“ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง หัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทย พร้อมครอบครัวเดินทางมาร่วมส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย เผยสุดปลื้มปีติที่ “ในหลวง ร.๙” ทรงทอดพระเนตรนัด พร้อมให้ราชเลขาส่งข้อความ “เราดูอยู่นะ” ก่อน “ช้างศึก” คว้าแชมป์ “ซูซูกิ คัพ 2014” ประกาศขอนำลูกทีมคว้าชัยเหนือออสเตรเลีย เพื่อถวายอาลัย
ขณะที่ประชาชนชาวไทยต่างเดินทางมุ่งหน้าสู่พระบรมมหาราชวัง และท้องสนามหลวง เพื่อถวายอาลัยแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดย นายเกียรติศักดิ์ เสนาเมือง หรือ “ซิโก้” หัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมฟุตบอลทีมชาติไทย พร้อมด้วยภรรยา และบุตรสาว ต่างก็เดินทางมาในฐานะประชาชนที่รักต่อพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ ๙ แห่งราชวงศ์จักรี
ทั้งนี้ นายเกียรติศักดิ์ กล่าวถึงการเดินทางมาถวายอาลัยครั้งนี้ ว่า “พวกเราทำงานถวายพระองค์ท่านมาโดยตลอด ภารกิจของเรายังไม่เสร็จ ขอให้พระองค์ท่านทรงมองดูพวกเราอยู่ สำหรับนัดเปิดบ้านเจอกับ ออสเตรเลีย ในวันที่ 15 พฤศจิกายนนี้ ผมเชื่อว่า นักฟุตบอลทุกคนจะเล่นเพื่อพ่อหลวง เราจะทำเพื่อพระองค์ท่าน ยังคุยกับนักฟุตบอลอยู่เลยว่าพร้อมกันไหม ทุกคนบอกพร้อม เราอยากได้ 3 คะแนน จากออสเตรเลีย ตั้งใจจะทำเพื่อพระองค์ท่าน แม้ท่านไม่อยู่แล้ว แต่หน้าที่ของพวกเราคือการทำให้คนไทยมีความสุข เราอยากถวายชัยชนะแด่พระองค์”
“ตอนที่ทราบข่าว ทุกคนในบ้านร้องไห้กันหมด ทั้งลูกทั้งภรรยา เนื่องจากลูกสาวก็เรียนที่โรงเรียนจิตรลดา ปกติไปรับส่งทุกวันก็เห็นว่าพระองค์ท่านทรงเป็นเกษตรกรจริง ๆ มีทังวัว ทั้งควาย ที่ทรงเลี้ยง อยากทำความดีถวายพระองค์ท่านในทุก ๆ วันของเรา ซึ่งช่วงเวลานี้ผมและครอบครัวพยายามเดินทางมาส่งเสด็จที่งานทุกวัน”
“สมัยเป็นนักกีฬาเคยรับใช้พระองค์ท่านในฐานะทีมชาติ ครั้งตอนไปแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ พระองค์ท่านมีพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เข้าพบ แต่ไม่กล้ามองพระองค์โดยตรง ได้แต่แอบมอง ซึ่งพระองค์ท่านได้ทรงรับสั่งเรื่องความมีน้ำใจนักกีฬา ไปแข่งขันเราไม่ได้เน้นผล แต่มิตรภาพสำคัญที่สุด วันนั้นคิดว่าได้เข้าเฝ้าฯ ก็เป็นบุญยิ่งกว่าได้เหรียญทองเสียอีก”
“เอาตามตรง ผมรับใช้ทีมชาติไทยในฐานะนักกีฬามา 15 ปี จากนั้นก็เป็นผู้ฝึกสอน รวม ๆ แล้วน่าจะกว่า 20 ปี ยอมรับตามตรงไม่ทราบเหมือนกันว่าท่านทรงทอดพระเนตรทุกการแข่งขัน ทราบตอนรายการ เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ ครั้งล่าสุด ตอนนั้นนัดชิงชนะเลิศแข่งแบบเหย้า - เยือน นัดแรกเล่นในบ้านเรา เอาชนะ มาเลเซีย 2-0 นัดที่ 2 เล่นที่บ้านเขา ครึ่งแรกก็โดนนำไป 2-0 แล้ว ช่วงพักครึ่งพระองค์ทรงเมตตามอบหมายราชเลขาส่งข้อความมา ซึ่งผมเองก็อยู่ในห้องพักนักกีฬา น้อง ๆ นักฟุตบอลต่างปลาบปลื้มเป็นอันมากที่ทราบว่าท่านทรงติดตามพวกเรา ข้อความนั้นบอกว่า “เราดูอยู่นะ” นาทีนั้นตื้นตันและปลื้มปีติมาก ขนลุกเลย ก่อนที่จะกลับมายิง 2 ประตูคืนในครึ่งหลัง เราแพ้ 2-3 แต่สกอร์รวมแล้วชนะ ทำให้ทีมชาติไทยได้แชมป์ที่ยิ่งใหญ่มาก”
“ผมระลึกถึงบุญคุณพระองค์ท่านเป็นอย่างมาก เพราะครอบครัวเราเป็นข้าราชการ ทั้งคุณพ่อและคุณแม่ ตัวผมเองก็เคยรับราชการเป็นตำรวจ แม้จะลาออกมาทำงานด้านฟุตบอลเต็มตัว ทว่า ก็ยังรับใช้ชาติในฐานะผู้ฝึกสอน สิ่งหนึ่งก็เพื่อทดแทนแผ่นดิน เป็นการทำงานถวายอีกด้านเช่นกัน ที่ผ่านมา พยายามปลูกฝังความรัก เทิดทูนพระเจ้าแผ่นดินให้กับนักฟุตบอลรุ่นน้อง ๆ เห็นได้ชัดว่าในงานถวายอาลัยพระองค์ท่านจะมีนักฟุตบอลทีมชาติ และไม่ใช่ทีมชาติหลาย ๆ คนสลับสับเปลี่ยนกันมาช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ ก็ต้องขอบคุณน้อง ๆ ด้วย”
สำหรับทีมฟุตบอลทีมชาติไทย จะลงสนามในฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย ด้วยการเปิดสนามราชมังคลากีฬาสถาน ต้อนรับการมาเยือนของ ออสเตรเลีย ในวันอังคารที่ 15 พฤศจิกายนนี้
ขณะที่ประชาชนชาวไทยต่างเดินทางมุ่งหน้าสู่พระบรมมหาราชวัง และท้องสนามหลวง เพื่อถวายอาลัยแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดย นายเกียรติศักดิ์ เสนาเมือง หรือ “ซิโก้” หัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมฟุตบอลทีมชาติไทย พร้อมด้วยภรรยา และบุตรสาว ต่างก็เดินทางมาในฐานะประชาชนที่รักต่อพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ ๙ แห่งราชวงศ์จักรี
ทั้งนี้ นายเกียรติศักดิ์ กล่าวถึงการเดินทางมาถวายอาลัยครั้งนี้ ว่า “พวกเราทำงานถวายพระองค์ท่านมาโดยตลอด ภารกิจของเรายังไม่เสร็จ ขอให้พระองค์ท่านทรงมองดูพวกเราอยู่ สำหรับนัดเปิดบ้านเจอกับ ออสเตรเลีย ในวันที่ 15 พฤศจิกายนนี้ ผมเชื่อว่า นักฟุตบอลทุกคนจะเล่นเพื่อพ่อหลวง เราจะทำเพื่อพระองค์ท่าน ยังคุยกับนักฟุตบอลอยู่เลยว่าพร้อมกันไหม ทุกคนบอกพร้อม เราอยากได้ 3 คะแนน จากออสเตรเลีย ตั้งใจจะทำเพื่อพระองค์ท่าน แม้ท่านไม่อยู่แล้ว แต่หน้าที่ของพวกเราคือการทำให้คนไทยมีความสุข เราอยากถวายชัยชนะแด่พระองค์”
“ตอนที่ทราบข่าว ทุกคนในบ้านร้องไห้กันหมด ทั้งลูกทั้งภรรยา เนื่องจากลูกสาวก็เรียนที่โรงเรียนจิตรลดา ปกติไปรับส่งทุกวันก็เห็นว่าพระองค์ท่านทรงเป็นเกษตรกรจริง ๆ มีทังวัว ทั้งควาย ที่ทรงเลี้ยง อยากทำความดีถวายพระองค์ท่านในทุก ๆ วันของเรา ซึ่งช่วงเวลานี้ผมและครอบครัวพยายามเดินทางมาส่งเสด็จที่งานทุกวัน”
“สมัยเป็นนักกีฬาเคยรับใช้พระองค์ท่านในฐานะทีมชาติ ครั้งตอนไปแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ พระองค์ท่านมีพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เข้าพบ แต่ไม่กล้ามองพระองค์โดยตรง ได้แต่แอบมอง ซึ่งพระองค์ท่านได้ทรงรับสั่งเรื่องความมีน้ำใจนักกีฬา ไปแข่งขันเราไม่ได้เน้นผล แต่มิตรภาพสำคัญที่สุด วันนั้นคิดว่าได้เข้าเฝ้าฯ ก็เป็นบุญยิ่งกว่าได้เหรียญทองเสียอีก”
“เอาตามตรง ผมรับใช้ทีมชาติไทยในฐานะนักกีฬามา 15 ปี จากนั้นก็เป็นผู้ฝึกสอน รวม ๆ แล้วน่าจะกว่า 20 ปี ยอมรับตามตรงไม่ทราบเหมือนกันว่าท่านทรงทอดพระเนตรทุกการแข่งขัน ทราบตอนรายการ เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ ครั้งล่าสุด ตอนนั้นนัดชิงชนะเลิศแข่งแบบเหย้า - เยือน นัดแรกเล่นในบ้านเรา เอาชนะ มาเลเซีย 2-0 นัดที่ 2 เล่นที่บ้านเขา ครึ่งแรกก็โดนนำไป 2-0 แล้ว ช่วงพักครึ่งพระองค์ทรงเมตตามอบหมายราชเลขาส่งข้อความมา ซึ่งผมเองก็อยู่ในห้องพักนักกีฬา น้อง ๆ นักฟุตบอลต่างปลาบปลื้มเป็นอันมากที่ทราบว่าท่านทรงติดตามพวกเรา ข้อความนั้นบอกว่า “เราดูอยู่นะ” นาทีนั้นตื้นตันและปลื้มปีติมาก ขนลุกเลย ก่อนที่จะกลับมายิง 2 ประตูคืนในครึ่งหลัง เราแพ้ 2-3 แต่สกอร์รวมแล้วชนะ ทำให้ทีมชาติไทยได้แชมป์ที่ยิ่งใหญ่มาก”
“ผมระลึกถึงบุญคุณพระองค์ท่านเป็นอย่างมาก เพราะครอบครัวเราเป็นข้าราชการ ทั้งคุณพ่อและคุณแม่ ตัวผมเองก็เคยรับราชการเป็นตำรวจ แม้จะลาออกมาทำงานด้านฟุตบอลเต็มตัว ทว่า ก็ยังรับใช้ชาติในฐานะผู้ฝึกสอน สิ่งหนึ่งก็เพื่อทดแทนแผ่นดิน เป็นการทำงานถวายอีกด้านเช่นกัน ที่ผ่านมา พยายามปลูกฝังความรัก เทิดทูนพระเจ้าแผ่นดินให้กับนักฟุตบอลรุ่นน้อง ๆ เห็นได้ชัดว่าในงานถวายอาลัยพระองค์ท่านจะมีนักฟุตบอลทีมชาติ และไม่ใช่ทีมชาติหลาย ๆ คนสลับสับเปลี่ยนกันมาช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ ก็ต้องขอบคุณน้อง ๆ ด้วย”
สำหรับทีมฟุตบอลทีมชาติไทย จะลงสนามในฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย ด้วยการเปิดสนามราชมังคลากีฬาสถาน ต้อนรับการมาเยือนของ ออสเตรเลีย ในวันอังคารที่ 15 พฤศจิกายนนี้