xs
xsm
sm
md
lg

จับโกหกบอย-พิงกี้ โยงใยแก๊งเกย์”ลาดกระบัง”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ไม่น่าเชื่อว่า จากขบวนการฉ้อโกงครั้งประวัติศาสตร์ กว่า 1,600 ล้านบาทของสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ที่มีการสืบค้นว่าเริ่มหายไปตั้งแต่ปี 2555 นั้น จะโยงใยมาถึงคนในวงการบันเทิงอย่างน้อยที่สุดที่ปรากฏรายชื่อ ณ ตอนนี้ ก็คือ “บอย-ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์” และ “พิงกี้-สาวิกา ไชยเดช”

สำหรับบอยนั้น ถูกระบุว่าเป็นผู้ซื้อรถหรูลัมบอร์กินี จาก “นายกิติศักดิ์ มัทธุจัด” หนึ่งในผู้ต้องหาที่พัวพันอยู่ในขบวนการนี้ในสนนราคาประมาณ 13.5 ล้านบาท เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา โดยชำระเป็นเงินสด และได้รับเล่มทะเบียนมาอย่างถูกต้อง พร้อมกับยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง หรือรู้เห็นกับขบวนการฉ้อโกงในครั้งนี้ นอกเหนือจากติดต่อในฐานะผู้ซื้อ และผู้ขายเท่านั้น โดยเชื่อมโยงผ่านตัวละครอีก 1 คน ก็คือ “นายภาดา บัวขาว” หรือที่รู้จักกันดีในฐานะเน็ต ไอดอล ขวัญใจกลุ่มชายรักชาย ในชื่อ “โอ๊ต พราด้า” ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานในการซื้อ-ขายครั้งนี้ ซึ่งไม่วายถูกตั้งข้อสังเกตว่า ซื้อมาในราคาที่ถูกผิดปกติ จนทำให้เกิดการคาดเดากันไปต่างๆ นานา ว่าอาจจะมีความสนิทชิดเชื้อกันเป็นกรณีพิเศษ

ภายหลังบอยจึงมีการแสดงความบริสุทธิ์ โดยการหอบหลักฐานการซื้อขายทั้งหมดที่ได้ดำเนินการตามขั้นตอนถูกต้องทุกอย่างมาชี้แจง แต่กระนั้นก็ยังต้องมีการสืบหาความเชื่อมโยงต่อไปว่ามีความเกี่ยวพันนอกเหนือจากแค่การซื้อ-ขายกันตามปกติหรือไม่? อย่างไร ? พร้อมกันนั้นก็มีแนวโน้มว่ารถคันดังกล่าว จะต้องถูกยึด เพราะถือเป็นทรัพย์สินที่ได้มาโดยไม่สุจริต
แต่ระหว่างที่เรื่องยังไม่มีพบสรุปที่แน่ชัด ก็มีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหลื่อมล้ำต่ำสูงของคนในสังคม ยกตัวอย่างเช่นร้านซื้อ-ขายโทรศัพท์มือถือตามศูนย์การค้าต่างๆ ถ้ามีการสืบค้นได้ว่าโทรศัพท์ที่รับซื้อมานั้น เป็นเครื่องที่ถูกขโมยมา เจ้าของร้านที่รับซื้อมา ก็จะมีความผิดฐานรับซื้อของโจร ขณะที่กรณีของบอย ซึ่งก็น่าจะเข้าข่ายเดียวกัน แต่กลับถือว่าไม่มีความผิด เพราะได้ทำถูกต้องตามขั้นตอน

สรุปว่าดาราไม่ผิด ? หรือที่แท้แล้วเป็นเพราะดารารู้ว่าทำอย่างไรจึงจะไม่ผิด ? เรื่องนี้คือสิ่งที่ทุกคนต้องการคำตอบจากสังคม

ขณะที่บอยซึ่งออกตัวเอี๊ยดว่าไม่รู้จักกับโอ๊ต พราด้า นอกเหนือไปจากการติดต่อเรื่องซื้อ-ขายรถ แต่กลับปรากฏมีคลิปที่แชร์ต่อๆ กันมา เป็นคลิปที่พระเอกหนุ่มกล่าวอวยพรเนื่องในวันขึ้นบ้านใหม่ของอีกฝ่าย พร้อมยืนยันว่าโอ๊ต พราด้าเป็นคนดี น่ารัก บ่งบอกถึงความสนิทชิดเชื้อ ซึ่งค้านกับคำให้การในเบื้องต้นโดยสิ้นเชิง

จากเรื่องรถหรูของบอย ก็มาถึงเรื่องของ “พิงกี้-สาวิกา ไชยเดช” ซึ่งดันไปมีชื่อเกี่ยวพันกับผู้ต้องหา ในฐานะที่เป็นหนึ่งในผู้บริหารและผู้ถือหุ้นบริษัทเคพีพี โปรดักชั่น จำกัด ซึ่งรับจัดงานอีเว้นท์ ผลิตภาพยนตร์และเทปโทรทัศน์จำนวน 30% โดยบริษัทดังกล่าวนั้นเป็น 1 ใน 7 บริษัทที่ก่อตั้งโดยนายกิตติศักดิ์

เบื้องต้นนั้นพิงกี้ปฏิเสธว่าไม่รู้จักกับนายกิตติศักดิ์ และไม่รู้ว่ามีชื่ออยู่ในบริษัทดังกล่าว เพียงแค่เคยได้รับการชักชวนจาก “นายคึกฤทธิ์หรือภูดิศ จันทิมา” ซึ่งเป็นคนรู้จักในวงการบันเทิงให้ร่วมลงทุนทำบริษัทเกี่ยวกับวงการบันเทิง แต่ตัวเธอยังไม่ได้ตอบตกลง แต่กลับถูกนำชื่อไปใช้โดยไม่ทราบเรื่องมาก่อน โดยที่บริษัทดังกล่าว ยังไม่มีการดำเนินกิจการ และไม่มีการเคลื่อนไหวทางการเงิน เพียงแต่จดทะเบียนไว้เท่านั้น
แต่ภายหลังมีการสืบค้นกันต่อปรากฏว่าในเอกสารการจดทะเบียนบริษัทฯ นั้น กลับพบว่ามีลายมือชื่อของพิงกี้ลงนามกำกับในเอกสารด้วย พร้อมมี “ใบสำคัญรับชำระเงินลงหุ้น” ที่ระบุไว้ชัดเจนว่าได้รับเงินสดจากพิงกี้ จำนวน 3 แสนบาท เป็นค่าตอบแทนในการถือหุ้นจำนวน 3,000 หุ้น พร้อมกับมีสำเนาบัตรประชาชน ซึ่งมีลายเซ็นของเธอกำกับและรับรองสำเนาถูกต้องแนบไว้อีกด้วย ก่อนที่จะได้รับการยืนยันซ้ำจากนายคึกฤทธิ์หรือภูดิศว่า เงินจดทะเบียนจำนวน 1 ล้านบาท ทางนายกิตติศักดิ์เป็นคนออกให้ทั้งหมด เพียงแต่ดึงคนเหล่านี้เข้ามาเป็นหุ้นส่วนเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับบริษัทฯ

อย่างไรก็ตามแหล่งข่าวคนหนึ่งที่ขอสงวนนาม ซึ่งเป็นหนึ่งในพนักงานของบริษัทเคพีพี โปรดักชั่น ยืนยันว่าพิงกี้เคยเข้ามาพูดคุยกับนายกิตติศักดิ์ที่บริษัทย่านสมุทรปราการเกี่ยวกับการร่วมกันก่อตั้งบริษัท นั่นหมายถึงว่ามีการรับรู้และเห็นชอบมาตั้งแต่ต้น มิใช่ “ไม่ทราบเรื่องมาก่อน” และบริษัทฯ เอง ก็เริ่มมีการดำเนินงานบางส่วนแล้ว อาทิ ติดต่อซื้อบทประพันธ์เพื่อนำมาสร้างเป็นละคร,ติดต่อนักเขียน , แคสติ้งนักแสดง , นำเสนอช่องต่างๆ เพียงแต่ยังไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน ที่ผ่านมา จึงมีเฉพาะรายจ่าย ยังไม่มีรายรับเข้ามาอย่างเป็นเรื่องเป็นราว แต่ที่แน่ๆ ก็คือไม่ใช่ว่า “ยังไม่มีการดำเนินกิจการ” ตามที่เป็นข่าว

แต่เรื่องยังซับซ้อนยิ่งไปกว่านั้น เมื่อปราฏว่าตัวนายภูดิศเอง ก็โดนนายกิตติศักดิ์ฟ้องอยู่ที่ศาลแขวงจังหวัดสมุทรปราการ ในข้อหาฉ้อโกงบริษัท โดยแหล่งข่าวกล่าวเพิ่มเติมว่า นายภูดิศมีพฤติกรรมการยักยอกเงินของบริษัทในหลายๆ กรณี อาทิ นำเอกสารสำเนาบัตรประชาชนของเจ้าหน้าที่เดินสายโทรศัพท์ มาแอบอ้างว่าเป็นสำเนาบัตรฯ ของเจ้าของบทประพันธ์ และนำมาเบิกเงินกับทางบริษัทฯ โดยที่เจ้าของสำเนาบัตรฯ ไม่ทราบเรื่อง และเจ้าของบทประพันธ์ตัวจริง ไม่ได้รับเงิน รวมถึงมีการติดต่อนักเขียนให้ทำโครงเรื่องย่อของนวนิยายเพื่อจะนำเสนอช่อง แต่แจ้งว่าชิ้นงานมีการแก้ไข แล้วก็เงียบหายไป โดยไม่มีการจ่ายค่าจ้าง ขณะที่กลับปลอมเอกสารรับเงินจากทางบริษัทฯ มาแล้ว ซึ่งขณะนี้คดียังอยู่ในระหว่างการพิจารณาในชั้นศาล แต่อย่างไรก็ตาม นายกิตติศักดิ์ไปหวังเพียงให้นายภูดิศนำเงินที่ยักยอกไปมาคืนให้กับทางบริษัทฯ และจะดำเนินการถอนฟ้อง แหล่งข่าวไม่ได้แจกแจงตัวเลขของจำนวนเงินที่ยักยอกไปอย่างชัดเจน แต่ก็คาดเดาได้ว่าน่าจะอยู่แค่หลักหมื่น หลักแสน เทียบไม่ได้เลยกับคดียักยอกเงินระดับพันล้านที่ระบุว่านายกิตติศักดิ์มีส่วนรู้เห็น
อย่างไรก็ตามภายหลังที่มีการจับได้เรื่องการฉ้อโกง ทางบริษัทฯ ได้มีการเปลี่ยนแปลงรายนามผู้ถือหุ้น โดยถอดถอนชื่อของนายภูดิศ และพิงกี้ออกไป และสำหรับบริษัท แอคติ้งวัน เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด อีกหนึ่งในบริษัทที่นายกิตติศักดิ์จดทะเบียนเป็นเจ้าของ ก็เริ่มมีความเคลื่อนไหว โดยพนักงานบางคน ที่เพิ่งทราบข่าวการพัวพันคดีฉ้อโกงของนายกิตติศักดิ์ตามที่ปรากฏเป็นข่าว ก็เริ่มมีการขยับขยาย โดยมีแนวโน้มว่าอาจจะดึงโครงการบางส่วนที่เริ่มดำเนินงานไปบ้างแล้ว ออกไปทำในนามของบริษัทใหม่ของตัวเองที่จะต้องจดทะเบียนขึ้นมาใหม่ เพื่อมิให้เสียคอนเนกชันกับบรรดาสปอนเซอร์
ย้อนกลับมาที่พิงกี้ ทันทีที่เธอปรากฏตัว และออกปากปฏิเสธไม่มีส่วนรู้เห็น บรรดาผู้เกี่ยวข้องกับการสืบสวนคดีในครั้งนี้ ก็พร้อมใจกัน (รีบ) สรุปทันที คล้ายๆ กับคดีของบอย-ปกรณ์ ว่า “เจตนาบริสุทธิ์-ไม่มีความผิด” จนหลายคนอดสงสัยไม่ได้ว่า หรือจะเป็นเพราะบารมีของสามีนักธุรกิจไฮโซ “เพชร-อิทธิ ชวลิตธำรง” ที่อาจจะมีสายสัมพันธ์อันดีกับทางตำรวจ ทำให้ผลของคดีออกมาในลักษณะนี้

ยังมีอีกหนึ่งตัวละครที่เกริ่นไว้ตั้งแต่ข้างต้นที่มีส่วนพัวพันกับคดีประวัติศาสตร์ครั้งนี้ นั่นก็คือ “นายภาดา บัวขาว” หรือ “โอ๊ต พราด้า” ที่ปรากฏว่ามีความสัมพันธ์ฉันคนรักกับนายกิตติศักดิ์ แต่ก็เป็นไปในลักษณะ “รักสามเส้า” เพราะนายกิตติศักดิ์เอง ก็ยังคงคบหากับ “นายทรงกลด ศรีประสงค์” ผู้จัดการธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาห้างบิ๊กซี ศรีนครินทร์ ผู้ต้องหาคนสำคัญในคดีดังกล่าวด้วย

โอ๊ต พราด้า ถูกจับตามอง ภายหลังจากมีพฤติกรรมของโพสต์ภาพผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ก ในลักษณะของการใช้ชีวิตที่หรูหรา ใช้ของแบรนด์เนม จนคนเริ่มสงสัยในความร่ำรวยแบบไม่มีเหตุผล เพราะที่ผ่านมายังไม่มีการปรากฏว่าประกอบอาชีพอะไรที่ แน่ชัด กระนั้นก็มีคนแอบไปสืบเสาะค้นข้อมูลมาว่า เดิมทีโอ๊ต พราด้าเป็นช่างตัดผมอยู่ที่จังหวัดภูเก็ต มีฐานะอยู่ในระดับปานกลาง แต่ร่ำรวยขึ้นมาภายหลังการคบหากับชายชาวต่างชาติคนหนึ่ง นำไปสู่การ “ชุบตัว” เป็นหนุ่มไฮโซ ก่อนที่จะมาห่างหายกันไป กระทั่งมาพบกับนายกิตติศักดิ์ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง กระทั่งตกลงคบหาเป็นแฟนกัน และภายหลังปรากฏว่ามีชื่อในฐานะผู้ถือหุ้นร่วมกับนาย
กิตติศักดิ์ในบริษัท เอ็ม เฟส โทเทิล เอฟเฟกต์ จำกัด ประกอบกิจการขายส่งขายปลีกครีมบำรุงผิวเครื่องสำอาง โดยมีทุนจดทะเบียน
1 ล้านบาท ซึ่งแหล่งข่าวคนเดิมที่เป็นพนักงานของบริษัทเคพีพี โปรดักชั่น ยังระบุว่านายกิตติศักดิ์ ค่อนข้างจะไว้เนื้อเชื่อใจโอ๊ต พราด้า มาก ถึงขนาดที่แทบทุกครั้งที่มีพนักงานมานำเสนอโครงการ นายกิตติศักดิ์ก็จะต้องนำไปปรึกษาโอ๊ต พราด้าก่อนทุกครั้ง และถ้าโอ๊ต พราด้า ไม่เห็นชอบ นายกิตติศักดิ์ก็จะมีคำสั่งระงับโครงการนั้นๆ ทันที

ย้ำอีกครั้งว่าคดีนี้ไม่น่ามาเกี่ยวข้องกับวงการบันเทิง แต่ก็วกเข้ามาพัวพันกันจนได้ ที่แน่ๆ ตอนนี้อาจจะมีดาราอีกหลายคน ที่เริ่มร้อนๆ หนาวๆ เพราะไม่รู้ว่าสาวไปสาวมา จะมีชื่อใครหลุดเข้ามาเอี่ยว ต่อจากบอย-ปกรณ์ และพิงกี้อีกบ้าง ?

ที่มา นิตยสารASTV สุดสัปดาห์ ฉบับที่ 272 17-23 มกราคม 2558



















กำลังโหลดความคิดเห็น