“พีค ภัทรศยา” หยุดชีวิตฟุ่มเฟือย ตั้งหน้าตั้งตาทำงานหาเงินให้ได้มากที่สุด เพื่อที่จะได้ช่วยเหลือคนอื่นให้ได้มากที่สุด ฝันอยากเปิดมูลนิธิ สุขใจที่ได้ให้ คือ ความสุขที่แท้จริง
“พีค ภัทรศยา เครือสุวรรณศิริ” เดินทางมามอบริบบิ้นสีดำที่ทำขึ้นเองแจกจ่ายให้กับประชาชนที่เดินทางมาถวายอาลัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บริเวณหัวลำโพง ปลื้มใจเห็นรอยยิ้มของผู้รับแล้วรู้สึกมีพลัง เผย เคยใช้ชีวิตฟุ่มเฟือยมาก่อน แต่ตอนนี้ใช้แค่พอเพียง และนำเงินไปช่วยเหลือแบ่งปันผู้ที่ลำบาก ทุกวันนี้อยากจะทำงานให้เยอะที่สุด เพื่อที่จะได้มีเงินไปช่วยเหลือคนอื่นได้มากยิ่งขึ้น อนาคตอยากจะเปิดมูลนิธิ
“รู้สึกดีใจที่ได้นำริบบิ้นที่เราตั้งใจทำ มามอบให้กับพี่น้องประชาชนที่หัวลำโพง ก็ดีใจที่ได้มาเจอได้มาพูดคุย เขาก็น่ารักมากทุกคนมีรอยยิ้มให้ เราก็ยิ้มให้กัน ที่นี่ประชาชนจะเดินทางมาเพื่อเข้าไปข้างในเมือง หรือคนที่เดินทางเข้าไปแล้วและกำลังเดินทางกลับบ้าน เหมือนเรามาต้อนรับเขาเข้าเมือง และเหมือนส่งเขากลับบ้าน ก็เหมือนมาให้กำลังใจกัน อย่างโบว์ที่นำมาแจกพี่ ๆ ทางช่องและนักแสดงช่วยกัน ร่วมกันทำเอามามอบให้”
“ส่วนงานละครก็ยังถ่ายอยู่ปกติ แต่ว่าเวลาที่เรามีเวลาว่างเราก็จะออกมาเจอพี่ ๆ น้อง ๆ หรืออะไรที่เราสามารถช่วยเหลือได้ ทำอะไรให้ได้เราก็ทำ พอได้มาทำก็รู้สึกดีใจ คือไม่ใช่เรามาให้พลังเขาอย่างเดียวเหมือนเราก็ได้พลังจากพี่ ๆ น้อง ๆ กลับไปด้วย รู้สึกดีใจมาก”
น้อมนำคำสอนไปใช้ในชีวิตประจำวันและสอนลูกสอนหลาน
“ทุกข้อที่ท่านทรงสอนพวกเรานี่คือสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้หมดจริง ๆ นะ สิ่งที่พีคอยากจะตั้งใจ คือ พีคอยากจะน้อมนำพระราชดำรัสของท่านนำมาใช้ในชีวิตของเราให้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้ เราก็จะเหมือนสมมติว่า เรามีหลานมีน้องเราก็จะนำไปสอนน้อง ๆ หลาน ๆ ของเรา หรือคนในครอบครัวของเรา คนรอบข้างของเรา หรือว่าอันไหนที่เรายังไม่สามารถประพฤติได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เราก็จะพยายามทำให้ได้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้ เพราะทุกอย่างที่ท่านสอนคือเป็นสิ่งที่ดีมาก ๆ สำหรับพวกเรา”
“อย่างเรื่องความเสียสละ ความพอเพียง และการช่วยเหลือซึ่งกันและกันไม่เบียดเบียนกัน มีน้ำใจให้กันต่อเพื่อนร่วมแผ่นดินของเรา พีครู้สึกว่าอะไรที่ช่วยเหลือได้ อะไรที่เราทำได้ เราทำโดยไม่ต้องคิดเลย เพราะว่าท่านทรงเสียสละมากมายเพื่อประชาชน ซึ่งเป็นสิ่งที่พีคอยากทำตรงนี้ให้ได้มากที่สุด เราเป็นนักแสดงเราก็มีโอกาสทำตรงนี้ได้มากกว่า”
“และก็จะนำสิ่งเหล่านี้สอนลูกสอนหลาน อย่างหลานของพีคเขาก็จะเห็นทำไมถึงใส่ชุดดำ หรือว่าทำไมต้องติดริบบิ้น คุณครูที่โรงเรียนให้ติดริบบิ้น เราบอกว่า เราถวายความอาลัยให้พ่อหลวงของเรานะ พีคก็จะเปิดรูปให้หลานดูว่าเนี่ยสิ่งที่ท่านสอน อาพีคได้รับแบบนี้มาจากท่านนะ อย่างในเรื่องคนดี ความพอเพียง หนูต้องทำยังไงในชีวิตประจำวัน คือ เราก็พยายามพูดในสิ่งที่น้องเข้าใจแล้วพีครู้สึกว่าเราพูดไปเรื่อย ๆ แล้ววันหนึ่งสิ่งที่เราพูดน้องก็จะเข้าใจแล้วนำไปใช้ในชีวิตประจำวันของน้องได้เหมือนอย่างตัวเรา ถ้าหลานได้เห็นเราตรงนี้เขาก็อยากจะทำตามในสิ่งที่เราทำ พีครู้สึกว่าเขาเห็นเราทำในสิ่งที่ดี ๆ เขาก็อยากจะทำในสิ่งที่ดี ๆ เหมือนเรา”
เลิกฟุ่มเฟือย เอาเงินมาแบ่งปันและช่วยเหลือคนอื่นให้ได้มากที่สุด
“เรารู้สึกโชคดีมากที่เกิดในแผ่นดินพระองค์ท่าน แทบจะไม่มีใครที่ทำได้แบบท่านทำ และเป็นตัวอย่างที่ดีได้แบบท่าน พีครู้สึกว่าพวกเราโชคดีมากที่เรามีโอกาสได้อยู่ในแผ่นดินของท่านที่ท่านได้ปลูกฝัง ที่ท่านได้ทำเพื่อแผ่นดินของเรามากมายขนาดนี้ ก็ต่อจากนี้ที่เราจะทำก็คือสานต่อในสิ่งที่พ่อทำ เราต้องทำให้ได้ ไม่ทำให้ท่านผิดหวังและทำให้ทุกอย่างดีขึ้น”
“อย่างตอนนี้พีคก็นำหลักพอเพียงมาใช้ พอเพียงในที่นี้คือพอเพียงทั้งความสุข พอเพียงทั้งการดำรงชีวิต ที่ผ่านมาพีคยอมรับว่าเป็นคนฟุ่มเฟือยมาก 1 - 2 ปีที่ผ่านมา เราเริ่มรู้สึกว่าอะไรที่ไม่จำเป็นที่ต้องใช้ในชีวิตมาก แล้วเรานำส่วนที่เหลือตรงนี้ไปช่วยเหลือให้คนที่เขาต้องการมากกว่าเรา พีคก็นำตรงที่ไปช่วยเหลือคนอื่นเท่าที่พีคพอจะช่วยได้ ทุกวันนี้ช่วงไหนที่เรามีรายได้เยอะเราก็จะนำเงินไปช่วยคนอื่นให้ได้มากที่สุดเท่าที่เราจะช่วยได้ อาจจะไม่ได้มากไม่ได้ยิ่งใหญ่แต่เราก็ช่วยเท่าที่เราจะช่วยได้ มันทำให้เรารู้สึกสุขใจและอิ่มใจ เรายิ่งดีใจที่คนรอบข้างคนในครอบครัวของเราก็รู้สึกเหมือนเรา เขาก็อยากจะแบ่งปันเหมือนเรา”
“จุดเปลี่ยนคือเราเริ่มรู้สึกว่าเราพอแล้ว หรือถ้าเราอยากจะใช้จ่ายเราก็ใช้จ่ายแบบไม่ได้เบียดเบียนใคร พีครู้สึกว่าเราอยากจะนำเงินตรงนี้มาทำให้เป็นประโยชน์ได้มากกว่า การมีตรงนี้แล้วทำประโยชน์ให้กับตัวเองมันก็ดี แต่ถ้าเอาตรงนี้ไปสร้างประโยชน์ให้กับคนอื่นด้วยได้มันล้ำค่ามาก มีคุณค่าต่อผู้ที่ได้รับ แล้วมันก็มีคุณค่าต่อตัวเองมากด้วย”
“สิ่งที่พีคทำตอนนี้ ก็คือ ไปมอบทุนการศึกษาให้กับนักเรียน ก็ทำมา 2 ปีแล้วค่ะ พีคจะไปตามโรงเรียนและทางโรงเรียนจะคัดเลือกเด็กที่เรียนดีแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ไว้ แล้วเราก็เดินทางไปมอบ เราก็รวมตัวกันไปเยอะ แล้วให้เงินกระจาย ๆ ไป จริง ๆ ให้เป็นก้อนก็ได้ แต่มีคนที่ประสบปัญหาเยอะมาก เราก็กระจายกันช่วยเหลือ ล่าสุด เพิ่งไปมอบให้น้องโรงเรียนแถวรังสิต เราว่าเราดีใจแล้วแต่น้องที่เขาได้ตอนที่ได้รับมอบเขาดีใจมากกว่าเรา สิ่งที่เราตั้งใจหลังจากนี้คืออยากจะไปมอบอีกเรื่อยๆ ทุกๆ ปีให้กับเด็กที่ลำบาก เขาต้องทั้งเรียนทั้งช่วยพ่อแม่หาเงิน อันนี้เป็นสิ่งที่เราช่วยเขาได้ทำให้ชีวิตเขาดีขึ้น เขาได้นำเงินที่เราให้ไปทำประโยชน์ ไปตั้งใจเรียน เงินตรงนี้ก็จะกลายเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ”
“การที่เราได้เห็นภาพเหล่านี้ มันทำให้เรารู้ว่ามันมีค่ากับเขามาก ๆ ทำให้พีคเข้าใจคุณค่าของเงิน เรานำส่วนตรงนี้ที่เรามีเอาไปแบ่งปันให้กับคนที่เขาต้องการมันเป็นอะไรที่ดีที่สุดแล้ว มันยิ่งทำให้เรารู้สึกว่าอยากจะทำงานเยอะ ๆ เพื่อให้เรามีรายได้มาก ยิ่งเรามีเยอะเท่าไหร่เราก็จะยิ่งช่วยเหลือให้กับน้อง ๆ ที่ต้องการได้มากเท่านั้น เราอยากจะทำอีกเรื่อย ๆ ก็ถือว่าเราเองก็โชคดีที่เป็นคนที่ไม่ค่อยได้ต้องการอะไรมากมาย แต่มันก็ยังไม่ได้ทำให้พีคมีแรงจะทำมากขนาดนั้น แต่ตอนนี้เราอยากจะทำงานให้ได้เยอะ ๆ เรามีแรงมากพอที่เราจะหารายได้ ยิ่งเรามีรายได้เยอะมากเท่าไหร่เราก็จะยิ่งมีโอกาสได้ช่วยเหลือคนอื่นมากเท่านั้น ไม่ใช่แค่เด็ก พระที่ป่วยอยู่ที่โรงพยาบาลสงฆ์ ผู้ป่วยโรงพยาบาลทหารผ่านศึก หรือผู้ป่วยโรคเอดส์นี่เขาก็น่าสงสารเหมือนกัน”
“โดยเฉพาะโรงพยาบาลทหารผ่านศึกเป็นอีกที่ที่พีคไปประจำ พีครู้สึกว่าทหารเขาทำหน้าที่ปกป้องประเทศชาติ เขาไปทำหน้าที่ของเขาแล้วเขาต้องเกิดอุบัติเหตุบาดเจ็บ การที่เขาทำอะไรไม่ได้ เราได้มีโอกาสไปร่วมพูดคุยกับเขา นำของไปช่วยเหลือในส่วนที่เขาขาดแคลนไปมอบให้ พอเราเห็นแล้วเราก็แบบ...เรามีครบยังมีโอกาสทำอะไรได้อีก แต่พี่เขาทำเพื่อประเทศมามากแล้วแต่ตอนนี้เขาทำอะไรไม่ได้แล้ว เขาน่าสงสารมาก พีคก็จะไปเป็นกำลังใจนำของที่เขาขาดแคลนไปให้ แล้วก็ยังมีที่ที่ต้องการความช่วยเหลืออีกเป็นจำนวนมาก ก็คุยกับครอบครัวว่าถ้าเรามีมากกว่านี้ พร้อมมากกว่านี้เราก็อยากจะทำเป็นรูปแบบมูลนิธิช่วยเด็ก ถ้ามีโอกาสได้ทำจริง ๆ คงเป็นอะไรที่สุขมาก ได้ไม่ได้ทำเพื่อให้เราสุขนะ แต่เราสุขจริง ๆ ที่เราได้ทำตรงนี้อาจจะเป็นในอนาคต แต่ตอนนี้ก็จะช่วยให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้”
“อยากจะตามรอยในหลวงให้ได้มากที่สุด โอเคตอนนี้เราทำได้บางส่วน แต่เมื่อเทียบกับพระองค์ท่านแล้วมันยังไม่มากพอเลยกับสิ่งที่ท่านเสียสละ เราก็มานั่งดูนั่งคิดว่าเราจะเสียสละส่วนไหนได้อีกบ้าง เราจะทำจุดไหนได้อีกบ้าง เราเอาทั้งเวลาและทุกสิ่งที่เรามีไปช่วยคนที่เขาต้องการได้มากกว่านี้ เรารู้สึกว่าเราต้องทำอะไรมากกว่านี้ เราอยากสานต่อสิ่งที่พ่อทำ ยิ่งโตเราก็ยิ่งมีความรู้สึกอยากให้มากขึ้น ตอนเด็ก ๆ เราอาจจะคิดถึงแต่ตัวเอง พอโตขึ้นเราก็คิดถึงตัวเองน้อยลงคิดถึงคนรอบข้างมากขึ้น แล้วก็แผ่ขยายไปถึงคนในสังคม แล้วก็ภูมิใจที่คนในครอบครัวเราก็คิดเหมือนกัน การที่เราได้เป็นผู้ให้มันทำให้เรารู้สึกมีพลัง มีคุณค่าและมีความสุขจริง”
ด้าน “เด่นคุณ งามเนตร” ก็ได้เดินทางไปที่สนามหลวงพร้อมแฟนคลับ เพื่อนำเอาของมามอบให้กับประชาชนที่มาถวายอาลัย และเดินเก็บขยะ เผยมาเป็นครั้งที่ 3 แล้ว
“วันนี้มาอย่าเรียกว่าเป็นจิตอาสาเลย เป็นการนัดรวมกับกลุ่มแฟนคลับร่วมกันมาแจกของ มีน้ำ กระดาษ ผ้าเย็น มีของใช้ทั่วไป พอแจกของเสร็จก็มีการเดินเก็บขยะตามพื้น รู้สึกดีนะครับที่เห็นแต่ละคนมีน้ำใจมาแจกข้าวแจกของกันก็อยากให้คนไทยมีน้ำใจแบบนี้ตลอดไม่ว่าจะเป็นที่ไหน”
“พอฝนตกเราก็ดึงที่วางของเราเข้ามาหลบข้างในเพื่อให้คนได้เข้ามาหลบฝนด้วย เต้นท์เกือบจะถล่ม ผมก็ช่วยดึงเอาไว้ ผมว่ากำลังแขนผมสามารถยกได้เยอะกว่านี้ ผมมา 3 ครั้งได้แล้ว ครั้งแรกอยากจะมาเต็มที่มากเพราะเพื่อนบอกว่าคนเขาลำบากกันนะ คนเขาเดินทางลำบากมาไกล เรารู้สึกว่าขนาดนั้นเลยหรอ เลยลองมาแจกของดู พอมาปั๊บเห็นคนมาแจกของเยอะแยะมากเลยผมเลยคิดว่าบางทีเราก็สะพายกระเป๋าเป้กันมา เตรียมน้ำ เตรียมยาสำหรับตัวเองให้พร้อม อยากให้เตรียมกันมาเองมันน่าจะดีกว่าเพราะว่าผมเห็นการแจกของ และขยะส่วนใหญ่คือคนก็จะทิ้งฝา ทิ้งช้อนอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ทำหล่นไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ บางทีมันก็รก คนเก็บเขาก็เหนื่อย ถ้าเราเตรียมตัวเองมาอย่างดี มันไม่จำเป็นต้องมีคนเก็บขยะก็ได้ ไม่ต้องมีคนแจกก็ได้ ผมว่ามันน่าจะดีกว่า เราต้องช่วยเหลือกัน คนช่วยแจกก็เยอะแต่ก็อยากให้คนที่เป็นผู้รับร่วมมือกันด้วย”
“สำหรับผมเองก็อยากเข้าไปกราบสักการะในพระบรมมหาราชวังครับ แต่ผมคิดว่าได้ไปร่วมไว้อาลัยตรงกำแพงก็ถือว่าเพียงพอใจแล้ว เพราะว่าท่านก็อยู่ในใจของประชาชนชาวไทยทุกคนเสมอ ผมคิดว่าท่านยังไม่ไปไหนหรอก ท่านอยู่ในใจของทุกคน คำสอนของท่านก็อยู่ในใจของเราทุกคนครับ อย่างเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงคนไทยหรือว่าใครก็ตามสามารถนำไปดำเนินชีวิตได้ดีมาก อย่างพ่อแม่ผมก็เศรษฐกิจพอเพียงของจริง เขาใช้เงินกันวันละ 50 บาท พ่อแม่ผมเป็นราชการครูเงินเดือนเขาเก็บเขาไม่ได้ใช้เลย กินข้าวจิ้มแจ่วขอข้าวไปกินที่โรงเรียน”
“ผมเองเคยมีโอกาสได้รับเสด็จท่านเมื่อตอนเด็ก ๆ ภาพที่ผมจำได้คือเห็นท่านทรงประทับอยู่บนรถยนต์พระที่นั่ง เป็นภาพติดตาผมมาก และผมเคยมีโอกาสได้ไปร้องเพลงกับเป่าจินจงที่โรงพยาบาลศิริราช ซึ่งตอนนั้นพระองค์ท่านประทับอยู่ชั้น 16 ไปร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี เพลงพระราชนิพนธ์ เพลงใจสู้หรือเปล่าที่ร้องให้กำลังใจผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาตัวที่นั่น ครั้งนั้นผมได้ไปร่วมบริจาคเงินด้วย เป็นพระคุณอย่างยิ่งเลยครับที่ได้ร่วมกิจกรรมครั้งนั้น ตอนนั้นรู้สึกขนลุกซู่เลย อลังการมาก เป็นอะไรที่สุดยอดแล้ว”