นักแสดงรุ่นใหญ่ “อุ้ย เกรียงไกร” เต็มใจเล่นละครเทิดพระเกียรติทดแทนบุญคุณ “ในหลวง ร.๙” เผยเล่นด้วยใจไม่เสแสร้ง ก่อนเล่าความทรงจำที่มีค่า ได้เรียนหนังสือที่โรงเรียนจิตรลดา เพราะพระมหากรุณาธิคุณในหลวง เผย พระองค์ท่านยุติธรรม ไม่เคยทำให้ใครต้องรู้สึกเหลื่อมล้ำทางสังคม เทิดทูนพระองค์ถวายชีวิตแทนได้
นักแสดงรุ่นใหญ่ “อุ้ย เกรียงไกร อุณหะนันทน์” เผยความภูมิใจได้เล่นละครเทิดพระเกียรติ “เราเกิดในรัชกาลที่ ๙ เดอะซีรีส์” บอกความรู้สึกแตกต่างจากตอนที่เล่นแล้วได้เงิน เพราะตนเล่นด้วยใจ ไม่เสแสร้ง ตอบแทนพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
“ผมเล่นมาหลายเรื่องจำไม่ค่อยได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นละครวันเฉลิมพระชนมพรรษา ละครวันที่ 5 ธ.ค. หรือ วันที่ 12 ส.ค. ผมก็เล่นมาตลอด การเทิดพระเกียรติมีมานานมาก ๆ คนรุ่นเก่า ๆ เขารู้ซึ้งถึงพระราชกรณียกิจของในหลวงรัชกาลที่ ๙ มานานมากแล้ว เพราะเราเกิดมาได้เห็นพระองค์ท่านเสด็จฯไปในที่ต่าง ๆ ทำงานหนักมากเราเห็นตลอด”
“เวลาได้รับการติดต่อให้เล่นละครเทิดพระเกียรติ มันเป็นความรู้สึกที่แตกต่างจากเวลาที่เราได้รับการติดต่อมาเล่นละครเชิงพาณิชย์ อันนั้นเราทำเพื่อดำรงชีวิตเพื่อทำมาหากิน แต่ในขณะที่เราได้เล่นละครเทิดพระเกียรติเราไม่เคยมีคำถามนี้เกิดขึ้นเรายินดีที่จะเล่นมันเป็นความรู้สึกต่างกัน เราเล่นเพราะเต็มใจที่จะเล่น เล่นเพราะทดแทนพระคุณกับเล่นเพื่อสตางค์ความรู้สึกมันต่างกันมันเทียบกันไม่ได้เลย”
“ถามว่า บทบาทยากแค่ไหนมันขึ้นอยู่กับบทบาทที่เล่น อย่างเมื่อก่อนที่เล่นตอนที่เรื่องโรคเอดส์ระบาดก็จะเล่นในลักษณะหัวหน้างานซึ่งเข้าใจลูกน้องที่ติดเชื้อ HIV ฉะนั้นส่วนใหญ่แล้วละครเทิดพระเกียรติ ถ้าไม่ใช่แสดงให้เห็นถึงพระราชกรณียกิจต่าง ๆ ที่ทรงทำเอาไว้ ก็จะเป็นเรื่องของความโอบอ้อมอารีต่อเพื่อนมนุษย์ การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่การเห็นใจต่อเพื่อนมนุษย์ส่วนใหญ่ก็จะเป็นอย่างนั้น”
เผยเล่นละครเทิดพระเกียรติออกมาจากใจ ไม่ต้องเสแสร้ง
“ผมประทับใจทั้งหมด อย่างฉากนั่งรับเสด็จพระบรมศพเมื่อกี้ มันเป็นความรู้สึกจริง ๆ การเล่นละครเทิดพระเกียรติเราไม่ต้องเสแสร้ง ไม่ได้ถูกบังคับให้ทำอารมณ์มันไปเองโดยธรรมชาติ แต่ในขณะเล่นละครเชิงพาณิชย์ต่าง ๆ มันมีคาแรกเตอร์แตกต่างกันไป ฉะนั้น อาจจะต้องใช้เวลาทำอารมณ์นานพอสมควร อย่างนี้ปล่อยไปตามธรรมชาติและหมู่มวลที่เล่นก็ส่งเสริมให้เราสร้างแรงบันดาลใจสร้างพลังให้เราแสดงอารมณ์ออกมาได้อย่างเต็มที่โดยที่ไม่ยากเย็นอะไร เราเล่นเป็นประชาชนคนไทยผู้จงรักภักดีต่อพระองค์ท่าน เราก็เป็นอยู่แล้วฉะนั้นมันก็คือตัวเรา”
เข้าเรียนโรงเรียนจิตรลดาเพราะพระมหากรุณาธิคุณในหลวง
“อย่าใช้คำว่าถวายงานเลย จริง ๆ ผมไม่ค่อยอยากจะพูดเรื่องนี้เลยนะ ด้วยความที่ผมเคยเป็นนักเรียนโรงเรียนจิตรลดา ตั้งแต่อายุ 9 ขวบ ผมได้รับพระมหากรุณาธิคุณ คือสมัยนั้นโรงเรียนจิตรลดาเปิดขึ้นมาเพื่อให้เจ้าฟ้าทั้ง 4 พระองค์ได้เรียนหนังสือ เมื่อปี พ.ศ. 2509 นักเรียนในชั้นของสมเด็จพระเทพฯ สอบไม่ผ่านอยู่ประมาณ 4 คน พระเจ้าอยู่หัวท่านก็เลยแทนจะที่จะให้ออกไปเรียนที่อื่น พระองค์ท่านก็เลยเปิดชั้นเรียนใหม่ขึ้นอีกชั้นหนึ่ง แต่จะมีนักเรียนแค่ 4 คน ก็กระไรอยู่ ผมจำได้ว่าตัวเองเรียนอยู่ชั้น ป.5 โรงเรียนพัทธศึกษา อยู่ดี ๆ คุณพ่อก็มารับออกไปจากห้องระหว่างเรียนหนังสือเลย แล้วก็ขับรถพาเข้าไปในวังเพื่อไปทำข้อสอบ จากนั้นวันรุ่งขึ้นคุณพ่อก็พาไปลาออกจากโรงเรียนเก่า และก็เข้าไปเรียนที่จิตรลดาเลย สมัยนั้นเราไม่ต้องเตรียมตัวอะไรมาก เพราะยังไม่มีเครื่องแบบ เราก็เข้าไปเรียนโดยไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไรทั้งสิ้น”
“ตอนนั้นไม่รู้อะไรทั้งสิ้นเลย รู้แค่ว่าคุณพ่อให้ออกไปเรียนที่อื่นก็เท่านั้นเอง ไปเรียนเราก็ไม่ได้คิดอะไรทั้งสิ้น แต่พอเราโตเรียนจบออกมาแล้วถึงรู้ว่า การที่เราได้เรียนตรงนั้นมีเจ้าฟ้าถึง 4 ชั้นแล้วเราเป็นชั้นเดียวที่เป็นชั้นปกติไม่มีเจ้าฟ้าเลย แต่เราไม่ได้รับความเหลื่อมล้ำต่ำสูงเลยแม้แต่น้อย เราได้ทานอาหารกลางวันเหมือนกัน เราเรียนครูคนเดียวกัน ทำกิจกรรมเหมือนกัน ไปทัศนศึกษาใช้รถคันเดียวกัน เข้าคิวหรือวิ่งเล่นต่าง ๆ เหมือนกัน ใช้ชีวิตเหมือนเด็กนักเรียนทั่วไป โตขึ้นเราถึงได้รับรู้ว่าพระเจ้าอยู่หัวท่านยุติธรรม ไม่เคยทำให้ใครต้องรู้สึกเหลื่อมล้ำต่ำสูงอะไรทั้งสิ้น เมื่อโตขึ้นคิดได้เรารับรู้ได้เลยครับ เห็นมั้ยว่าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงดนตรีก็เก่ง ทรงกีฬาก็เก่ง ช่วยเหลือทำงานสังคมก็เก่ง นักเรียนจิตรลดาทุกคนต้องทำอย่างนั้นหมด”
“ตอนนั้นไม่ได้คิดหรอก โตมาถึงคิดได้ว่าทำไมถูกบังคับให้เรียนดนตรี ทั้งดนตรีสากล ดนตรีไทย ทำไมเราต้องเรียนโขน บัลเล่ต์อาจจะไม่ได้เรียนแต่โรงเรียนจิตรลดาก็มีสอนบัลเล่ต์ เราต้องไปช่วยสอนหนังสือเด็กกำพร้าที่สถานสงเคราะห์ ใครถนัดอะไรก็ไปสอนเด็ก ๆ ผมชอบวาดรูปก็ไปสอนวาดรูป ผมเรียนลูกเสือจราจรนักเรียนที่เรียนลูกเสือทุกคนต้องไปโบกรถตรงหน้าวังทุกเช้า ท่านพระราชทานเลี้ยงอาหารเด็กตาบอด นักเรียนจิตรลดาทุกคนต้องมาเสิร์ฟอาหารให้เด็กตาบอด เราถูกอบรมสั่งสอนให้เป็นคนธรรมดาติดดินไม่ได้พิเศษกว่าเด็กที่อื่น”
“ตอนนั้นเราก็ไม่รู้หรอกครับ พอโตขึ้นเราก็เข้าใจชีวิตมากขึ้น เด็ก ๆ ทั้งหลายที่โดนพ่อแม่ดุ เขาก็ไม่รู้หรอกว่าพ่อแม่ดุทำไม เมื่อวันที่คุณมีครอบครัวแล้วถึงจะรู้ว่า อ๋อ ที่พ่อแม่เขาดุเพราะเขาสอนเราอย่างนี้นี่เอง ด้วยเหตุผลนี้เองทำให้เราเรียนรู้ ทำให้เราเข้มแข็ง ทำให้เรารู้จักเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ทำให้เรารู้จักพอเพียง นักเรียนโรงเรียนจิตรลดาเวลาไหว้ครูถูกบอกเสมอว่าห้ามซื้อดอกไม้ตามตลาดมาไหว้ครู คุณจะบูชาครูจะระลึกถึงพระคุณครู คุณต้องทำด้วยใจ ต้องเอาดอกไม้ที่บ้านมาทำไม่ใช่ไปซื้อดอกไม้มา”
“และอีกอย่างหนึ่งคือ ในวังจะปลูกต้นไม้ดอกไม้เยอะแยะ ก็ห้ามเก็บดอกไม้ที่โรงเรียนมาไหว้ครู เพราะว่าคุณไม่จริงใจในการไหว้ครู เราถูกฝึกมาโดยการกระทำจริง ๆ ถ้าคุณกลับมาคิดแล้วจะรู้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีความจริงใจในการกระทำ โรงเรียนจิตรลดาเป็นโรงเรียนตามแบบของพ่อเลย”
“อย่างเวลาพระองค์ท่านมาพระราชทานปริญญาบัตร และเสด็จฯมางานของโรงเรียนทุกปี มาประทับนั่งดูนักเรียนแสดง คิดดูว่าเด็ก ๆ ร่ายรำจะสวยขนาดไหน จะเล่นดนตรีได้ดีขนาดไหนพระองค์ก็ทรงอดทนที่จะฟังเพื่อให้เด็ก ๆ มีกำลังใจ และพระองค์ไม่ได้พระราชทานรางวัลให้แค่เด็กที่เรียนดีที่สุดเท่านั้น ยังพระราชทานรางวัลให้เด็กที่ได้คะแนนดีขึ้นตลอดทั้งปีด้วย และจำได้เลยว่าเข้าไปปีแรก ผมอยู่ชั้น ป.5 และชั้นของทูลกระหม่อมเล็ก ป.4 ผมต้องแสดงระบำไก่ ต้องใช้นักเรียนผู้หญิงเยอะนักเรียนชายน้อย เพราะชั้นของทูลกระหม่อมเล็กมีผู้ชายน้อยกว่า เขาเลยเลือกผู้ชายชั้น ป.5 ไปรำคนหนึ่ง เราเป็นผู้ถูกเลือก อายจนร้องไห้เลย เพราะเป็นเด็กผู้ชายคนเดียวที่ถูกเลือกไปรำระบำไก่ (หัวเราะ) ตั้งแต่นั้นก็แสดงทุกปี ซึ่งนักเรียนทุกคนต้องแสดงหมด”
“ตอนนั้นยังเด็ก อายุ 9 ขวบ ไม่รู้สึกอะไรหรอกเหมือนได้เล่นสนุก แต่เราก็รับทราบว่าพระองค์ท่านเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ผมก็แสดงมาตลอดจนปีสุดท้ายก็ได้แสดงโขน จำได้เลยว่าเราเป็นทศกัณฐ์ งานของโรงเรียนจิตรลดา ไม่ได้มีเฉพาะการแสดงนักเรียนทุกคนต้องทำงานฝีมือแล้วขาย เมื่อสอบเสร็จเรามีเวลาหนึ่งเดือนที่จะทำงานฝีมือทั้งหมด แล้วตั้งโต๊ะเพื่อจะขายผู้ปกครอง และพระเจ้าอยู่หัว กับ สมเด็จพระนางเจ้าฯ ท่านจะเสด็จฯทอดพระเนตรงานฝีมือของนักเรียนทุกซุ้ม บางปีเราก็ได้ถวายสิ่งที่เราทำ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นหมอนอิงเราได้วาดรูปลงบนหมอนอิงด้วย แต่จำไม่ได้แล้วว่าเป็นรูปอะไร มันเป็นความตื่นเต้นที่ได้ถวายของให้พระเจ้าอยู่หัว”
เผยโชคดีกว่าคนทั่วไป ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ ถ้าไม่สืบทอดเจตนารมณ์พระองค์ ต้องเป็นคนที่เลวที่สุด
“เราไม่ได้ใกล้ชิดพระองค์หรอก เราได้รับพระมหากรุณาธิคุณมากกว่า พอมองย้อนกลับไปเราโชคดีกว่าคนเยอะแยะ การที่เราโชคดีได้รับพระมหากรุณาธิคุณขนาดนี้ และถ้าเราไม่สืบทอดเจตนารมณ์ของพระองค์ท่านก็คงจะเป็นคนเลวสุดแล้ว ได้รับขนาดนี้เป็นตัวเป็นตน เป็นคนได้เข้าเผ้าขนาดนี้ มันจะต้องรักษาไว้ซึ่งพระเกียรติ รักษาไว้ซึ่งชื่อเสียงของนักเรียนโรงเรียนจิตรลดา เพราะทุกคนที่รู้ก็จะมอง ถ้าเราทำไม่ดีก็เสียพระเกียรติถึงพระองค์ท่าน ผมคงไม่อยากจะเป็นคนเลว และคงไม่อยากทำให้ท่านเสียพระทัย”
พระองค์สอนคนให้มีอาชีพ อยู่ได้ด้วยลำแข้ง ไม่ใช่การขอ
“ความสามัคคี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มันเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องมี ความมีน้ำใจ การให้ ให้แบบถูกต้อง สอนคนไม่ให้ขอแต่สอนคนให้ ให้มีวิชาชีพของตัวเองเพื่อจะดำรงชีวิตได้ด้วยลำแข้งของตัวเอง นี่คือสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าการให้ ให้เพราะว่าให้เขาไปต่อชีวิตเขา”
เทิดทูนในหลวง ถวายชีวิตแทนได้
“ถ้าถามว่าบทบาทคุณเปรมในละครสี่แผ่นดินกับชีวิตจริงผมเหมือนคุณเปรมมั้ย ตอบไม่ถูกนะ แต่ก็คงคล้ายกันในเรื่องของความจงรักภักดี แต่สิ่งหนึ่งคือผมไม่หมดอาลัยตายอยากเหมือนคุณเปรม ตอนสิ้นรัชกาลที่ ๖ คุณเปรมหมดอาลัยตายอยาก แต่ผมยังไม่หมด ผมคิดว่าเรายิ่งต้องทำเพื่อให้คนได้รับรู้ถึงพระราชกรณียกิจของท่านทั้งหมด ผมยังคงต้องทำต่อไปให้ดีที่สุด แต่สิ่งหนึ่งคือถ้าผมถวายชีวิตได้ คงจะดีกว่าเพราะผมคงทำอะไรให้ประเทศชาติได้น้อยกว่าพระเจ้าอยู่หัว ถ้าท่านยังมีพระชนม์ชีพอยู่ท่านทำอะไรได้มากกว่านี้เยอะครับ”
“อยากจะบอกว่าผมมองออกว่าคนไทยรักและสามัคคีกันมากขึ้น ภายใน 2 อาทิตย์ ที่ผ่านมา เรียกว่า เป็นทุกขลาภของประเทศไทย ความทุกข์ทำให้เราได้ลาภครับ”