือไม่ เมื่อยักษ์ใหญ่ทางธุรกิจทีวีดิจิทัลอย่าง BEC เริ่มกลับมาจับทางที่ถูก และเดินเกมส์เรียกคืนเรตติ้งเพื่อดึงเม็ดเงินโฆษณากลับคืนหลังปล่อยให้ผู้ประกอบการน้องใหม่โกยกำไรจนเติบโตก้าวกระโดดในปีก่อน

เรื่องดังกล่าวเริ่มมีหลายฝ่ายออกมาคาดการณ์ว่า ในปี 2561 น่าจะเกิดการแข่งขันที่ดุเดือดในธุรกิจทีวี จนเป็นเรื่องยากที่ WORK รักษาอัตราการเติบโตด้านกำไรสุทธิได้เท่าปีก่อนหน้า หรือโอกาสในการทำลายสถิติของเดิมมีน้อยลง ทำให้คำเยินยอที่วาดฝันไว้สูงว่า ราคาหุ้น WORK 1 จะปรับตัวเพิ่มขึ้นในจากปัจจุบันไปแตะที่ระดับ 105-112 บาทต่อหุ้น เหมือนเข็นครกขึ้นภูเขา


กำลังโหลดความคิดเห็น