xs
xsm
sm
md
lg

อัจฉริยะหมากรุกหลุดโลก : ก้าวที่ยิ่งใหญ่ของ “สไปเดอร์แมน”

เผยแพร่:   โดย: อภินันท์ บุญเรืองพะเนา


จะพูดว่าเป็นความประจวบเหมาะหรืออะไรก็ตามที แต่การมาถึงของหนังซึ่งแสดงโดย “โทบี้ แม็กไกวร์” ก็ดูคล้ายๆ จะสอดคล้องต้องกันกับประเด็นซึ่งกำลังเป็นที่พูดถึงเกี่ยวกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นตามมาถ้าบานประตูสู่การเชื่อมต่อสื่อสารทางอินเตอร์เน็ตถูกรวบไว้เบ็ดเสร็จในช่องทางเดียว ในแบบที่เรียกว่า “ซิงเกิ้ล เกตเวย์” (Single Gateway) ด้วยเหตุผลว่าเป็นเรื่องสะดวกต่อการควบคุม...ความกังวลของเราๆ ท่านๆ จะว่าไป ก็คลับคล้ายคลับคลากับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในชีวิตของอัจริยะหมากรุกระดับโลกที่ชื่อ “บ็อบบี้ ฟิสเชอร์”

บ็อบบี้ ฟิสเชอร์ เป็นแชมป์โลกหมากรุกชาวอเมริกาซึ่งครองตำแหน่งแชมเปี้ยนในระหว่างช่วงปี 1972-75 ชีวิตของเขาที่ถูกเล่าผ่านภาพยนตร์ ด้านหนึ่งก็ดูมหัศจรรย์ราวกับนิยายปลุกใจน่าฮึกเหิม อันว่าด้วยเรื่องราวของเด็กชายที่เติบโตมาจากบ้านนอก เมืองบรูคลีน แต่ด้วยความรักในกีฬาหมากรุกมาตั้งแต่เด็กและฝึกฝนชนิดที่กระทั่งว่ามีหมากรุกอยู่ในทุกลมหายใจเข้าออก ค่อยๆ ไต่ขึ้นมา จากเมืองเล็กๆ สู่เมืองใหญ่ ก่อนจะพาตัวเองปีนป่ายขึ้นไปแตะจุดสูงสุดด้วยการเป็นแชมป์โลก...ในแง่นี้ เรื่องของบ็อบบี้ควรจะเป็นอะไรที่ชุ่มโชกฉ่ำชื่นด้วยแรงบันดาลใจสำหรับใครที่อยากเจริญรอยตามหรือใช้แบบปฏิบัติของเขาในการไล่ล่าคว้าฝัน แต่ในอีกหนึ่งด้าน ชีวิตของบ็อบบี้ก็กลับเป็นชีวิตที่น่าเวทนาเห็นใจ และในด้านนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลพวงจากการเมือง

“พอว์น แซ็คคริไฟซ์” (Pawn Sacrifice) เล่าไล่มาตั้งแต่บ็อบบี้ ฟิสเชอร์ ยังเป็นเด็กน้อยเมืองบรูคลีน ไปจบที่จุดการเป็นแชมป์โลก และสิ่งที่ยอดเยี่ยมอย่างยิ่งสำหรับหนังเรื่องนี้ คือการที่หนังนำเอาภาพวิดีโอตัวจริงเสียงจริงของฟิสเชอร์มาใส่ไว้ในตอนท้ายเรื่องด้วย มันทำให้พลังของเรื่องราวที่หนังเล่ามาทั้งหมด เปล่งประกายและฝากฝังเป็นความทรงจำ น่าสะทกสะท้อน สะเทือนใจกับความเป็นไปของชีวิต

อย่างไรก็ตามครับ ระยะเวลากว่าสองชั่วโมงที่หนังดำเนินเรื่อง มันกลับดูสนุกและมีชีวิตชีวา หลากหลายอารมณ์ ทั้งขบขัน ขมขื่น และเข้มข้น มีคนดูหลายคนอาจเป็นกังวลว่าตนเองไม่เข้าใจเรื่องหมากรุกเลย ซึ่งก็คงเช่นเดียวกันกับผมนี่ล่ะครับที่รู้จักหมากรุกก็เพียงแค่ชื่อเรียกเท่านั้น ถามว่าสิ่งนี้จะเป็นอุปสรรคปัญหาไหมในการดูชม คำตอบก็คือ ไม่เลยแม้แต่น้อย เพราะเอาเข้าจริง สิ่งที่หนังให้ความสำคัญไม่ได้อยู่ที่เกมบนกระดานหมากรุกและทุกๆ คนที่ไม่เข้าใจหมากรุก ก็จะเข้าใจในสิ่งที่หนังเรื่องนี้ต้องการถ่ายทอดได้ ผมคิดว่าทีมงานทั้งคนเขียนบทและผู้กำกับ สมควรได้รับคำชม การทำหนังชีวประวัติให้ออกมามีชีวิตชีวา ไม่แห้งแล้ง และสนุกขนาดนี้ได้ นับว่าไม่ธรรมดา “เอ็ดเวิร์ด ซวิก” ซึ่งเป็นผู้กำกับนั้นชั่วโมงบินสูงอยู่แล้ว งานของเขาหลายต่อหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น Glory, Legend of the Fall มาจนถึง The Last Samurai และ Blood Diamond หยิบมาดูกี่ครั้งก็ยังสนุกเหมือนเดิม และสำหรับ “พอว์น แซ็คคริไฟซ์” ก็ไม่มีอันใดต้องสงสัยในศักยภาพแห่งการกำกับภาพยนตร์ของเขา

ผลงานชิ้นนี้ได้นักแสดงหนุ่ม “โทบี้ แม็กไกวร์” มารับบทฟิสเชอร์ และควรได้รับการบันทึกว่ามันเป็นก้าวที่ดีงามของนักแสดงผู้นี้ที่เคยฮิตมากๆ จากการรับบทเป็นไอ้หนุ่มแมงมุมในเรื่องสไปเดอร์แมน (เวอร์ชั่นกำกับโดยแซม ไรมี่) การเล่นเป็นบ็อบบี้ ฟิสเชอร์ คือการพาตัวเองหลุดพ้นจากข่ายใยของไอ้แมงมุมได้อย่างหมดจดของโทบี้ แม็กไกวร์ และดีงามพอที่จะเรากล่าวได้ว่าเป็นการแสดงที่ยอดเยี่ยมครั้งหนึ่งในชีวิตการแสดงของเขา ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม เขาทำให้เราเชื่อได้อย่างสนิทใจว่าเขาคือบ็อบบี้ที่แพรวพราวด้วยสีสันความรู้สึกซึ่งยากจะคาดเดาได้แบบที่นักข่าวในยุคนั้นพากันกล่าวถึง ความเป็นคนช่างคิดไปจนถึงมีจิตหวาดระแวงจนเข้าขั้นพารานอยด์ โทบี้ แม็กไกวร์ ทำให้มันออกมาปรากฏผ่านการแสดงของเขา บทดีๆ แบบนี้พร้อมจะหนุนส่งนักแสดงอย่างเต็มที่ และก็จึงไม่แปลกนัก หากสปอร์ตไลท์ของรางวัลด้านการแสดงจะส่องแสงมาถึงเขาบ้าง

แม้จะเป็นหนังอันด้วยแชมป์หมากรุก แต่ “พอว์น แซ็คคริไฟซ์” ไปไกลกว่าเกมบนกระดานหมากรุก และมันถูกเล่าอย่างมีสีสันบรรยากาศ ฉากหลังของหนังเรื่องนี้ หลักๆ เซ็ตไว้ที่ช่วงยุค 60-70 อันเป็นยุคที่เราท่านทราบกันว่า เป็นช่วงเวลาแห่งเสรีภาพเบ่งบาน ร็อกแอนด์โรลล์กังวานไปทั่วทิศ และจิตวิญญาณเสรีก็เอิบอาบซาบซึมอยู่ในดวงจิตของคนหนุ่มสาวที่ประกาศตัวตนในนามบุปผาชน กระนั้นก็ตาม ในช่วงเวลาที่เสรีชนกำลังก่อร่างสร้างเสรีภาพ ระหว่างนั้นอเมริกาก็เกิดคดีใหญ่ขึ้นคดีหนึ่งซึ่งรู้จักในชื่อ “วอเตอร์เกท” อันส่อถึงการละเมิดสิทธิเสรีภาพของบุคคลด้วยการดักฟังหรือจับจ้องการกระทำของผู้อื่นอย่างผิดกฎหมาย คดีนี้กลายเป็นที่พูดถึงระดับทอล์กออฟเดอะเวิลด์ ขณะเดียวกัน สงครามเย็นที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ก็ยังคุกคามชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความปลอดภัยด้านการสื่อสารที่ดูเหมือนจะมี “ผี” คอยสอดส่องจ้องจับอยู่ในมุมมืด ข่าวลือเกี่ยวกับการที่ใครคนใดคนหนึ่งกำลังถูกสอดแนมหรือติดตามสะกดรอยแบบลับๆ แทรกซ้อนอยู่ในบรรยากาศสังคมและบทสนทนา และแน่นอนว่า ทั้งสงครามเย็น ทั้งวอเตอร์เก็ท ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้การมีชีวิตของใครหลายคนดำรงอยู่อย่างหวาดระแวง ซึ่งบ็อบบี้ ฟิสเชอร์ ก็ดูจะเป็นหนึ่งในจำนวนนั้น

ชีวิตส่วนตัวของฟิสเชอร์ที่ว่าอยู่ระหว่างเส้นแบ่งบางๆ ของความเป็นอัจฉริยะและคนบ้า ว่าสนุกแล้ว สิ่งที่ทำให้ “พอว์น แซ็คคริไฟซ์” เพิ่มมิติเข้าไปอีก ก็คือการที่เรื่องราวของเขาถูกนำเข้าไปพาดผ่านกับเส้นทางสายการเมือง เราจะพบว่า สุดท้ายแล้ว กระดานหมากรุก ก็แนบเป็นเนื้อเดียวกันกับกระดานการเมืองระหว่างสองขั้วอำนาจ ที่สามารถดึงทุกสิ่งอย่างให้เข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมือง-การสงคราม เพื่อแย่งชิงความเหนือกว่า เหมือนกับการชิงชัยในเกมหมากรุกที่ “โทบี้ แม็กไกวร์” ต้องมีภารกิจที่ยิ่งใหญ่และความรับผิดชอบอันใหญ่ยิ่งไม่ต่างจากตอนเล่นเป็นสไปเดอร์แมน เขาในฐานะ “บ็อบบี้ ฟิสเชอร์” คือตัวแทนฝั่งอเมริกาที่ต้องท้าชิงกับ “บอริส สแปสกี้” ในฐานะตัวแทนฝั่งรัสเซียและเป็นมือวางอันดับหนึ่งของโลก

ผมคิดว่าสิ่งที่น่าสนใจมากๆ สำหรับหนังเรื่องนี้ และเป็นเหตุผลที่ทุกคนควรจะต้องได้ดูเรื่องราวของฟิสเชอร์ก็คือคำถามที่ว่า สุดท้ายแล้ว เราคิดว่าอาการหวาดระแวงของฟิสเชอร์นั้นเกิดมาจากเหตุผลกลใด เราอาจจะมองคล้ายเป็นเรื่องตลกเจ็บปวดเกี่ยวกับอัจริยะหูแว่วคนหนึ่งซึ่งมีอาการหวาดระแวงมาแต่เด็กแล้วค่อยๆ พัฒนาขึ้นไปเป็นการได้ยินในสิ่งที่ชาวบ้านทั่วไปไม่ได้ยินจนดูเหมือนคนเป็นโรคประสาท และขณะที่ใครต่อใครพากันมองว่ามันเป็นชะตากรรมหรือราคาที่ต้องจ่ายแบบที่พวกอัจฉริยะมักจะต้องประสบพบเจอเฉกเช่นเซียนหมากรุกรุ่นก่อนหน้าของบ็อบบี้ ฟิสเชอร์ ที่หลอนเพ้อถึงขั้นฆ่าตัวตาย แต่เราจะปฏิเสธได้หรือไม่ว่า การเติบโตมาท่ามกลางบรรยากาศทางการเมืองที่เขม็งเกลียว ไม่ได้เป็นส่วนเสี้ยวซึ่งส่งผลต่อบุคลิกภาพและตัวตนของบ็อบบี้ ฟิสเชอร์

ตั้งแต่ต้นเรื่อง หนังฉายภาพของหนูน้อยฟิสเชอร์ยืนอยู่ริมหน้าต่าง มองผ่านกระจกออกไปยังรถคันหนึ่งซึ่งจอดอยู่หน้าบ้าน และใครบางคนในรถคันนั้นก็ทำทีทำท่าสังเกตสังกาความเป็นไปภายในบ้านหรือกระทั่งหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายภาพบ้านของฟิสเชอร์ สิ่งนี้ฝังลึกลงไปในจิตใจพร้อมกับวัยที่เติบโตและรู้ว่าแม่ของเขานั้นถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ จากนั้นชีวิตของเขาก็ดูจะไม่เคยเป็นปกติสุขอีกเลย เขามักจะรู้สึกอยู่เสมอว่ามีใครบางคนพยายามติดตามสอดแนมเขาอยู่ตลอดเวลา

อนุสติจากชีวิตของบ็อบบี้ ฟิสเชอร์ ควรจะกล่าวได้ว่า การถูกสอดแนมนั้นส่งผลเชิงลึกเพียงใดต่อเสรีภาพของปัจเจก ในภาวะปกติ ก็ไม่ควรถือว่าเป็นความปกติ และยิ่งในภาวะที่สถานการณ์การเมืองเข้มข้นตึงเครียดหรืออยู่ในภาวะสงครามแบบฟิสเชอร์พบเจอมา ยิ่งไม่ควรพูดได้ว่าเป็นความปกติ เพราะมันถึงกับส่งผลให้คนปกติกลายเป็นไม่ปกติไป และสุดท้าย ไม่ว่าจะซิงเกิ้ล เกทเวย์ หรือมัลติเพิ่ล เกทเวย์ สิทธิเสรีภาพของบุคคลก็ยังสมควรได้รับการคุ้มครอง








ติดตามรับชมช่อง “Super บันเทิง” ได้ที่ Super บันเทิง live

ข่าวบันเทิง, ถูกต้อง, รวดเร็วฉับไว ทั้งไทย และเทศ http://www.superent.co.th

ติดตามความเคลื่อนไหวอินสตาแกรมดาราทั้งไทยและเทศตลอด 24 ชั่วโมงได้ที่ ซูเปอร์สตาแกรม
กำลังโหลดความคิดเห็น