xs
xsm
sm
md
lg

(ชมคลิป) “เอส” ปิดทองหลังพระ ทำดีไม่เคยบอกใคร เป็นวิทยากรบรรยายความเป็นผู้นำในหลวง ร.๙ ต่อหน้าเยาวชนกว่า 700 คน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


“เอส กันตพงศ์” เปิดใจเป็นวิทยากรบรรยายความเป็นผู้นำ “ในหลวง รัชกาลที่ ๙” ต่อหน้าเยาวชน 700 คนทั่วประเทศ ยึดพระราชดำรัสปิดทองหลังพระ ทำดีไม่ต้องป่าวประกาศ บอกเมล็ดพันธุ์ที่ดีต้องเริ่มจากรากที่ดี



พระเอกช่อง 7 “เอส กันตพงศ์ บำรุงรักษ์” มาร่วมร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี ถวายอาลัย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ท้องสนามหลวง โดยเจ้าตัวเผยว่าระหว่างร่วมร้องเพลงตนทั้งขนลุกทั้งร้องไห้ ซาบซึ้งกับภาพคนไทยรักกัน ก่อนจะเผยเรื่องราวดี ๆ ที่ไม่เคยบอกใคร เป็นวิทยากรบรรยายความเป็นผู้นำในหลวง รัชกาลที่ ๙

“ตอนที่ไปยืนร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีก็ขนลุกครับ ร้องไห้ด้วย คือ บรรยากาศมันซาบซึ้งมากที่ได้เห็นคนไทยรักกัน ส่วนตากล้องทุก ๆ คนเขาก็จะมีรูปเล็ก ๆ ของพระองค์ท่านถือเป็นจุดอยู่ ซึ่งแค่รูปเล็ก ๆ ใบนั้นแต่มันทรงพลังมากจริง ๆ ส่วนคนรอบ ๆ ข้างผมทั้งซ้ายและขวาบางคนก็ร้อนจนเป็นลมแต่ว่าทุกคนก็ยังสู้ คุณป้าอายุ 70 - 80 ทุกคนสู้หมด ซึ่งเขามากันตั้งแต่ตี 5 และก็ตั้งใจด้วยว่าจะอยู่กันยาวจนถึงช่วงค่ำ ผมเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ คือ บารมีของพระองค์ท่านที่มีต่อชาวไทย ผมไม่ได้เห็นคนไทยรักกันแบบนี้มานานมากแล้ว เพราะครั้งสุดท้ายก็คือตอนฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ที่คนไทยรวมตัวกันด้วยเหตุผลของความรัก แต่นอกนั้นคนไทยรวมตัวกันด้วยเหตุผลของความเกลียดชัง”

แดดร้อนยังไงก็ไหวครับ ขนาดน้อง ๆ ดารานักแสดงผู้หญิงที่เขาใส่ชุดไทยมา ก็ยังมีเป็นลมอยู่หลายคน แต่เขาก็ไม่ยอมออกมาจากตรงนั้น ขอแค่ได้นั่งพักแป๊บหนึ่งเขาก็ลุกขึ้นมาร่วมร้องเพลงด้วยกันใหม่ ผมเชื่อว่า เพลงนี้คือเพลงที่ทุกคนรู้จัก แต่ที่ผ่านมาเราอาจจะร้องเพราะเหตุผลที่ต่างจากวันนี้ เพราะวันนี้ทุกคนร้องเพราะอยากจะร้องให้พ่อได้ยิน ซึ่งมันเป็นอะไรที่เราไม่สามารถหาได้อีกแล้วในชีวิตนี้”

เผยหลั่งน้ำตาเป็นวิทยากรบรรยายในหัวข้อ “ศิลปะแห่งการเป็นผู้นำ” ยกพระองค์ท่านมาเล่า ต่อหน้าเด็กรุ่นใหม่กว่า 700 คนทั่วประเทศ
“เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม ที่ผ่านมา ผมเพิ่งจะไปทำหน้าที่เป็นวิทยากรให้กับน้อง ๆ เยาวชนผู้นำทั้งประเทศ ซึ่งจริง ๆ ตัวงานเขาตั้งใจว่าจะจัดกันตั้งแต่วันที่ 13 - 17 ตุลาคม แต่อยู่ดี ๆ วันที่ 13 ตุลาคม ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น ซึ่งตอนนั้นตัวผมเองก็ลังเลว่าจะพูดหรือไม่พูดดี เพราะหัวข้อที่ผมต้องพูดคือเรื่องของศิลปะแห่งการเป็นผู้นำ และทุกครั้งที่ผมพูดผมก็จะยกพระองค์ท่านมาช่วยในการเล่าเรื่องตลอด มันก็เลยกลายเป็นความรู้สึกในใจว่าเราอาจจะพูดไม่ได้ หรือถ้าถึงเวลาที่ต้องพูดเราอาจจะพูดไม่ออกเพราะต้องร้องไห้แน่ ๆ”

“ยอมรับครับว่า คืนก่อนที่จะไปเป็นวิทยากรคืนนั้นผมนอนไม่หลับ ผมต้องนั่งทำสไลด์ใหม่ทั้งหมด เพราะผมอยากเน้นเรื่องของพระองค์ท่านให้ได้เยอะที่สุด อยากให้คนที่เขาฟังได้เห็นภาพที่มันชัดเจนจริง ๆ และยังจำได้อยู่เลยว่านั่งเลือกภาพยังไงก็ไม่พอใจ ในวันนั้นผมก็พูดถึงทฤษฎีการเป็นผู้นำนี่แหละ จนกระทั่งเข้าสู่ช่วงท้ายของการบรรยายผมจึงเปิดวีทีอาร์ของพระองค์ท่าน แต่พอวีทีอาร์จบผมไม่สามารถพูดต่อได้เลยครับ นิ่งไปเกือบนาที พูดได้แค่คำว่า ใน... จนน้องที่นั่งอยู่แถวหน้าเขาหยิบกระดาษทิชชู่ส่งให้ ซึ่งสุดท้ายผมก็สามารถพูดต่อได้จนจบ คือ มันเป็นสิ่งเดียวที่ผมจะสามารถช่วยพระองค์ได้โดยการปลูกเมล็ดพันธ์เม็ดเล็ก ๆ ที่พระองค์ท่านต้องการเพื่อให้ประเทศไทยเราสามารถก้าวต่อได้”

“เราไปเป็นวิทยากรในโครงการเยาวชนผู้นำครับ เป็นการรวมตัวเยาวชนผู้นำจากทั่วทั้งประเทศประมาณ 700 กว่าคน ซึ่งน้อง ๆ คือ เด็กอายุ 14 - 20 ปี เป็นวัยที่สำคัญมาก ประเทศเราจะอยู่ได้เกิน 100 ปี หรือ 200 ปี ก็ขึ้นอยู่กับพวกเขา ดังนั้น มันก็ขึ้นอยู่กับพวกเขาว่าเขาจะวางแผนอนาคตของตัวเองและแผนอนาคตของประเทศไว้ยังไง ผมเลยรู้สึกว่าผมมีหน้าที่ต้องช่วยในการรดน้ำพรวนดินเมล็ดพันธุ์เหล่านี้ให้เขาเติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่ที่งดงามให้ได้”

ยึดพระราชดำรัสปิดทองหลังพระ ไม่เคยบอกใคร ทำดีไม่จำเป็นต้องป่าวประกาศ
“ผมเริ่มพูดเป็นวิทยากรตั้งแต่ผมเรียนจบแล้วครับ แต่ว่าผมไม่เคยบอกใครเลย จะมีก็แค่ครั้งล่าสุดนี่แหละครับที่ช่อง โทร.มาขอสัมภาษณ์ผมเรื่องในหลวง ผมก็เลยบอกไปว่าผมทำงานด้านนี้อยู่ แต่ที่ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยบอกสื่อหรือบอกใคร ๆ ก็เพราะผมยึดถือในพระราชดำรัสของพระองค์ท่าน นั่นก็คือ การปิดทองหลังพระ ผมรู้สึกว่าการทำดีมันไม่จำเป็นต้องป่าวประกาศให้ใครรู้ ถ้าสามารถทำได้เราก็ทำไปเลยและผมก็ทำแบบนี้มาตลอด”

“ผมไม่ได้เป็นตัวแทนของอะไรครับ ไม่ได้มีสมาคม ไม่ได้มีสังกัดใด ๆ แค่พอคนในแวดวงการบรรยายเขารู้ว่าผมสามารถทำหน้าที่ตรงนี้ได้เขาก็จะมาเชิญผมไปพูด ซึ่งผมเคยพูดให้ทั้งสมาคมผู้พิการ เคยพูดให้เด็ก ๆ เยาวชน และนักธุรกิจ แล้วแต่เขาจะเชิญครับ แต่กับครั้งล่าสุดที่พูดไปผมถือว่าเป็นการพูดที่ประทับใจที่สุดในชีวิต น้อง ๆ ทุกคนตั้งใจฟังมาก และผมก็บอกเขานะว่าหากสิ่งที่ผมพูดวันนี้มันยากเกินกว่าจะเข้าใจเขาก็ไม่จำเป็นต้องจำ แต่ให้เขาจำแค่ 3 คำนี้ คือ ทำอย่างพ่อ และน้องจะเป็นผู้นำที่ดีได้แน่นอนครับ”

“ผมตั้งใจว่าจะทำให้เยอะขึ้นด้วยครับ และคงจะไม่ต้องรอให้ถูกเชิญแล้ว เพราะผมอยากจะทำเป็นของตัวเองทำให้บ่อยขึ้น จัดงานขึ้นมาเองโดยที่ไม่ต้องรอให้มีสมาคมอะไรจัด จัดเองบรรยายเองเพราะผมตั้งใจจะทำให้มากขึ้นกว่าเดิม ผมพูดเยอะมากครับ ทั้งเรื่องการตลาด การต่อรอง แรงบันดาลใจ แต่สิ่งที่พูดเป็นหลักที่สุดก็คงเป็นเรื่องของผู้นำและเรื่องของพระองค์ท่าน ซึ่งจากนี้ผมก็ตั้งใจเป็นอย่างมากว่าจะเน้นไปที่เยาวชน เพราะเยาวชนรุ่นต่อไปเขาคือคนที่จะนำพาประเทศไปข้างหน้าครับ

“มันจะมีทฤษฎีของฝรั่งอยู่ทฤษฎีหนึ่งครับที่บอกว่าผู้นำมี 5 ระดับ ซึ่งระดับที่ 5 คือ ระดับที่ยากมาก ผู้นำทุกคนบนโลกใบนี้แทบจะไม่มีเลย ระดับแรกคือ ระดับผู้นำจากตำแหน่ง ซึ่งพระองค์ท่านมีตำแหน่งอยู่เพราะพระองค์ท่านคือพระราชา แต่พระองค์ท่านไม่เคยใช้ตำแหน่งนี้โดยเปล่าประโยชน์เลย อันดับสองคือ พระองค์ท่านเป็นผู้นำที่ได้ความรักความห่วงใย และมีความสัมพันธ์กับผู้ใต้บังคับบัญชา อันดับสามคือเป็นผู้นำที่ทำตามทุกอย่างให้ผู้ใต้บังคับบัญชาดู งานบางงานที่พระองค์ท่านไม่จำเป็นต้องทำแต่พระองค์ท่านก็ทำ อันดับสี่พระองค์ท่านสร้างผู้นำรุ่นใหม่ ๆ ขึ้นมา ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าคนที่รับใช้พระองค์ท่านเป็นผู้นำที่สุดยอดทั้งนั้นเลย อันดับสุดท้ายซึ่งไม่ค่อยมีใครทำได้ คือ ผู้นำที่ได้รับความเคารพ ซึ่งคำว่าเคารพสำหรับสำหรับฝรั่งคือเรื่องใหญ่นะครับ เพราะเขาไม่มีวัฒนธรรมอาวุโสแบบเรา แต่ความเคารพในความหมายของเขาคือการยอมพลีกายถวายชีวิตให้ได้ ซึ่งสำหรับพระองค์ท่านผมเชื่อว่าทุกคนยอมหมด ฉะนั้นพระองค์ท่านคือผู้นำที่ครบทั้ง 5 อันดับจริง ๆ”

แก่นแท้ของชีวิตคือความสุขที่เกิดจากภายใน ตั้งใจเป็นวิทยากรเรื่อย ๆ
งานเบื้องหน้าผมก็ยังทำต่อไปครับ แต่งานเบื้องหลังที่เราทำอยู่ตั้งแต่แรกผมก็ตั้งใจว่าจะทำต่อไปเรื่อย ๆ ไม่ต้องบอกใคร เวลาจะไปครั้งหนึ่งผมก็เคลียร์งานแสดงให้ได้ก่อน หรือหากไม่ชนกับอะไรมากและขอกองละครได้ก็จะไปเพราะผมอยากช่วยงานการกุศลเป็นหลัก”

“ส่วนเรื่องชื่อเสียงหรืออะไรต่าง ๆ นั้น ผมกลับมองว่าจุดสำคัญของชีวิตมันคือความสุขจากข้างใน สิ่งข้างหน้าเหล่านี้ความสุขที่ได้ คือ เวลาคนดูงานเราแล้วเขามีความสุข แต่แก่นแท้ที่จะอยู่กับเราได้ทั้งชีวิตคือความสุขที่เกิดจากข้างใน โอเคงานบางงานอาจจะสามารถทำให้เรามีความสุขจากแก่นแท้ได้ แต่งานที่เราทำเพื่อคนอื่นมันจะเติมเต็มจากข้างในครับ”


กำลังโหลดความคิดเห็น