“สมรักษ์ คำสิงห์” เผย เหตุการณ์สุดประทับใจหลังคว้าเหรียญทองโอลิมปิกเมื่อ 20 ปีที่แล้ว บอกในหลวงทรงโทร.มาให้โทร.กลับ แต่ตนไม่กล้า เผย พระองค์ทรงตรัส ทั้งเชียร์ ทั้งลุ้น ถึงขนาดกระโดดโลดเต้นหลังตนเองชกชนะ รับร้องไห้ดีใจในหลวงเก็บเหรียญไว้และภูมิใจที่ทำให้พระองค์มีความสุข
เป็นอีกหนึ่งคนที่ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช อย่างใกล้ชิดสำหรับอดีตนักมวยชื่อดัง “สมรักษ์ คำสิงห์” เจ้าของเหรียญทองกีฬาโอลิมปิกคนแรกของประเทศไทย ซึ่งเจ้าตัวได้ย้อนรำลึกไปถึงเหตุการณ์ที่ตนเองจะไม่มีวันลืมไปชั่วชีวิตกับการขึ้นชกมวยสากลสมัครเล่นในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเมื่อ 20 ปีที่แล้วผ่านช่อง “Super บันเทิง” โดยระบุว่า...
“วันที่ 4 สิงหา 2539 เป็นวันชิงโอลิมปิกที่ แอตแลนตา เช้าขึ้นมาก็จะนอนในห้องคนเดียว ห้ามใครเข้ามาในห้อง ห้ามใครรบกวน ก็ขังผมไว้ในห้องคนเดียว มันก็จะเป็นความสับสน ความตื่นเต้น ที่เดี๋ยวนอนบ้าง เดี๋ยวเดินบ้างทั้งวัน เมื่อไหร่จะชก เมื่อไหร่จะถึงเวลา อะไรอย่างนี้”
“กระวนกระวายไปหมดนะครับ ก็พอใกล้เวลาก็จะไปไหว้พระ ก็สั่นเหงื่อเต็มมือ ไหว้ไปแล้วก็มี พระบรมฉายาลักษณ์ รูปในหลวงตั้งอยู่บนหิ้งพระ ก็สั่น ก็จับรูปพระบรมฉายาลักษณ์ออกมาเลย จับก็อบอุ่น มั่นใจ แล้วก็จับพระบรมรูปนั้นเดินออกจากห้องพักนักมวย ขึ้นรถบัสไปจากหมู่บ้านนักกีฬา ก็ไปถึงเวทีมวย”
“ก็เข้าห้องพักแล้วก็วางพระบรมฉายาลักษณ์อยู่ที่นอนในห้องแต่งตัวนักมวย แล้วก็นอนนวดน้ำมัน แต่งตัวเสร็จพอถึงเวลาชกก็ไปไหว้แล้วก็กำ จับพระบรมฉายาลักษณ์เดินขึ้นเวทีไปด้วย พอไปถึงเวทีก็เอาไปตั้งไว้ที่มุม และก็ขอพรในหลวง”
เผยขอพร “ในหลวง” ทุกครั้งที่ขึ้นชก พร้อมตั้งใจหากชนะจะนำเหรียญทองไปถวาย
“คือ เวลาผมชกมวย ก่อนขึ้นเวทีนี่ผมก้มกราบเวทีผมจะบอกว่า ด้วยพระบารมีปกเกล้าในหลวงครับวันนี้ขอผมชนะนะครับ ทุกครั้งตั้งแต่เด็กแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการชกมวยไทย ก็จะพูดคำนี้ตลอด แล้วก็ขึ้นไปชกพอชกชนะนี่ก็นึกถึงในหลวง เพราะว่าตั้งใจไว้ว่า จะนำเหรียญทองไปถวายในหลวง”
“ปีนั้นรู้สึกจะเป็นปีฉลอง 50 ปี ในการขึ้นครองราชย์ของในหลวง ก็จะเอาเหรียญทองเป็นตัวแทนของคนไทยถวายในหลวง ก็ได้จริง ๆ พอได้ก็ชนะเสร็จก็ไปจับพระบรมฉายาลักษณ์มาชูมือด้วย เพราะว่าตรงนี้ก็กลายเป็นที่มาของนักกีฬา ไม่ว่านักฟุตบอล นักวอลเลย์บอล”
“นักกีฬาไทยแต่ละครั้ง จะทำการแข่งขัน หรือเป็นนักมวย แชมป์โลกมวยไทย ก่อนจะทำการแข่งขันจะถือพระบรมฉายาลักษณ์ในหลวงนำหน้าตลอด ซึ่งจะมีเฉพาะประเทศเราเท่านั้น เมืองนอกนี่ไม่มี ก็จะบ่งบอกถึงว่าพระองค์ท่านเป็นศูนย์รวมใจ เป็นพลังสำคัญ เป็นกำลังใจที่ยิ่งใหญ่สำหรับนักกีฬา”
“ในการที่แต่ละคนทุกวันนี้จะเป็นถือพระบรมฉายาลักษณ์นำหน้าเลย ตอนชกเสร็จแล้ว พอผมได้เหรียญทอง ก็มีความวุ่นวายในด้านล่างเวที นักข่าวถ่ายรูป คนรุม แล้วก็แพทย์ก็มาเอาผมไปตรวจโด๊ป ตรวจหาสารกระตุ้นในห้องแพทย์ นานประมาณสัก 2 ชั่วโมง ผมอยู่ในห้องแพทย์ ห้ามผมออกไปไหน”
ในหลวงโทร.มาไม่กล้าโทร.กลับ!...“พอผมตรวจโด๊ปเสร็จ ผมเดินออกจากห้องก็มีเจ้าหน้าที่จากสถานทูตไทยมาบอกว่า คุณสมรักษ์เมื่อกี้ในหลวงโทร.มาจะคุยกับสมรักษ์ ให้คุณสมรักษ์โทร.กลับด่วน โทร.เบอร์ส่วนพระองค์อะไรอย่างงี้ ผมบอกผมไม่กล้า ไม่กล้าโทร.”
ในหลวงทรงตรัส ทั้งเชียร์ ทั้งลุ้น ถึงขนาดกระโดดโลดเต้นหลังตนเองชกชนะ...
“พอได้มีโอกาสมาเข้าเฝ้าฯ ก่อนเข้าเฝ้าฯ ก็จะมีการฝึกซ้อมคำราชาศัพท์ ท่านั่งการนั่ง พระองค์จะนั่งตรงนี้ สมรักษ์จะนั่งตรงนี้ จากเจ้าหน้าที่ในวัง แล้วก็ฝึกซ้อมคำราชาศัพท์ ข้าพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้า อะไรอย่างนี้จะท่องกัน เวลาพระองค์ถามมาจะตอบยังไง ก็ลงท้ายด้วยพระพุทธเจ้าข้า กับพระเจ้าข้า อยู่อย่างนี้ ก็จะสั่นมาก”
“แต่พอได้เข้าจริง ๆ พระองค์ท่านก็ยิ้มแย้มแจ่มใส แบบว่าอบอุ่น มีความรู้สึกอบอุ่น ก็เหมือนกับพ่อคุยกับลูก พระองค์ก็นั่ง ผมก็นั่งพับเพียบอยู่ข้างล่าง พระองค์ก็บอกว่า วันนั้นเราดูที่วังไกลกังวล ดูสมรักษ์ชก เห็นสมรักษ์ถือรูปเราขึ้นไปบนเวที เรานึกว่าเราชกเอง”
“แล้วก็ลุ้นสมรักษ์ ตื่นเต้น พอสมรักษ์ชนะ เราก็เผลอตัวกระโดดโลดเต้นดีใจ จนข้าราชการผู้ใหญ่หัวเราะเรา เราก็เลยรู้สึกอายเราก็เลยค่อย ๆ นั่งลง ประมาณนี้ ซึ่งพระองค์ก็มีความสุขในการเล่า แล้วใบหน้าพระองค์จะยิ้ม พูดไปช้า ๆ แล้วก็ยิ้ม”
“แล้วผมก็เลยถาม ข้าพระพุทธเจ้าค่ะ กระผมสมควรจะชกต่อหรือไม่อะไรอย่างนี้ พระองค์ท่านก็บอกว่าอยู่ที่สมรักษ์นะ ถ้าสมรักษ์คิดว่าตัวเองยังไหว ชกต่อได้ก็ชก ถ้าคิดว่าตัวเองไม่ไหว ก็ให้มาฝึกน้อง ๆ และก็เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเยาวชน สมรักษ์ก็ตัดสินใจเอง”
สุดตื้นตันในหลวงเก็บเหรียญทองไว้และเป็นหนึ่งในคนที่ทำเรื่องให้พระองค์ท่านทรงดีใจในรอบปี...“ก็คือ พระองค์ท่านก็เก็บเหรียญผมไว้ แล้วก็ 4 ปีต่อมา ผมก็ไปต่อยที่ซิดนีย์ ตอนนั้นผมแพ้ไม่ได้เหรียญกลับ แต่ว่าผมก็ยังมีโอกาสได้เข้าเฝ้าฯพระองค์ท่าน ก็มี วิจารณ์ พลฤทธิ์ ก็ได้เหรียญทองกลับมา ก็เอาไปถวายให้กับในหลวง”
“พระองค์ท่านก็ชื่นชม ดูเหรียญดูแล้วก็เลยยื่น ตอนนั้นผมนั่งอยู่หน้า ๆ พระองค์ท่านก็ยื่นเก็บไว้เถอะ ของเรามีแล้ว เหรียญทองของเรามีแล้ว ผมร้องไห้เลยนะครับตอนนั้น ก็คือ ทุกคนมอบ ท่านก็คล้องกลับ ก็เท่ากับมีเหรียญผมเป็นเหรียญแรก”
“ในปี 2539 วันที่ 5 ธันวา ซึ่งเป็นวันเกิดท่าน ท่านมาพูดออกทีวี ผมนอนอยู่ ผมนอนดูทีวีในห้อง ท่านก็พูดในปีที่ผ่านมา เรามีเรื่องดีใจอยู่ 3 เรื่องใหญ่ ๆ เรื่องแรกพระราชาองค์ไหนก็ไม่รู้มาเยี่ยมประเทศไทย เรื่องที่ 2 ก็ราชาองค์ไหนก็ไม่รู้มาเยี่ยมประเทศไทย”
“แต่เรื่องสุดท้าย คือ สมรักษ์ คำสิงห์ ได้เหรียญทองโอลิมปิกเหรียญแรก ผมก็ร้องไห้...”