“ซี ศิวัฒน์” เผยความภูมิใจในความโศกเศร้าได้เล่นละครเทิดพระเกียรติ เสียดายบุญน้อยไม่มีโอกาสถวายงานหน้าพระพักตร์ในหลวง ร.๙ ยึดพระองค์เป็นแรงบันดาลใจ แค่เดินตามรอยพ่อหลวงก็ไม่เสียชาติเกิดที่ได้เป็นคนไทย ย้ำแค่นึกถึงและทำความดีพ่อจะอยู่กับเราเสมอ ในฐานะลูกของพ่อขอช่วยพัฒนาแผ่นดินเกิด
พระเอกวิก 7 สี “ซี ศิวัฒน์ โชติชัยชรินทร์” ถูกเลือกให้เล่นละครเทิดพระเกียรติ เรื่อง “จงรัก ภักดี” หนึ่งในเก้าละครเทิดพระเกียรติในซีรีส์ “ใต้ร่มพระบารมี” ผลงานกำกับการแสดง “ตั้ว ศรัณยู วงษ์กระจ่าง” ค่ายสามัญ การละคร เจ้าตัวเปิดใจว่า เป็นการเล่นละครที่ตนมีความภาคภูมิใจ แต่แฝงไปด้วยความโศกเศร้า
“ผมรับบทเป็นนพ เคยใช้ชีวิตแบบฟุ้งเฟ้อ ทุนนิยมทำธุรกิจที่มันเกินตัว ฝันว่าอยากจะเป็นมหาเศรษฐี ซึ่งเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จนะ จนกระทั่งมาเจอวิกฤตต้มยำกุ้ง ทำให้ผมสูญเสียทุกอย่างจนเป็นหนี้ 60 ล้านบาท ซึ่งเป็นตัวแทนของคนที่มีชีวิตแบบนั้น เคยท้อแท้มาก้อน อยากจะฆ่าตัวตาย จนอยากหันหลังให้กับสังคม และได้มาพบกับศาสตร์ของพระราชา เศรษฐกิจพอเพียง ดังนั้นมันก็คือเป็นเส้นเรื่องหลักๆ ของนพ ส่วนคาแรกเตอร์ของนพนั้น เป็นคนค่อนข้างปิดตัวเองเพราะมีความทรงจำที่แย่กับคนเมือง เราเลยปิดกั้นตัวเอง ไม่คุยกับใคร มีมุมมองแง่ร้ายกับคนเมืองต่างๆ คิดว่า กลุ่มวัยรุ่น หรือคนทั่วไปที่มาถวายความอาลัยในหลวงรัชกาลที่ ๙ นั้น ทำเพื่อตามกระแส ซึ่งเราก็คิดว่าคนเราจะรักพ่อนั้นก็ไม่จำเป็นต้องบอกใคร ซึ่งเป็นมุมมองที่ค่อนข้างตีกรอบกับตัวเองมาก”
“ผมได้รับเลือกก็มีความภูมิใจนะ เพราะเราก็เป็นสื่อมวลชน และประชาชนที่เกิดในรัชกาลที่ ๙ ที่ได้มีโอกาสได้เห็นพระองค์ท่านทรงงาน เราก็ได้มีโอกาสถวายงานก็ยิ่งคิดไปว่า ในวันนี้ทุกคนอาจจะโยนความคิดร้ายใส่กันโดยมีวัตถุอันหนึ่งที่เรียกความรักรักพ่อ ซึ่งเราตัดสินกันและกันโดยที่จริงๆ คำถามก็คือรักของแต่ละคนก็แตกต่างกัน ที่สำคัญที่สุด คือ เราต่างก็มีจุดหมายที่ต่างกัน เรื่องนี้ก็ถูกนำเสนอเช่นเดียวกันกับสภาพสังคมในตอนนี้ ทุกคนต่างมีเป้าหมายเหมือนกันคือรักพ่อหลวงและอยากไปร่วมถวายความอาลัยแด่พ่อหลวง เพียงแต่ว่าในละครแต่ละเรื่องที่ทุกคนได้เห็นผ่านตานั้น เป็นละครเทิดพระเกียรติคงจะได้เห็นถึงวิธีการนำเสนอพระราชกรณียกิจต่างๆ ของพระองค์ท่านแต่ครั้งนี้จะแตกต่างออกไป คือ เราจะนำเสนอเรื่องชีวิตที่เกิดขึ้นในครั้งนั้นในวันที่ 13 ตุลาคม 2559 เราคนไทยเกิดความท้อแท้ หดหู่ เรื่องราวก็จะเล่าย้อนไปถึงภูมิหลังของตัวละครแต่ตัว ที่มีปัญหาต่างกัน แต่สุดท้ายคือทุกตัวละครมีจุดมุ่งหมายเดียวกันหมด และได้ยึดนำเอาหลักการดำเนินชีวิตของพ่อหลวงมาฉุดนำชีวิตตัวละครขึ้นมาอีกครั้ง”
ทำความดี ตามรอยพระราชดำรัสในหลวง ร.๙
“คือผมทำทุกอย่างเลยนะ และที่พูดบอกโดยตลอดคือการทำความดี ที่ผมบอกเลยว่ามันเป็นเรื่องที่ทำยากแต่ก็ต้องทำและเห็นผลช้าแต่เราก็ต้องทำและนี่คือพระราชดำรัสของในหลวงรัชกาล ๙ คนเราถ้าคิดแค่ว่าการทำดีแล้วจะต้องได้รับอะไรตอบแทนมันก็คงมีคนดีในสังคมแค่หยิบมือแหละ แต่วันนี้ผมเชื่อเหลือเกินว่าในวันนี้ที่คนไทยทุกคนลุกขึ้นมาทำความดีนี่ก็ไม่ใช่คนดีแค่หยิบมือแล้ว และผมคิดว่าแค่เรานำแนวทางที่พระองค์ท่านสร้างไว้มาให้กับชีวิตได้เทานั้นก็ยิ่งใหญ่มากแล้ว
บุญน้อยไม่มีโอกาสถวายงานหน้าพระพักตร์ แต่แค่เดินตามรอยพระองค์ ไม่เสียชาติเกิดที่ได้เกิดเป็นคนไทย
“ผมบุญน้อยไม่ได้มีโอกาสได้ถวายต่อหน้าพระพักตร์ แต่ว่าถวายงานแบบเป็นโครงการของพระองค์ท่านโดยตรงเลย ผมอาจจะมีโอกาสได้เข้าเฝ้าฯ พระองค์อื่น แต่สำหรับพระองค์ท่านแล้วเนี่ย ผมบุญน้อยเหลือเกินครับ แต่ตัวผมเองก็ยังปฏิบัติบูชาต่อไป จริงๆ เราแค่ทำตามรอยพระองค์ท่านแค่นั้นผมก็รู้สึกว่าเราก็ไม่เสียชาติเกิดแล้วที่ได้เกิดมาเป็นคนไทย อย่างที่บอกว่าความดีมันทำได้ยาก แต่ถ้าเรามานั่งนึกว่าไม่มีใครเห็นไม่ทำดีกว่าแบบนี้ แผ่นดินเราก็คงจะไม่สามารถอยู่จนทุกวันนี้เหรอกครับ ความยิ่งใหญ่มันเกิดจากคนที่กล้าทำอะไรที่คนอื่นเขาไม่ทำกัน มันต้องเริ่มจากตัวเราเองก่อน แล้วที่เหลือมันก็จะขยายไปเอง”
อย่าบอกแค่รัก ขอให้ปฏิบัติด้วย
“ทำเลยครับ ทำเลย ไม่ใช่แค่พูดอย่างเดียว เราได้เห็นได้สัมผัสกับคนในรุ่นก่อนหน้าเราและในรุ่นเดียวกัน ไม่ใช่แค่บอกรักอย่างเดียว เราต้องทำด้วยทำให้เขาเห็นครับ พระพุทธรูปถ้าเราติดทองอยู่แต่ข้างหน้าก็ไม่มีความสวย”
ภาคภูมิใจที่ได้เล่นละครเทิดพระเกียรติ แต่แฝงไปด้วยความโศกเศร้า ยึดพ่อหลวงเป็นแรงบันดาลใจ
“ต่างกันไปอย่างสิ้นเชิง มันเหมือนกับที่เราร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีทุกๆ ปี ปีนี้มันช่างเป็นปีที่แตกต่างจากทุกครั้ง นอกจะมีความภาคภูมิใจแล้วก็ก็มีความเศร้าโศกเสียใจ การเล่นละครเทิดพระเกียรติในครั้งนี้ก็เช่นกัน ในทุกๆ ปี เรามีแต่ความภาคภูมิใจในการได้กล่าวถึง แต่ครั้งนี้เป็นเหตุการณ์ครั้งแรกในชีวิตของคนไทยทั้งหมดที่ทำละครเทิดพระเกียรติเกี่ยวกับการสวรรคตของพระองค์ท่าน เพราะฉะนั้นความรู้สึกที่เกิดขึ้น เนื้อหาที่มันเป็นเหตุการณ์ที่มันเกิดขึ้นมันเป็นความเศร้าโศกเสียใจ มันก็คงเป็นตัวแทนของคนไทยทั้งประเทศในวันที่ 13 ต.ค. ในวันนั้น”
“แต่สุดท้ายสิ่งที่เราอยากจะนำเสนอที่เราอยากจะจับมือไปพร้อมกับคุณผู้ชมก็คือเราต้องฟื้นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ผมเชื่อว่าวันนี้เรามีความเสียใจได้ แต่อีกทางหนึ่งเราก็ควรจะดีใจที่พระองค์ท่านไม่ต้องเหนื่อยอีกต่อไปแล้ว ในฐานะที่เราอยู่บนผืนแผ่นดินไทย และพูดภาษาไทย ทำต่อไป เพราะคำสอนพ่อจะอยู่กับเราทุกวัน ทุกวันนี้พ่ออยู่ในภาวะที่เรียกว่า Free From ที่แค่เรานึกถึงพระองค์ท่าน พระองค์ท่านก็อยู่กับเราแล้ว ไม่ใช่แค่พระองค์อยู่ที่ศิริราชอย่างเดียว วันนี้เวลาเรานึกถึงพระองค์ท่าน ท่านก็จะอยู่กับเราทันที เพราะฉะนั้นเราก็ใช้ความรู้สึกนี้แหละครับที่ทำให้เป็นแรงบันดาลใจให้กับตัวเองต่อไป”
ดึงสติทุกคน คำสอนพ่อหลวงจะอยู่กับเราตลอดไป
“มันก็มีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นเหตุการณ์อย่างที่บอกคือเรื่องราวก่อนวันที่ 13 และวันที่ 13 เกิดขึ้นเป็นเหตุการณ์ประมาณ 2 วัน ทั้งหมดที่มันเกิดขึ้นเป็นเหตุการณ์ตอนที่ได้ยินข่าวลือในโซเชียลมีเดีย จริงไม่จริง แต่พอข่าวออกวิทยุออกทุกอย่างมันนิ่งหมด ทุกคนไปไม่เป็น ไม่ได้เตรียมใจมาก่อน แต่สุดท้ายก็จะมีตัวละครตัวหนึ่ง ที่ให้สติกับพวกเราทุกคนว่าคำสอนของพระองค์ท่านยังอยู่กับเราตลอดไป การที่พระองค์จากไปไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องจบชีวิตเราลงเช่นเดียวกัน ในฐานะลูกต้องพัฒนาแผ่นดินเกิดนี้ให้มันดีขึ้น ถวายให้แด่พ่อ”