“อี๊ด วงฟลาย” ขอเดินตามรอยพ่อของแผ่นดิน เปิดใจถึงการไปเป็นจิตอาสาร่วมกับดาราอีกหลายคนในการลงไปช่วยเหลือและให้กำลังใจทหารและพี่น้องที่สามจังหวัดชายแดนใต้ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา เผยไม่อยากให้พี่น้องชายแดนใต้รู้สึกว่าถูกทอดทิ้งเพราะไม่มีใครกล้าไป สุดภูมิใจได้รับหน้าที่ยิ่งใหญ่กับการเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ให้กับโรงเรียนพระดาบส โรงเรียนของพระเจ้าอยู่หัว ที่เปลี่ยนชีวิตเยาวชนมากมายให้มีอนาคตที่ดีขึ้น เจ้าตัวลั่นยินดีทำทุกอย่างที่เป็นงานของในหลวง ถ้าวันข้างหน้าต้องตายก็ไม่เสียดายชีวิต
ภาพที่เห็นอีกมุมหนึ่งของนักร้องร็อกเกอร์ชื่อดัง “อี๊ด วงฟลาย” สำราญ ช่วยจำแนก คือการเป็นจิตอาสาลงไปให้กำลังใจพี่น้องสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งในส่วนของทหารและเยาวชน ทำเงียบๆ กับกลุ่มเพื่อนศิลปินดาราในวงการบันเทิงที่มีอุดมการณ์เดียวกันมานานหลายปี และอีกสิ่งหนึ่งที่เห็นมาโดยตลอด นั่นก็คือการที่เจ้าตัวอาสาเข้าไปมีส่วนร่วมในงานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมหรือโครงการใดๆ ที่เป็นการช่วยเหลือประชาชน “อี๊ด วงฟลาย” จะยินดีทำทุกครั้งที่มีโอกาสแบบไม่ลังเล ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ทำเพื่อประชาชน โดยเจ้าตัวเผยว่า เป็นความภาคภูมิใจที่ได้แบ่งเบาภาระของพระองค์ท่านในฐานะลูกคนหนึ่ง ถ้าวันข้างหน้าต้องตายก็ไม่เสียดายชีวิตเพราะเกิดมาชาตินี้ได้ทำประโยชน์เพื่อคนอื่นแล้ว
เปิดรายชื่อคนบันเทิงที่หัวใจเดียวกัน มีทั้ง “ฝันดี-ฝันเด่น-เหมี่ยว ปวันรัตน์-ต่าย เพ็ญพักตร์”
“งานที่ลงไปที่ใต้งานแรกคือไปนราธิวาส ไปช่วยเยาวชนเป็นงานของทหารเรือ ซึ่งหลายปีแล้ว ก็ทำต่อเนื่องมาเรื่อยๆ ปีไหนติดภารกิจก็ไม่ได้ไป แต่เราต่อมือให้เพื่อนศิลปินใครสะดวกตอนไหนก็ไปแทนกัน เป็นกิจกรรมที่ไปทำให้เยาวชนที่อยู่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ใกล้ชิดพวกเรา คือต้องบอกว่าในความคิดเขาจะรู้สึกว่าศิลปินดาราอยู่ห่างไกลเขาโอกาสที่จะได้เจอค่อนข้างยาก กิจกรรมมวลชนที่พวกเราไปทำให้เกิดความสัมพันธ์ไม่ว่าจะเป็นการปลูกต้นไม้ร่วมกัน ตอนกลางคืนก็มีการเล่นดนตรีให้น้องๆ มีส่วนร่วมกับเรา ครั้งแรกมี ฝันดี-ฝันเด่น, น้องๆ บุดดา เบลส และ หยวน นิธิชัย ครั้งนั้นทหารเรือเป็นคนอำนวยความสะดวกต่างๆ ให้พวกเรา นอกจากไปทำกิจกรรมร่วมกับเยาวชนแล้ว บางครั้งพวกเราก็ไปเยี่ยมทหารที่อยู่ตามจังหวัดยะลา ปัตตานี และนราธิวาส ในฐานะศิลปินและไปร่วมกับสื่อด้วยนะ บางทีเราก็มีโอกาสได้พบกับผู้ใหญ่ทางมุสลิมด้วย แล้วก็จะมี พี่ต่าย เพ็ญพักตร์ และ พี่เหมี่ยว ปวันรัตน์ ก็ไป พวกเราจะมีกลุ่มของพวกเราที่ต่อมือกันไปทำ”
“ถ้าถามถึงความรู้สึกที่ได้ไปทำครั้งแรก ผมไม่ได้มีความลำบากใจเพราะว่าผมเป็นคนปัตตานี ผมเกิดที่นั่น ผมเข้าใจอัตลักษณ์ของคนที่นั่นดี ซึ่งอัตลักษณ์ของเขา จริงๆ แล้วความไว้วางใจเป็นสิ่งสำคัญที่สุด แต่เขาไม่ไว้ใจมากกว่า เพราะถ้าเขาไว้ใจแล้วมันก็จะง่ายในการทำอะไรร่วมกัน จริงๆ คนที่นั่นเขาอยากให้เกิดความสงบอยู่แล้วล่ะ แต่ทุกวันนี้น่าจะดีขึ้น หลายสิ่งหลายอย่างดีขึ้นจากงานทำงานของหลายๆ ส่วนที่เข้าไป ทั้งในส่วนของรัฐบาลหรือหน่วยงานต่างๆ ที่เข้าไปทำให้ทุกอย่างดีขึ้นเยอะเลย แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องเชื่อมมวลชน วัยรุ่น เยาวชน และนักศึกษาที่นั่นให้เขารู้สึกปลอดภัย ไม่ให้เขารู้สึกว่าถูกทอดทิ้ง ไม่ใช่ว่าสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ถูกทอดทิ้งไปแล้วไม่มีใครกล้าไป เขาเลยไม่ชอบงานข่าวที่ออกไปแต่ละครั้งว่าตอนนี้ใต้ระเบิดตรงนั้นตรงนี้อีกแล้ว เขาไม่ชอบเลย เหมือนกับว่าเวลามีข่าวออกไปแบบนี้มากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้เขาถูกแยกความห่างไกลมากขึ้นจนถูกทิ้งให้โดดเดี่ยวต้องเผชิญอยู่กับอะไรก็ไม่รู้”
“การไปให้กำลังใจทหารที่โรงพยาบาลก็เป็นส่วนนึงที่เราไปทำกัน เราไปให้กำลังใจเยาวชนแล้วเราก็จะขอให้ทหารพาไปเจอพี่ๆ ทหารในพื้นที่และที่โรงพยาบาลด้วย บางคนต้องบาดเจ็บและพิการจากการทำหน้าที่รักษาความสงบในบ้านเมือง ผมเชื่อว่ากำลังใจเป็นสิ่งสำคัญ การได้เห็นหน้ากันได้เห็นว่าพวกเราไปเยี่ยมไปเจอแค่นี้ความรู้สึกก็เชื่อมโยงกันแล้ว มันก็บอกหลายสิ่งหลายอย่างแล้วว่าสิ่งที่ทำไปมีคนเห็นความสำคัญนะ แค่นี้พี่เขาก็ดีใจแล้ว มีกำลังใจขึ้นมามากมายแล้ว อย่างบางคนที่พิการจริงๆ แล้วเขาภูมิใจนะ เพราะเขาถือเป็นหน้าที่ มีหลายคนที่ผมถาม เขาบอกว่าถ้าเขาหายเขาจะกลับไปทำหน้าที่ที่นั่นอีก เพราะเขาภูมิใจที่เกิดมาครั้งนึงในชีวิตได้ปกป้องประเทศชาติตามหน้าที่ตามอาชีพที่เขาได้เลือกมานั่นก็คือการเป็นทหาร สิ่งที่เขาสูญเสียไปไม่ได้ทำให้เขาเปลี่ยนใจเลยคิดดูสิ เขาคิดแบบนั้นน่ะ เราจะมองในมุมเราว่าเขาคงเข็ด คงกลัว คงไม่กลับไปแล้ว แต่จริงๆ ไม่เลย เขาภูมิในในหน้าที่นี้มาก”
รับหน้าที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต นั่นก็คือการเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ให้กับโรงเรียนพระดาบส โรงเรียนของพระเจ้าอยู่หัว
“หลักๆ พวกเราจะไปสามจังหวัดชายแดนใต้ มาช่วงหลังๆ ที่ผมได้ไปกับหน่วยงานของพระเจ้าอยู่หัวด้วย นั่นก็คือการไปดูแลโรงเรียนพระดาบส ผมเป็นคล้ายๆ แบรนด์แอมบาสเดอร์ช่วยประชาสัมพันธ์ให้กับมูลนิธิพระดาบส ซึ่งโรงเรียนพระดาบสได้ไปเปิดสาขาที่จังหวัดยะลา และได้รับนักศึกษาที่เป็นเยาวชนที่นั่น ซึ่งอยู่ในช่วงล่อแหลมของพวกเขา ในช่วงที่พวกเขาไม่ได้เรียนต่อ ซึ่งเกิดจากความยากจนอะไรก็ตาม โรงเรียนพระดาบสของพระเจ้าอยู่หัวไปเปิดที่นั่นได้ช่วยเยาวชนได้เยอะมาก เด็กเยาวชนที่เคว้งคว้างอยู่มาเรียนที่นั่นโดยที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรเลย เรียนฟรีหมดเลย ใน 1 ปีจะมี 1 รุ่นและผลิตได้รุ่นละ 60 กว่าคน เรียน 1 ปีจบ โรงเรียนพระดาบสจะรับรองให้ทุกคนมีงานทำ พอเรียนจบก็มีงานทำ โดยมีการประสานงานหน่วยงานภาคเอกชนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นบริษัทอีซูซุหรือโตโยต้าที่อยู่ที่นั่นเอาเด็กพระดาบสไปทำงาน”
“พอเด็กมีงานทำมีรายได้เขาก็เริ่มมีคุณค่าในสังคม เขาเริ่มดูแลตัวเองได้ดูแลพ่อแม่ได้ โรงเรียนพระดาบสมีส่วนช่วยอย่างมาก(เน้นเสียง) พวกเราก็เลยช่วยกันสนับสนุนในการหารายได้เพื่อสร้างให้โรงเรียนพระดาบสมีอุปกรณ์การเรียนให้มากที่สุดและรับเด็กได้มากที่สุด เพราะหมายความว่าเราจะสามารถดึงมือเด็กที่อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อให้เขามีอนาคต อันนี้เป็นสิ่งสำคัญเลยที่โรงเรียนของพระเจ้าอยู่หัวได้ยื่นมือเข้าไปแก้ปัญหาตรงนั้น พอคนเรามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นมันก็เริ่มรักตัวเอง ผมว่าหลายๆ หน่วยงานต้องช่วยกันเพราะปัญหาที่เกิดขึ้นมันเป็นประเทศของเรา ไม่ใช่ต่างคนต่างอยู่อะไรที่เราสามารถยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือได้ไม่ว่าจะเป็นทางใดที่เป็นการแบ่งเบาหรือช่วยเสริมหรือช่วยแนะนำอะไรก็ได้ผมว่ามันเป็นประโยชน์ทั้งนั้นครับ”
“หน้าที่แบรนด์แอมบาสเดอร์ของโรงเรียนพระดาบส หลักๆ คือการประชาสัมพันธ์หารายได้เข้าโรงเรียน อย่างที่บอกตอนนี้โรงเรียนรับได้แค่ 60 กว่าคน ต่อ 1 ปี แต่ถ้าโรงเรียนเราใหญ่ขึ้น มีอุปกรณ์มากขึ้น เราสามารถรับได้มากนั้น แสดงว่าเราสามารถช่วยเยาวชนที่กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อได้มากขึ้นอีกเท่าไหร่ ซึ่งเด็กที่อยู่พื้นที่ใกล้เคียงสามารถเข้ามาเรียนได้หมด โดยคัดจากครอบครัวที่ยากจนไม่สามารถเรียนต่อได้ และมีความตั้งใจเรียนตามแนวทางพระเจ้าอยู่หัวที่กำหนดไว้”
“โรงเรียนพระดาบสไปช่วยพลิกชีวิตให้กับน้องๆ ที่นั่นเลย และพ่อแม่ของเด็กก็ไม่คาดคิดว่าลูกของเขาที่ไปเรียนอยู่ในโรงเรียนของพระเจ้าอยู่หัวแค่ 1 ปีแล้วจะพลิกเป็นอีกคนนึง กลับมาบ้านเป็นอีกคนนึง เขาพอใจ เขาภูมิใจ เขาร้องไห้ โรงเรียนของพระเจ้าอยู่หัวเปลี่ยนลูกเขาได้ภายใน 1 ปี และไม่ได้เปลี่ยนแค่อนาคตให้มีความรู้ให้มีงานทำแต่เปลี่ยนนิสัยใจคอ เปลี่ยนความคิด เปลี่ยนทุกอย่าง เปลี่ยนเขาให้เป็นคนดี ซึ่งมีโรงเรียนแม่อยู่ที่กรุงเทพ ซึ่งรับได้ปีละ 150 คน จริงๆ แล้วผมอยากให้มีอยู่ทั่วจังหวัดใหญ่ๆ ทั่วประเทศด้วยซ้ำเพราะช่วยเยาวชนได้มากจริงๆ เราในฐานะแบรนด์แอมบาสเดอร์ก็จะค่อยๆ ผลักดันกันไปครับ เพราะในแนวทางของพระเจ้าอยู่หัวจะไม่ไปขอเงินใคร เวลาเราไปพูดมันไม่ใช่เหมือนงานอื่นที่จะไปขอบริจาคไม่ได้ครับ นอกจากคุณมีความรู้สึกที่อยากช่วยจริงๆ แล้วยื่นมือเข้ามาช่วย เรามีหน้าที่บอกข่าวสาร แต่เราไปขอไม่ได้”
“นอกจากผมก็จะมีหยวน มีฝันดี-ฝันเด่น มีพี่เหมี่ยว ปวันรัตน์ และอีกหลายๆ คนที่เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ด้วยกัน ส่วนพี่ท็อป ดารณีนุช จะเป็นแม่ใหญ่ที่อยู่ข้างหลังเวลาเราต้องการอะไรที่เป็นสิ่งจำเป็นก็จะโทร.หาพี่ๆ เหล่านี้ว่าเราขาดอันนี้ๆ นะ พี่ๆ เหล่านี้ก็จะอยู่ข้างหลังและคอยจัดมาให้เรา แล้วก็มี เต๊ะ ศตวรรษ นี่คือกลุ่มของพวกเราที่เกาะกันตลอด พวกเราจะเข้าใจกัน ขอแค่บอกมา เราจะเชื่อใจกัน อย่างเช่น มีเสียงขอจากคนๆ นี้ต้องรีบจัดให้เลยกี่ชุดๆ เพราะว่าของทุกอย่างมันไปถึงที่และเป็นประโยชน์แน่นอน แต่ส่วนใหญ่น้องๆ ที่นั่นจะต้องการกำลังใจนะ ส่วนสิ่งของเป็นแค่บางอย่าง สิ่งสำคัญที่สุดเขาต้องการน้ำใจในการที่จะสื่อสารเข้าหากัน ใจจากพวกเราที่จะสวมกอดกันมากกว่า ให้เขารู้สึกว่ามีพี่ๆ ก็คือพวกเราอยู่นะ ทุกปีพี่ๆ จะไปหาเขานะ เวลาพวกเราไปหาน้องๆ ที่โรงเรียนพระดาบสส่วนใหญ่เราจะจัดข้างนอกไม่ได้จัดในโรงเรียน เราจะไปช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ ซึ่งเป็นวันหยุดเรียนของเขา ทหารเรือก็จะรวบรวมเด็กๆ ไว้ให้ เราก็จะทำกิจกรรมร่วมกัน แล้วเขาก็จะตั้งชื่อกิจกรรมว่ารวมใจไทยเป็นหนึ่ง”
ยินดีทำทุกอย่างที่เป็นงานของในหลวง ถ้าวันข้างหน้าต้องตายก็ไม่เสียดายชีวิต
“การที่ผมมาทำตรงนี้เหมือนเราได้ต่อยอดงานของพระองค์ท่านมากกว่า ท่านได้คิดไว้ ท่านได้วางโครงสร้างไว้ให้เรา สิ่งไหนที่เป็นประโยชน์เราก็ไปบอกกล่าวสิ่งนั้นออกไป เรามีหน้าที่บอกกล่าวก็เหมือนได้แบ่งเบาภาระท่านแล้วล่ะ เพราะว่าสมัยก่อนพระองค์ท่านคิดแล้วทำๆ ต้องเสด็จไปทำด้วยพระองค์เอง แต่ตอนนี้ท่านเสด็จไปไม่ได้ มีพวกเรานี่แหละที่ได้รู้จักงานของท่าน ได้รู้จักสิ่งที่ท่านคิด และเราก็ไปต่อยอดให้พระองค์ เป็นสิ่งที่ลูกคนนึงจะทำได้ ผมว่าถ้าคนไทยได้รู้ลึกซึ้งในสิ่งที่พระเจ้าอยู่หัวทำเกี่ยวกับประเทศชาติทั้งหมด เพราะเราก็ทราบดีว่าส่วนใหญ่ไม่ได้ทำอะไรเกี่ยวกับพระองค์เองเลย แต่ทำเพื่อประเทศชาติทั้งนั้น แล้วทุกสิ่งที่พระองค์ท่านทำ ถ้าได้ลงไปเรียนรู้จริงๆ เป็นสิ่งที่สำเร็จแล้วทั้งหมด รอแค่การต่อยอด แค่มารับแล้วส่งไปถึงชาวบ้านแค่นั้นเอง ประเทศเราพูดได้อย่างเต็มปากเลยว่าไม่ใช่แค่เหลือกินเหลือใช้ แต่มากกว่าเหลือกินเหลือใช้ด้วยซ้ำ”
“มันเป็นจิตอาสา เราไปโดยที่ไม่ได้เงิน ทุกอย่างมันอยู่ที่ใจ เรารู้สึกว่าเราได้ทำแล้วล่ะ อย่างน้อยเราเป็นประชาชนคนไทยที่ได้มีส่วนเล็กๆ เข้าไปทำอะไรที่นั่น ถึงมันจะไม่ใช่ส่วนใหญ่ แต่มันเป็นส่วนที่เราได้ทำแล้ว มันเป็นความภูมิใจตรงนี้ครับ เราไปถึงที่นั่น เราได้เจอน้องๆ เราได้ทำสิ่งที่เราสมควรทำกับน้องๆ มันก็เป็นความสุขกลับมาทุกครั้ง มันเป็นพลังกลับมาทุกครั้งว่า เออ…ดีที่ไป ไม่เสียใจที่ไป มันอิ่มใจทุกครั้ง เราจะสนุกจะอิ่มเอมทุกครั้ง กลุ่มของพวกเราจะไปใต้บ่อยมาก แล้วจุดประสงค์ของพวกเราไม่อยากบอกสื่อนะ เพราะบางครั้งมันทำให้ใจเราจากเต็มๆ ร้อยมันลดวูบลงไป เพราะสิ่งที่พวกเราได้ยินกลับมาคือไอ้พวกนี้มันสร้างภาพ มันลดทอดกำลังใจที่เต็มร้อยของพวกเราลงไป ทุกคนในกลุ่มจะทำงานกันแบบรู้เลย จะทำงานกันแบบไม่ขอหน้าตา ไม่ขอข่าวสาร ไปเงียบๆ อย่างฝันดี-ฝันเด่นเขาก็ทำในปัตตานี นราธิวาส และยะลา เยอะมากนะ ทุกอย่างมันอยู่ที่ใจ”
“ผมไม่คิดจะทิ้งนะ จะทำไปตลอด ถ้ามีโอกาสเราก็จะไปเรื่อยๆ สิ่งที่ผมได้กลับมาคือมันให้หน้าที่เรา การเกิดมาไม่ว่าคุณจะอยู่ในประเทศใดก็ตามในโลกนี้ เราได้ทำหน้าที่ของตัวเองหรือยัง มันเป็นความภูมิใจตรงนั้นว่าฉันได้ทำหน้าที่นั้นแล้วนะ นอกจากเป็นประชาชนที่ดีคนนึง เรายังได้มีส่วนร่วมในการช่วยเหลือสังคม ไม่ว่ามากหรือน้อยเราก็ได้ทำแล้ว มันคือความภูมิใจ ถ้าอยู่ๆ อีกไม่กี่วันข้างหน้าผมต้องตายก็ไม่เสียดายชีวิตแล้วเพราะเราได้ทำแล้ว”