ประจวบคีรีขันธ์ - “ครูส้ม” ครูผู้ช่วยสอนดนตรีสากลโรงเรียนรัชตวิทยาคม อดีตนักเรียนรายการศึกษาทัศน์ โรงเรียนวังไกลกังวล ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เคยสอน ถ่ายทอดความประทับใจเมื่อครั้งเข้าเฝ้าฯ ทรงมีพระอรรถาธิบายที่เข้าใจง่าย น่าสนใจ และทรงมีพระอารมณ์ขัน
วันนี้ (17 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวได้เดินทางเข้าพบ “ครูส้ม” หรือ น.ส.ทิพย์วรรณ ศุภกิจถาวร อายุ 29 ปี ปัจจุบันประกอบอาชีพในตำแหน่งครูผู้ช่วยสอนดนตรีสากลโรงเรียนรัชตวิทยาคม ตำบลเขาน้อย อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เมื่อครั้งเรียนอยู่ระดับมัธยมปีที่ 2 โรงเรียนวังไกลกังวล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ “ครูส้ม” หรือ ด.ญ.ทิพย์วรรณ และเพื่อนๆ ในขณะนั้นได้รับเลือกให้เข้าร่วมรายการศึกษาทัศน์ ซึ่งเป็นรายการของมูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม ซึ่งรูปแบบรายการจะพานักเรียนไปศึกษาเรียนรู้เรื่องต่างๆ รอบตัว และได้มีโอกาสเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช หลายครั้ง
“ครูส้ม” หรือ น.ส.ทิพย์วรรณ ศุภกิจถาวร เล่าถึงความประทับใจที่ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ว่า ตนและเพื่อนอีก 3-4 คนถูกคัดเลือกให้เป็นนักเรียนในรายการศึกษาทัศน์ ของมูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม เคยได้มีโอกาสเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช หลายครั้งจากการทำรายการศึกษาทัศน์ ซึ่งเมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จแปรพระราชฐาน ณ วังไกลกังวล มีการเสด็จพระราชดำเนินไปตามโครงการพระราชดำริต่างๆ ในพื้นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และจังหวัดเพชรบุรี และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เป็นครูให้ความรู้แก่นักเรียนรายการศึกษาทัศน์ และนักเรียนปลายทาง ทั้งโครงการฝนหลวง ที่ท่าอากาศยานหัวหิน โครงการศึกษาวิจัยและพัฒนาสิ่งแวดล้อมแหลมผักเบี้ยอันเนื่องมาจากพระราชดำริจังหวัดเพชรบุรี และวนอุทยานปราณบุรี อำเภอปราณบุรี ตลอดจนโครงการอ่างเก็บน้ำเขาเต่า อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นต้น
ความรู้สึกของตน และเพื่อนครั้งแรกเมื่อทราบว่าจะได้เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ต่างตื่นเต้นกันมาก เพราะไม่คาดคิดมาก่อน มีการเตรียมตัวอยู่หลายวัน มีการซักซ้อมเรื่องมารยาทไทย การใช้คำราชาศัพท์ และหาข้อมูลเบื้องต้นก่อน ซึ่งก็ยอมรับว่าเป็นเรื่องที่ยากสำหรับตนเอง ณ ขณะนั้น แต่เมื่อได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯ ตอนแรกกลัวไม่กล้ามองพระพักตร์ แต่พอได้เห็นพระองค์ท่าน พระองค์มีพระราชดำรัสกับนักเรียน ความเรียบง่ายไม่ถือพระองค์ และพระอารมณ์ขัน ทำให้ความรู้สึกของตน และเพื่อนๆ เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
“พระองค์ทรงมีเมตตาแก่เด็กๆ ทรงเป็นแบบอย่างที่ดี เป็นครูที่ดี สอนเรื่องยากๆ ให้เข้าใจง่าย น่าสนใจ สอนให้เราเรียนรู้ที่จะรัก และหวงแหนในสิ่งรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นดิน น้ำ ป่าไม้ วัฒนธรรม ซึ่งเป็นเรื่องที่เรามองข้ามกันไป ทำให้มีความรู้สึกว่าพระองค์เป็นพ่อคนหนึ่ง เวลาได้เรียนกับพระองค์ท่านก็เหมือนพ่อสอนลูก เวลาสอนพระองค์ท่านจะทรงสอดแทรกเรื่องการใช้ชีวิตต่างๆ ทำให้ไม่น่าเบื่อเวลาเรียน”
“ในวันที่ทราบข่าวว่าพระองค์ท่านสวรรคต แม้เตรียมทำใจบ้างแล้ว แต่ก็ไม่สามารถกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้ ยังร้องให้อย่างหนัก เชื่อว่าคนไทยทุกคนก็รู้สึกแบบนี้เช่นเดียวกัน”
ครูส้ม เล่าต่อว่า นอกจากเหนือจากทรงสอนเรื่องการเรียน เช่น การต้องฟังให้เข้าใจ พอเข้าใจแล้วจึงค่อยจดไว้ทบทวนความรู้แล้ว ยังทรงสอนเรื่องการใช้ชีวิต เช่น ทุกอย่างเกิดจากลงมือทำ และทรงมีพระอารมณ์ขัน เช่น ครั้งหนึ่งทรงเล่าเรื่องสุนัขทองแดงให้นักเรียนฟัง ทรงมีพระอรรถาธิบายว่า ให้เรียก “ทองแดง” ไม่ให้เรียก “คุณทองแดง” ซึ่งทองแดงเป็นสุนัขเทศ ในตอนนั้นตน และเพื่อนต่างจินตนาการถึงสุนัขทรงเลี้ยงของในหลวงว่าจะต้องเป็นสุนัขพันธุ์ต่างประเทศ ตัวใหญ่ สวยงาม จนกระทั่งพระองค์ท่านได้นำพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์ท่านกับสุนัขทรงเลี้ยงมาให้นักเรียนดู ทุกคนจึงเห็นว่าเป็นสุนัขไทยลักษณะธรรมดาตามท้องถนน
“พระองค์ทรงเล่าว่า ที่บอกว่าเป็นสุนัขเทศก็คือ เป็นสุนัขเทศบาลที่ตามมาอยู่ในวัง รวมถึงเรื่องปลาทอง ตอนที่ทรงสอนเรื่องน้ำ มีการนำปลาทอง ซึ่งเป็นสัตว์ที่อ่อนไหวต่อสภาพน้ำมาเป็นตัวอย่าง ขณะที่ทรงอรรถาธิบาย ปลาทองก็เริ่มมีอาการไม่ดี พระองค์ท่านก็ทรงมีรับสั่งให้จัดทีมช่วยชีวิตปลาทองโดยด่วน ทำให้นักเรียนหลุดขำออกมา น่าแปลกที่พระองค์ท่านไม่ได้มีอาชีพเป็นครู แต่สามารถให้ความรู้ได้เป็นอย่างดี ไม่รู้สึกเบื่อเลยแม้ว่าจะใช้เวลานานก็ตาม ซึ่งนอกจากจะทรงมีพระอารมณ์ขันแล้ว ยังทรงสะท้อนว่า พระองค์ท่านทรงมีความห่วงใยต่อทุกชีวิตไม่ว่าจะเป็นสัตว์เล็ก ใหญ่ ประชาชนทุกหมู่เหล่า” ครูส้ม กล่าว
พร้อมกับเล่าต่อว่า ก่อนจะเสด็จพระราชดำเนินกลับ พระองค์ทรงหยิบกล้องถ่ายรูปมาถ่ายภาพนักเรียน และเจ้าหน้าที่รายการศึกษาทัศน์ในวันนั้นไว้ และรับสั่งว่า “เราจะจำได้” ซึ่งสร้างความปลื้มปีติ และความประทับใจให้แก่ตน และเพื่อนๆ เป็นอย่างมาก
“จากนี้ไปตนตั้งปณิธานที่จะดำเนินชีวิตตามคำสอนของพระองค์ท่าน โดยเฉพาะเรื่องความเป็นครูที่จะต้องสอนให้นักเรียนเป็นคนดีของสังคม รู้จักความเสียสละ มีความรัก ความสามัคคีกันต่อไป” ครูส้ม กล่าวทิ้งท้าย