แม้ว่าหนังตัวอย่างจะดูค่อนไปทางธรรมดา แต่ทว่าเมื่อได้ดูฉบับเต็มจริงๆ กลับพบว่า นี่คืออะนิเมชั่นจากค่ายดิสนี่ย์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณภาพ ครบรสความบันเทิง ดูสนุกตั้งแต่ต้นจนจบ แถมพกเนื้อหาสาระมาเพียบพูน
“โมอาน่า” (Moana) เป็นการ์ตูนเรื่องล่าสุดจากผู้สร้างเดียวกันกับ “โฟรเซ่น” (Frozen) และ “ซูโทเปีย” (Zootopia) สองอะนิเมชั่นคุณภาพที่ออกฉายในช่วง 4 – 5 ปีที่ผ่านมา แต่อันที่จริง ด้วยตราประทับของดิสนี่ย์ ค่ายนี้อยู่กับคนดูผู้ชมมายาวนานและผลิตสร้างผลงานที่เป็นตำนานไว้จำนวนไม่น้อยเรื่อง
ถึงแม้ใครจะบอกว่า การ์ตูนดิสนี่ย์มักจะเป็นการ์ตูนใสๆ สอนใจวัยเด็ก แต่ยุคหลังๆ มา เราจะสังเกตเห็นว่า ดิสนี่ย์ได้มีการเพิ่มมิติเข้าไปให้ดูเป็นผู้ใหญ่มากยิ่งขึ้น ด้วยมิติของเรื่องที่ซับซ้อนขึ้น ตัวละครมีความยอกย้อนในตัวเอง ตัวที่ดูเหมือนว่าจะร้ายก็อาจไม่ได้ร้ายเสมอไป ขณะที่ตัวละครซึ่งเชื่อว่าสวมใส่คาแร็กเตอร์ของคนดี ในธาตุแท้เนื้อในก็อาจซ่อนปีศาจไว้ได้เช่นกัน ซึ่งส่วนหนึ่งก็คงจะเป็นไปตามวิถีแห่งหนังสมัยใหม่ หรือจริงๆ แล้ว “โลกสมัยใหม่” ที่เราไม่สามารถรีบด่วนตัดสินใครได้ด้วย “สีขาว” หรือ “สีดำ” เพียงเท่านั้น
“โมอาน่า” นี้ ก็เช่นกัน เพราะจากภาพลักษณ์ฉากหน้าที่ดูเหมือนว่า จะมีเนื้อหาเกี่ยวพันกับการผจญภัยในรูปแบบของหนังแฟนตาซีทั่วไปที่มุ่งขายความตื่นเต้นและโลกที่แปลกตาจากการได้เดินทางออกไปนอกบ้าน แต่อันที่จริงแล้ว “โมอาน่า” มีหลากหลายมุมมองซ้อนทับอยู่ในนั้น
เรื่องย่อโดยคร่าวๆ เล่าถึงสาวน้อยโมอาน่าที่เป็นตัวละครหลัก เธอเกิดมาในครอบครัวที่พ่อเป็นหัวหน้าเผ่า อาศัยอยู่บนเกาะห่างไกลแห่งหนึ่ง และความคาดหวังของพ่อก็คือการหมายมั่นปั้นมือให้เธอเติบโตขึ้นมาเป็นผู้นำคนใหม่ รับไม้ต่อจากพ่อ แต่ลึกลงไปในใจแล้ว ดูเหมือนโมอาน่าจะมีความปรารถนาอยู่อีกอย่าง นั่นคือการเดินทางออกไปยังโลกกว้าง (ซึ่งก็คืออีกฝั่งทะเลที่ถูกพ่อห้ามนักห้ามหนา) กระทั่งอยู่มาวันหนึ่ง โมอาน่าก็สำเร็จในความมุ่งมาดปรารถนานั้น อย่างไรก็ดี นี่ไม่ใช่การออกเดินทางไปเปิดหูเปิดตาเพื่อความบันเทิงเริงใจแต่อย่างใด เพราะมันมีความกดดันจากภารกิจสำคัญที่เธอต้องทำให้สำเร็จในทริปนี้ด้วย
แต่ก็อย่างที่รู้ครับว่า เพราะความเป็นการ์ตูน ที่หมุดหมายการตลาดส่วนหนึ่งก็คือกลุ่มเด็กๆ น้องๆ เยาวชน ดังนั้น ส่วนประกอบที่ควรจะนำพาใส่ใจเป็นอันดับแรกก็ต้องเป็นเรื่องความสนุกสนาน ซึ่งในมุมมองของผม เห็นว่าหนังตอบโจทย์ได้สำเร็จ หนังมีความน่าตื่นเต้นในระหว่างโมอาน่าเผชิญกับเรื่องราวต่างๆ ระหว่างทาง อีกทั้งมีความตลกและอารมณ์ขันแทรกอยู่ตลอดทั้งเรื่อง ตัวละครเล็กๆ น้อยๆ ที่เป็นตัวประกอบอย่าง “หมู” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ไก่” คือสีสันพราวพรายที่คลี่คลายให้หนังไม่เครียดจนเกินไป แม้ในภาวะที่ตัวละครหลักต้องรับภาระหนัก ทั้งนี้ รวมไปจนถึงอีกหนึ่งตัวละครที่ถูกอ้อนวอนให้ร่วมทางอย่าง “มาวอิ” ที่ไม่เพียงมีอารมณ์อันร้ายกาจและยียวนกวนประสาทในบางที หากแต่เมื่อถึงเวลาที่จะต้องเข้าบทดราม่า ก็มีอะไรให้ “เศร้า” และ “ซึ้ง” สะกิดใจได้เช่นกัน
รวมความแล้ว ในความเป็นการ์ตูนอะนิเมชั่น นี่คือหนังที่ตอบโจทย์ต่อการตัดสินใจตีตั๋วเข้าไปดู จะไปดูเป็นครอบครัวก็ย่อมได้ เพราะเด็กๆ นั้นพอเข้าใจได้อยู่แล้วกับเรื่องทำนองนี้ ขณะเดียวกัน สำหรับผู้ใหญ่ก็มีอะไรให้คิดอยู่เหมือนกัน
โดยส่วนตัว ผมเห็นว่าหนังเรื่องนี้มีความ “บิ๊กเซอร์ไพรส์” อยู่พอสมควร เนื่องจากอย่างที่บอกว่า จากหน้าหนังตัวอย่างแล้ว ผมรู้สึกมัน “เบา” ไปหน่อย ในแง่ของความน่าสนใจ ทำให้เรารู้สึกว่ามันน่าจะเป็นหนังพื้นๆ ทั่วไปที่ผูกพล็อตผจญภัยแล้วให้ตัวละครและเรื่องราวก้าวเดินไปตามนั้นจนสิ้นสุดที่จุดหมายปลางทาง อย่างไรก็ดี พอได้ดูจริงๆ จึงพบว่า สิ่งที่เคยคาดคิดนั้นผิดคาดไปมาก เพราะไม่เพียงจะสนุกในแบบที่ควรจะสนุกได้ หนังยังวางมิติด้านเนื้อหาซ้อนไว้หลายประการในงานชิ้นนี้
อันดับแรกที่น่าพูดถึง คือเรื่องของการ “ค้นพบตัวเอง” (Self – Discovery) แง่มุมนี้ อันที่จริงก็เหมือน “ท่าบังคับ” ของหนังที่เล่นกับตัวละครวัยรุ่นหรือเด็กน้อยซึ่งกำลังเติบโตทั่วไป การก้าวผ่านวันวัยและพบว่าตนเองชอบอะไร และจะเป็นใครในวันต่อไปข้างหน้า เป็นสิ่งที่หาดูได้ในหนังหลายสิบหลายร้อยเรื่อง แต่ที่ผมเห็นว่า โมอาน่า (อย่างน้อยก็)พยายามไปไกลกว่านั้น คือมันไม่เพียงพูดถึงการ “ค้นพบตนเอง” แบบที่เป็นส่วนตัว หากแต่ยังขยายวงไปถึงขั้นของการ “ค้นพบรากเหง้าของตนเอง” ซึ่งผมมองว่าเป็นเรื่องของการเตือนใจไปอีกขั้นเหมือนกัน เพราะทุกคนย่อมมี “ราก” นั่นหมายถึง “ที่มาที่ไป” ที่ไม่นับเพียงแค่รุ่นพ่อรุ่นแม่ หากแต่ยังนับไปถึงบรรพบุรุษอีกไม่รู้กี่รุ่นต่อกี่รุ่น และโมอาน่าโชคดีก็ตรงที่ว่าการค้นพบรากเหง้าของเธอ มันช่วยให้เธอลึกซึ้งถึงเป้าหมายแห่งการมีชีวิตอยู่ของเธอด้วย
อีกมุมหนึ่งซึ่งผมรู้สึกชอบก็คือ การที่หนังมีตัวละครหลักเป็นผู้หญิงและเกี่ยวข้องกับการเป็นผู้นำเผ่า หนังก็ไม่พลาดที่จะเกาะตัวเองไปกับกระแสโลกยุคใหม่ที่ต้องยอมรับว่าผู้หญิงได้ก้าวขึ้นมามีบทบาทสถานะความสำคัญในสังคมมากยิ่งขึ้น หรือกล่าวได้ว่าเทียบเท่ากับผู้ชาย สำหรับคนที่สนใจประเด็นในเชิงเฟมินิสม์ น่าจะอ่านหนังเรื่องนี้ได้สนุกมากขึ้น เพราะนี่คือหนังที่บอกเล่าถึงสถานะที่เปลี่ยนไปของผู้หญิงยุคใหม่ได้ดี ผ่านตัวของโมอาน่า
โมอาน่าเป็นลูกสาวของหัวหน้าเผ่าของเกาะนั้น แล้วที่ผ่านๆ มา หัวหน้าเผ่าก็ดูแล้วจะเป็นผู้ชาย เช่นพ่อของเธอ เป็นต้น แต่พอมาถึงยุคของโมอาน่า ไม่ใช่ผู้ชายแล้ว โมอาน่าถูกคาดหมายว่าจะก้าวขึ้นมาเป็นหัวหน้าเผ่าคนต่อไป ภาพๆ หนึ่งซึ่งเป็นสัญลักษณ์โดดเด่นมาก คือภาพสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ตรงนั้น พ่อของโมอาน่าพาเธอไปดูแล้วก็เห็นแผ่นหินแผ่นหนาเรียงกันเป็นชั้นสูงขึ้นไป แสดงให้เห็นว่าที่ผ่านมา มีหัวหน้าเผ่ามาแล้วกี่คน แต่แล้ววันหนึ่ง เมื่อถึงคราวเหมาะสม เมื่อโมอาน่าก้าวขึ้นมาเป็นหัวหน้าเผ่า เธอก็นำเอา “เปลือกหอย” ขึ้นไปวางไว้ “บนแผ่นหิน” เหล่านั้น เปลือกหอยบนแผ่นหิน นี่จะตีความเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้เลย เพราะถ้า “แผ่นหิน” เปรียบเหมือนผู้ชาย “เปลือกหอย” ก็ตรงไปตรงมาว่าเป็นสัญญะของผู้หญิง “เปลือกหอยบนแผ่นหิน” จริงๆ แล้วก็คือบทบาทสถานะของสตรีที่มีเพิ่มมากขึ้น เฉกเช่นที่ปรากฏในโลกยุคปัจจุบัน
และประเด็นสุดท้ายที่หนังวางไว้ให้เราคิด น่าจะเป็นเรื่องของชีวิตและการอยู่ร่วมกับธรรมชาติ คือเงื่อนไขในหนัง สิ่งที่โมอาน่าจะต้องทำได้แก่การนำเอาหัวใจแห่งเทฟิตี้ถูกขโมยนี่ ก็เรื่องสากลที่ปรากฏเป็นปัญหาในโลกปัจจุบัน เพราะนับตั้งแต่หัวใจแห่งเทฟิตี้ถูกขโมยมา สภาพแวดล้อมตามธรรมชาติก็เริ่มเข้าสู่สภาวะย่ำแย่ มะพร้าวที่เคยอุดมสมบูรณ์ก็ออกลูกเน่าๆ ผืนป่าที่เคยสดใสก็แห้งเหี่ยว ปลาในทะเลที่เคยชุกชุม ก็หาได้ยาก
วอลต์ ดิสนี่ย์ ก็จับประเด็นโลกล่ะครับว่า ที่ผ่านมา เราได้ทำลายหัวใจแห่งเทฟิตี้กันไปแล้วมากน้อยอย่างไร โลกของเราจึงมีปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อมและส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศน์และการดำรงอยู่อย่างมากมาย อย่างที่เห็นเช่นทุกวันนี้
ก็เพราะเราต่างย่ำยีหัวใจแห่งเทฟิตี้กันแบบไม่ยั้งมือ จริงหรือไม่?
ติดตามรับชมช่อง “Super บันเทิง” ได้ที่ Super บันเทิง live
ข่าวบันเทิง, ถูกต้อง, รวดเร็วฉับไว ทั้งไทย และเทศ http://www.superent.co.th
ติดตามความเคลื่อนไหวอินสตาแกรมดาราทั้งไทยและเทศตลอด 24 ชั่วโมงได้ที่ ซูเปอร์สตาแกรม