ตำรวจกองปราบฯ เตรียมเรียก “ถวิล พึ่งพา” อดีตอธิการฯ สจล. พร้อมผู้มีอำนาจเซ็นเบิกจ่ายเงินทั้งชุดเก่า-ใหม่ ให้ปากคำ 5 ม.ค.นี้ ยันดาราหนุ่ม “บอย ปกรณ์” พบตำรวจวานนี้ (1 ม.ค.) เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจไม่มีเอี่ยวแก๊งลักเงิน เพียงซื้อต่อรถลัมบอร์กินีเท่านั้น
วันนี้ (2 ม.ค.) ที่กองปราบปราม ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าคดีจับกุม นายทรงกลด ศรีประสงค์ อายุ 40 ปี ผู้จัดการธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาห้างบิ๊กซี ศรีนครินทร์ และ น.ส.อำพร น้อยสัมฤทธิ์ อายุ 56 ปี ผอ.ส่วนการคลังสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ร่วมกันยักยอกเงินสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ว่า เมื่อเวลา 10.30 น. พ.ต.อ.ณษ เศวตเลข รอง ผบก.ป. ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีดังกล่าวเรียกประชุมคณะพนักงานสอบสวน ที่มี พ.ต.อ.จิรภพ ภูริเดช รักษาราชการแทน ผกก.1 บก.ป. และพนักงานสอบสวนกองปราบปรามฯ
โดย พ.ต.อ.ณษ กล่าวว่า คดีนี้ทางพนักงานสอบสวนได้ดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐาน และขออนุมัติศาลอาญาออกหมายจับผู้ต้องหาแล้ว จำนวน 8 ราย ประกอบด้วย 1.น.ส.อำพร น้อยสัมฤทธิ์ ผู้อำนวยการส่วนการคลัง สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง 2.นายทรงกลด ศรีประสงค์ อดีตผู้จัดการธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาบิ๊กซี ศรีนครินทร์ 3.นายพูลศักดิ์ บุญสวัสดิ์ นักศึกษาปริญญาโท 4.นายจริวัฒน์ สหพรอุดมการ 5.สมพงษ์ สหพรอุดมการ 6.นายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด 7.นางสมบัติ โสประดิษฐ์ 8.น.ส.จันทร์จิรา โสประดิษฐ์ ในข้อหาร่วมกันปลอมแปลงเอกสาร ร่วมกันลักทรัพย์ และเพิ่มข้อหาฟอกเงินอีก 1 ข้อหา
พ.ต.อ.ณษ กล่าวต่อว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหาได้แล้ว 4 รายแรก ส่วน 4 รายที่เหลืออยู่ระหว่างการติตดามจับกุมอยู่ ซึ่งทาง พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วย ผบ.ตร. ได้ให้รายงานความคืบหน้าทุกวัน อีกทั้งได้กำชับคณะทำงานว่า ให้ทำงานกันอย่างรัดกุม อย่าให้เกิดปัญหา อย่ากลั่นแกล้งใคร หากมีพยานหลักฐานพาดพิงไปถึงบุคคลใดก็ให้ดำเนินการไปตามกฎหมายไม่ต้องเว้น หรือเกรงใจใคร
พ.ต.อ.ณษ กล่าวต่อว่า ส่วนจะพิจารณาขออนุมัติศาลอกหมายจับใครเพิ่มเติมนั้นมีแน่ แต่กำลังพิจารณาคัดกรองอยู่ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องมากน้อยแค่ไหน ดูจากเส้นทางการเงินที่หายไปแล้ว เชื่อว่าจะยังมีผู้ที่รู้เห็นเกี่ยวข้องอีกหลายคน แต่ยังสรุปไมได้ว่ากี่คน
สำหรับกรณีดาราสาวพิ้งกี้ ที่มีชื่อมาเป็นหุ้นส่วนกับผู้ต้องหารายหนึ่งในคดีนี้นั้น รอง ผบก.ป. กล่าวว่า ยังไม่เรียก เพราะทางพนักงานสอบสวนยังไม่ได้ลงลึกไปในเรื่องของการที่ระบุว่าเข้าหุ้นทำธุรกิจด้วยกันเลย สำหรับการประชุมวันนี้จะขอทราบความคืบหน้าของการไปตรวจค้นบ้านแม่นายกิตติศักดิ์ ผู้ต้องหารายสำคัญที่เชื่อว่าหลบหนีไปฮ่องกง ที่มีสื่อนำเสนอข่าวไปแล้ว่า พบเงินในบัญชีเงินฝากธนาคาร และโฉนดที่ดินจำนวนมาก สามารถชี้แจงว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร หรือไม่ เกี่ยวข้องกับเงินในคดีของลูกชายหรือเปล่า นอกจากนี้ ก็จะขอข้อมูลจากฝ่ายสืบสวนที่ตรวจสอบไปแล้วตลอดช่วงก่อนปีใหม่มาดูว่ามีความคืบหน้าอะไรเพิ่มเติมอีก จะได้วางแนวทางการทำงานกันต่อไป
พ.ต.อ.ณษ ยังกล่าวถึงพฤติการณ์ของ นายกิตติศักดิ์ ผู้ต้องหาที่ยังหลบหนีอยู่เชื่อว่าเป็นตัวจักรสำคัญในคดี เป็นคนที่ให้ผู้ต้องหาคนอื่นโอนเงินเข้าบัญชีไปก่อนโอนกลับมาให้ตัวเอง โดยแบ่งผลประโยชน์ให้เจ้าของบัญชีคนอื่นไปเป็นการตอบแทน
ส่วนบริษัท มัทธุจัด ของ นายกิตติศักดิ์ นั้น รอง ผบก.ป. กล่าวว่า เปิดทำการเมื่อปี 2555 ทำธุรกิจหลาอย่าง ทั้งด้านอสังหาริมทรัพย์ โมเดลลิ่ง และวงการบันเทิง จัดเกมโชว์ อัดรายการต่างๆ ออกทางทีวี ที่ปรึกษาทางกฎหมาย ซึ่งจะประสานให้ทาง ปปง.ตรวจสอบเส้นทางการเงินของบริษัทก่อนว่าหลังจากจดทะเบียนเมื่อปี 55 แล้วทำธุรกิจการเงินเป็นมาอย่างไร เกี่ยวข้องต่อการฟอกเงินที่สูญหายไปของ สจล.หรือไม่อย่างไร ก่อนจะทำการอายัดต่อไป
รอง ผบก.ป.กล่าวอีกว่า ส่วนในวันจันทร์ที่ 5 ม.ค.นี้ พนักงานสอบสวนได้เชิญ นายถวิล พึ่งพา อดีตอธิการบดี ที่หมดวาระไปเมื่อปลายปี 2557 และเชิญคณะกรรมการผู้มีอำนาจเซ็นเบิกจ่ายเงินของสถาบันทั้งชุดเก่า และชุดปัจจุบัน ประกอบด้วย รองอธิการบดี และเจ้าหน้าที่ฝ่ายการคลัง ซึ่งพบว่า ในการเบิกจ่ายเงินแต่ละครั้งจะต้องมีผู้อนุมัติจำนวน 2 ใน 4 คนที่รับผิดชอบในด้านการเงิน
พ.ต.อ.ณษ กล่าวถึงกรณีที่ นายปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์ ดารานักแสดงได้เดินทางมาพบพนักงานสอบสวนเมื่อวานนี้ ว่า ดาราหนุ่มเดินทางมาเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจหลังจากติดต่อซื้อรถยนต์ยี่ห้อลัมบอร์กินี ซึ่งเจ้าตัวมีความต้องการจะซื้อรถยี่ห้อดังกล่าว และสีเขียวที่ต้องการ มีคนแนะนำว่านายกิตติศักดิ์ เพิ่งซื้อจากพระราม 9 ไป จึงต่อต่อขอซื้อต่อจากนายกิตติศักดิ์ เป็นเงิน 13.5 ล้านบาท โดยนำเอกสารการซื้อขายมา และยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเงินของ สจล.แต่อย่างใดทั้งสิ้น โดยรู้จักกันหลังจากที่ต้องการซื้อรถคันดังกล่าวเท่านั้น
“ยังมีผู้ร่วมขบวนการอีกเป็นจำนวนมาก และอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขออนุมัติศาลออกหมายจับ รวมทั้งกำลังรวบรวมทรัพย์สินที่ตรวจยึดได้ส่งให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. ตรวจสอบว่าได้มาอย่างถูกต้องหรือไม่” รอง ผบก.ป.กล่าว
พ.ต.อ.ณษ กล่าวด้วยว่า สำหรับ น.ส.อำพร น้อยสัมฤทธิ์ ผู้ต้องหาที่มีข่าวว่าป่วยนั้น ขณะนี้ได้ส่งตัวเข้าเรือนจำจังหวัดมีนบุรีแล้ว หลังจากที่แพทย์โรงพยาบาลตำรวจ ระบุว่า อาการป่วยโรคเบาหวานดีขึ้น สามารถกลับบ้านได้ ส่วนทางเรือนจำจะนำเข้ารักษาตัวต่อที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์หรือไม่ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของเรือนจำ
รอง ผบก.ป. กล่าวว่า จากการประชุม และตรวจสอบร่วมกันกับทาง สจล.แล้ว ระหว่างปี 2555 ถึงเดือน ธ.ค.57 ที่เอาเช็คไปเบิกเงินธนาคารไม่ได้ สรุปยอดเงินพบว่ามีความสูญหายไปจำนวนทั้งสิ้น 1,494 ล้านบาท กับ 80 ล้านบาท
ส่วน พ.ต.ท.พงษ์ไสว แช่มลำเจียก พนักงานสอบสวน กก.1 บก.ป. กล่าวหลังประชุมคณะพนักงานสอบสวนเสร็จว่า ได้ข้อมูลจากที่ประชุมเพิ่มเติมอีกมาก ทำให้มีเป้าหมายที่จะดำเนินการต่อไปอีก แต่ไม่สามารถเปิดเผยบอกรายละเอียดได้ในเวลานี้
ด้าน พ.ต.อ.จิรภพ รักษาราชการแทน ผกก.1 บก.ป. กล่าวถึงกรณีที่ บอย ปกรณ์ มาพบเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบฯ เมื่อเวลา 11.00 น. วานนี้ (1 ม.ค.) ว่า เนื่องจากมีสื่อมวลชนบางฉบับไปนำเสนอข่าวว่ามีดาราชายชื่อย่ออักษร ป. ซื้อรถยนต์หรูราคาแพงจากแก๊งลักเงิน สจล. ทำให้เจ้าตัวเกรงว่าจะเกิดความเสียหายได้ จึงประสานติดต่อเข้าขอพบเพื่อชี้แจง ได้เดินทางมาพบ พ.ต.อ.ณษ และตน พร้อมนำเอกสารหลักฐานการซื้อขายรถยนต์ยี่ห้อลัมบอร์กีนีคันดังกล่าวจากนายกิตติศักดิ์ ผู้ต้องหาคนสำคัญในคดีลักทรัพย์เงินของ สจล. มาแสดงให้ดูด้วย