“สุขสันต์วันกลับบ้าน” เป็นถ้อยคำที่ชวนให้รู้สึกถึงความเบิกบานสำราญใจเวลากล่าว และการจะกล่าวคำนี้ได้ ก็ควรจะเป็นใครสักคนที่ห่างบ้านไปนานเนิ่น เมื่อถึงวันที่ได้กลับบ้าน กลิ่นอายความสุขย่อมอบอวลอยู่ในมวลความรู้สึก...แต่นั่นไม่ใช่เสียล่ะสำหรับหนังเรื่องนี้ เพราะทันทีที่ “แทน” ได้กลับถึงบ้าน เขาก็พบว่า “ความสุขสันต์” ที่เคยคาดหวัง ความรักความหลังและความอบอุ่นของคนในครอบครัวที่ว่าจะชุบชูหัวใจให้แช่มชื่น กลับกลายเป็นประสบการณ์ที่สุดแสนจะมึนงงอย่างถึงที่สุดสำหรับเขา และยิ่งสืบค้นต้นตอเบาะแสแห่งเรื่องราวลึกลงไปเท่าไหร่ คำว่า “สุขสันต์” ก็ดูเหมือนจะเป็นแค่เพียงฟองอากาศที่ปลาสนาการไปอย่างไม่มีวันจับต้อง
มองในแง่นี้...คำว่า “สุขสันต์วันกลับบ้าน” จึงกลายเป็นอารมณ์ขันอันเย้ยหยันประหลาดเหลือที่หนังเลือกมาใช้ได้อย่างถูกที่ถูกทาง และยิ่งเมื่อหนังดำเนินเรื่องไปพร้อมกับทำให้เรามองเห็นรูโหว่รอยรั่วภายใน “บ้าน” หลังดังกล่าว เราก็จะยิ่งรู้สึกถึงพลังของชื่อหนังมากยิ่งขึ้น อะไรหรือคือสุขสันต์? อะไรหรือคือความหมายของคำว่า “บ้าน”?
Take Me Home สุขสันต์วันกลับบ้าน...ภาพยนตร์ในการกำกับของ “ก้องเกียรติ โขมสิริ” ซึ่งถ้านับรายชื่อผู้กำกับหนังไทยในยุคนี้ที่กล่าวได้ว่าเชื่อมือได้ หากมีงานใหม่ออกมา ชื่อของ “ก้องเกียรติ โขมสิริ” น่าจะติดอยู่ในลำดับต้นๆ ตลอดระยะเวลามากกว่า 20 ปีบนเส้นทางสายนี้ นับตั้งแต่เริ่มกำกับหนังเรื่องแรก “ลองของ” ร่วมกับโรนินทีม เมื่อปี 2548 อดีตนักศึกษาจาก ม.กรุงเทพ คนนี้ก็มีผลงานตามมาอีก 4-5 เรื่อง และแต่ละเรื่องก็ล้วนเป็นหนังที่ได้รับคำวิจารณ์ในทางที่ดี หนังที่เขากำกับอย่างเรื่อง “เฉือน” ก็เคยส่งให้เขาก้าวขึ้นไปรับตุ๊กตาทองจากเวทีรางวัลสุพรรณหงส์ในฐานะผู้กำกับยอดเยี่ยม
ขณะเดียวกัน ฝีมืออีกหนึ่งด้านของก้องเกียรติ โขมสิริ คือการเป็นมือเขียนบทที่ก็เชื่อมือได้เช่นกัน งานเขียนบทของเขาอย่างเรื่อง “เปนชู้กับผี” ยังคงเป็นที่กล่าวขานมาจนถึงทุกวันนี้ ขณะที่ “โปรแกรมหน้าวิญญาณอาฆาต” หนังผีที่เล่าเรื่องผีในหนังที่ออกมาหลอกหลอนคนดูนอกจอ เขาก็เขียนบทร่วมกับผู้กำกับ “จิม-โสภณ ศักดาพิศิษฏ์” ... ด้วยเหตุนี้ จึงกล่าวได้ว่า นอกจากหนังแนวอื่น หนังสยองขวัญหรือหนังผี ก็เป็นแนวที่ก้องเกียรติ โขมสิริ ทำได้ดีอีกแนวหนึ่ง และมันก็เด่นชัดถนัดตามากจากการที่เขาได้กำกับหนังเรื่องใหม่นี้ “Take Me Home สุขสันต์วันกลับบ้าน”
เหมือนกับงานหลายเรื่องของก้องเกียรติ โขมสิริ ที่มักจะได้ดาราดังๆ มาร่วมงาน สำหรับเรื่องนี้ก็เช่นกัน...พระเอกหนุ่มซูเปอร์สตาร์ขวัญใจสาวๆ “มาริโอ้ เมาเร่อ” รับบทบาทเป็น “แทน” ชายหนุ่มความจำเสื่อมที่เติบโตมาในโรงพยาบาลโดยไม่รู้ว่า “บ้านที่แท้จริง” ของตนเองอยู่ที่ไหน พ่อแม่เป็นใคร...ตลอดระยะเวลากว่าสิบปี เขาเพียรพยายามค้นคว้าหาข้อมูลจากหนังสือพิมพ์เก่าๆ และเว็บไซต์เพื่อสืบหาที่มาของตนเอง กระทั่งวันหนึ่งจึงได้ค้นพบ และนั่นก็สร้างความปลาบปลื้มยินดีแก่เขาเป็นอย่างยิ่ง “บ้าน” ที่เขาใฝ่ฝันถึงมาโดยตลอด กำลังผายอ้อมกอดต้อนรับเขากลับบ้าน การเดินทางครั้งนี้น่าจะมี “ความสุข” รออยู่ที่ปลายทาง...
ในแนวทางของหนังผี สุขสันต์วันกลับบ้าน เป็นหนังที่ดี ข้อนี้ไม่พึงสงสัย รู้สึกว่าผู้กำกับซึ่งเป็นทั้งผู้เขียนบทและแต่งเรื่องร่วมกับอีกสองคน มีความทะเยอทะยาน...อาจจะพูดได้ว่าทะเยอทะยานยิ่งกว่าที่หนังผีไทยเรื่องใดๆ เคยทำมา หรืออย่างน้อยที่สุด ผมคิดว่านี่คือหนังผีเชิงสืบสวนสอบสวนของไทยที่ทำได้สลับซับซ้อนมากกว่าเรื่องใดๆ เราคนดูจะถูกกระทำให้ตกอยู่ในสถานการณ์คล้ายกับตัวละครหลักของเรื่องนั่นก็คือ ค่อยๆ จมดิ่งสู่ความสับสนมืดมนกับเรื่องราวตรงหน้า ต้องค่อยๆ แก้โจทย์ คลายปม ค้นหาความจริงไปทีละเล็กละน้อย ผ่านรายละเอียดที่ค่อยๆ เผยออกมา...การจะทำหนังแบบนี้ได้ ยอมรับว่าคนทำต้องมีสมาธิที่เยี่ยมมากๆ (และมันก็เรียกร้องสิ่งนี้จากคนดูพอสมควร) เพื่อที่จะเล่าเรื่องยากๆ ให้คนดูเข้าใจได้ในท้ายที่สุด แม้ว่าบางจุดอาจจะไม่เข้าใจในทันที แต่เมื่อเรื่องราวถึงที่สุด ปมทุกอย่างที่ผูกไว้จะได้รับการคลี่คลายและสร้างความเข้าใจทั้งในแง่ของสถานการณ์ตลอดจน “สาร” (message) ที่หนังต้องการสื่อ สรุปได้ว่าเป็นหนังผีที่คิดเยอะ แม้กระทั่งชื่อของตัวละครเอกอย่าง “แทน” ก็ยังมีความหมายเจิดจ้าขึ้นมาเมื่อดูจบและพบความจริงบางประการ...
นอกเหนือจากความซับซ้อนซ่อนปม...สิ่งที่น่าชมอีกอย่างของหนังเรื่องนี้คืองานดีไซน์...หลายฉากออกแบบมาได้หลอนยิ่งกว่าการเห็นผีมายืนอยู่ตรงหน้า (เช่นฉากพระปราบผี, หรือภาพแขวนคอทั้งครอบครัวใต้ต้นไม้ ฯ) ลองนึกภาพสักภาพที่เราเห็นแล้วขนลุกครับ นั่นคือหนังทำได้ในระดับนั้น ความหลอนที่แท้จริง อาจไม่ได้มาจากการเห็นผีตัวเป็นๆ แต่เพียงแค่ได้เห็นพฤติการณ์อันพิลึกพิลั่นของตัวละครที่จัดการกับชีวิต ก็ดูหลอนได้อย่างน่าประหลาดเหลือ ผมเชื่อของผมเองว่า หลายคนคงจะมีภาพจำบางภาพเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ไปอีกนาน...กระนั้นก็ดี ใช่ว่าหนังผีเรื่องนี้จะไม่มีผี ตรงกันข้าม มันคือหนังผีเต็มขั้น และหลอกกันสองชั้นสามชั้น พอๆ กับ “ความจริง” “ความลวง” ที่หนังหลอกล่อให้เราหลง
Take Me Home เล่นกับประเด็นหลักๆ คือเรื่อง “บ้าน” ที่ถูกให้ความสำคัญถึงขั้นเป็นคำๆ หนึ่งซึ่งอยู่ในชื่อเรื่อง และตั้งแต่เปิดเรื่อง เราจะได้ยินได้ฟังตัวละครตัวหนึ่งพร่ำพูดถึงความสมบูรณ์งดงามของบ้าน...บ้านคือสวรรค์หรือวิมานของชีวิต นั่นคือสิ่งที่ตัวละครคิดเหมือนกับอีกหลายชีวิตในโลกความจริง แต่สิ่งที่หนังย้อนเอากับตัวละครของตัวเองก็คือ ถ้าหากบ้านไม่เป็นเช่นภาพที่ฝันซึ่งเพอร์เฟคต์แล้ว บ้านนั้นจะยังคงเป็นบ้านอยู่หรือไม่ “รอยรั่ว” ที่หลังคาหรือรอยกร่อนสักจุดภายในบ้าน จะบั่นทอนทุกความสุขภายในบ้านทั้งหมดหรือไม่
ในแง่นี้...“บ้าน” หนึ่งหลัง ก็คงเหมือน “หนัง” หนึ่งเรื่อง มันอาจจะมีจุดโหว่รอยรั่วบางจุดที่เป็นความสงสัยในเชิงเหตุผลหรือความน่าเชื่อถือ แต่ก็นั่นล่ะครับท่านผู้ชม หนังเหมือนจะบอกเราชัดเจนแล้วว่า ความปรารถนาที่จะให้อะไรๆ มันเพอร์เฟคต์นั้น ดูจะเป็นเพียงภาพฝันที่หากยอมรับไม่ได้ ก็มีแต่ต้องเจ็บปวดกับมันไป และพูดจริงๆ ทำหนังได้ระดับนี้ แม้ไม่อาจพูดได้ว่าเพอร์เฟคต์ แต่ใช้คำว่า “ไม่ธรรมดา” ก็แทบจะเป็นการดูแคลนกันเกินไป ด้วยซ้ำไป...
ติดตามรับชมช่อง “Super บันเทิง” ได้ที่ Super บันเทิง live
ข่าวบันเทิง, ถูกต้อง, รวดเร็วฉับไว ทั้งไทย และเทศ http://www.superent.co.th
ติดตามความเคลื่อนไหวอินสตาแกรมดาราทั้งไทยและเทศตลอด 24 ชั่วโมงได้ที่ ซูเปอร์สตาแกรม