ออกจะแปลกใจพอสมควรทีเดียวครับหลังได้รับรู้ว่าวง "คาราบาว" จะไปเล่นคอนเสิร์ตในพม่า
เป็นความแปลกใจที่คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะเชื่อว่าส่วนใหญ่ต่างก็ทราบกันดีอยู่แล้วว่าเพลงหลายต่อหลายเพลงของคาราบาวนั้นมีเนื้อหาที่ดูแล้วคงไม่เป็นที่น่าปลาบน่าปลื้มกับคนส่วนใหญ่ของประเทศนี้สักเท่าไหร่
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวพันกับประเทศไทยเราอย่างเพลง เจ้าตาก, พระนเรศวรมหาราช, องค์ดำ, บางระจัน หรือจะเป็น นายขนมต้ม รวมไปถึงเพลงที่มีเนื้อหาสนับสนุนคนและชนกลุ่มน้อยที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล ทั้ง ฉานสเตท, กอทูเล, อองซานซูจี รวมถึงอัลบั้ม "รัฐฉาน ตำนานที่โลกลืม" งานเดี่ยวของ "แอ๊ด คาราบาว" (ยืนยง โอภากุล) ในปี 2545 ซึ่งเด่นชัดมาก
ที่สำคัญก็คือ ที่ผ่านมาหัวเรือใหญ่ของคาราบาวคนนี้ถูกทางการพม่าขึ้นแบล็คลิสต์ ห้ามเข้าประเทศ และเพิ่งจะถูกถอนชื่อไปเมื่อช่วงปลายปี 2555 มานี้เอง
นี่จึงเป็นครั้งแรกของคาราบาวนับจากการก่อตั้งวง( 2523) เลยก็ว่าได้ในการได้มาเล่นคอนเสิร์ตที่พม่าอย่างเป็นทางการในกิจกรรมที่มีชื่อว่า ROAD TO SEAGAME ROAD TO MYANMAR เมื่อค่ำคืนวันจันทร์ที่ 21 ตุลาคมที่ผ่านมา ที่ลานกลางแจ้งของศูนย์การค้าที่มีชื่อว่า Junction Square ในนครย่างกุ้ง
สำหรับจุดประสงค์ของการจัดงานเท่าที่มีการสื่อสารออกมาก็คือเป็นการโปรโมตและระดมทุนเพื่อใช้ในการจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมครั้งที่ 27 ช่วงระหว่างวันที่ 11- 22 ธันวาคม 2556 ที่พม่ารับเป็นเจ้าภาพซึ่งในการนี้นอกจากทางมูลนิธิคาราบาวจะได้มอบเงิน 1 ล้านบาทให้กับคณะกรรมการจัดการแข่งขันแล้ว ทางบริษัท คาราบาวตะวันแดง จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มชูกำลัง ภายใต้แบรนด์คาราบาวแดง ก็ยังถือโอกาสเล็งหาลู่ทางที่จะไปตั้งโรงงานผลิต ณ ที่ประเทศนี้อีกด้วย
ในส่วนบรรยากาศของงานนั้นถ้าว่ากันโดยรวมก็คึกคักดีครับ ทั้งการโชว์กีฬาต่างๆ อาทิ มวย, ตะกร้อ ฯ, การเดินแบบของเหล่าสาวงามจากเวที Miss International 2013 ที่เพิ่งมีการประกวดกันไปที่ประเทศญี่ปุ่นโดยมีสาวงามจากพม่าที่มีชื่อว่า Gonyi Aye Kyaw เข้าร่วมด้วย รวมไปถึงการแสดงของดารา-นักร้องของบ้านเขาเหล่านี้ดูจะสร้างความสนุกสนานให้กับชาวพม่าเองทั้งที่เป็นวัยรุ่นและวัยที่จูงลูกเล็กมาชมได้เป็นอย่างดี
แต่ฟินาเล (Finale) ของงานอย่างคาราบาวนั้นถ้าใช้ภาษาวัยรุ่นก็ต้องบอกกันตรงๆ ว่าไม่ฟินอ่ะ
การไม่มีโอกาสเล่นเพลงที่สุ่มเสี่ยงต่อการมีปัญหากับเจ้าบ้านหลายต่อหลายเพลงผมว่าไม่ใช่เหตุผล แต่หลักๆ ก็เป็นเพราะคนพม่าที่ย่างกุ้งนั้นดูเหมือนจะไม่ค่อยจะรู้จักวงรวมทั้งเพลงของวงดนตรีวงนี้จากบ้านเราสักเท่าไหร่
ในจำนวนนั้นที่ยืนยันได้เพราะมีโอกาสคุยกันในช่วงแถลงข่าวก็คือ 2 นักข่าวท้องถิ่น คนนึงมาจาก YANGON MEDIA GROUP LIMITED (FLOWER NEWS) และอีกคนที่ระบุในนามบัตรว่าเป็นซีเนียร์จาก TODAY PUBLISHING HOUSE LTD. ที่ต่างก็ยอมรับว่าไม่รู้จักคาราบาวมาก่อน
แถมในระหว่างให้สัมภาษณ์สื่อพม่าเองยังถามพี่แอ๊ดของเราทำนองว่าในงานนี้วงคาราบาวจะเล่นเป็นวงเปิดหรือวงปิดซะอย่างนั้น
ระหว่างที่คาราบาวขึ้นเล่นซึ่งก็ค่อนข้างจะดึกแล้วนั้น เห็นได้ชัดเลยครับว่าคนทยอยกลับจนบรรยากาศเริ่มจะโหรงเหรงอย่างเห็นได้ชัด
ยังดีครับที่ครั้งนี้สื่อไทยเราไปกันค่อนข้างเยอะ หลายคนสวมบทบาทรับหน้าที่ผู้นำเชียร์ได้เป็นอย่างดีแถมยังมีแฟนเพลงพม่าบางส่วนตีกันก็เลยทำให้บรรยากาศไม่เงียบเงาจนเกินไป
ส่วนจะเป็นเรื่องที่ดีหรือไม่ดีอันนี้ไม่ทราบเหมือนกันครับ
...
แม้จะเป็นช่วงสั้นๆ แต่การได้มีโอกาสมาพม่า(ย่างกุ้ง) ครั้งแรกในครั้งนี้ก็ถือเป็นประสบการณ์เล็กๆ ที่ดีทีเดียวสำหรับชีวิตผมเลยครับ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่จะเล่านับจากนี้ไปเป็นเรื่องของทรรศนะส่วนตัวกับภาพที่ได้มาจากสองตาดูและสองหูที่ได้ยินจากคำบอกเล่าของไกด์ ดังนั้นหากใครจะนำไปเพื่อเป็นอ้างอิงในกรณีใดๆ ผู้เขียนขออนุญาตไม่ขอรับผิดชอบก็แล้วกันนะครับ 555
ปัจจุบันพม่ามีประชากรที่สำรวจได้ราวๆ 60 กว่าล้านคนครับ มีเมืองที่เป็นศูนย์รวมของราชการอย่าง เนปยีดอ เป็นเมืองหลวง, ขณะที่อีก 2 เมืองใหญ่อย่าง ย่างกุ้ง นั้นเป็นเมืองหลวงในเรื่องของเศรษฐกิจ-การค้า และมี มัณฑะเลย์ เป็นเมืองหลวงในเรื่องของประเพณีวัฒนธรรม
คนพม่าเป็นพี่น้องกันหมดเพราะมีแต่ชื่อไม่มีนามสกุล
ใครที่คิดจะไปเที่ยวย่างกุ้งช่วงนี้ร้อนและแดดแรงมากๆ มองแง่หนึ่งก็ถือเป็นการทดสอบแรงศรัทธาและความตั้งใจของเราได้เป็นอย่างดี เพราะในบริเวณวัดซึ่งเป็นสถานที่เที่ยวส่วนใหญ่นั้นไม่อนุญาตให้ใส่รองเท้าเดิน
พม่าขับรถเลนขวาแต่รถพวงมาลัยส่วนใหญ่จะอยู่ด้านขวาเพราะเป็นการนำเข้าจากญี่ปุ่น แต่เห็นว่าอีก 2-3 ปี(ที่ย่างกุ้ง)จะเปลี่ยนมาใช้รถพวงมาลัยซ้ายให้หมด
โสร่ง พม่าเรียกว่า “ลองยี” (Longeje) ผู้ชายเหน็บกลาง ผู้หญิงนุ่งซิ่นเหน็บด้านข้าง ไม่นิยมใช้เข็มขัด และยังคงมีการบังคับให้เด็กๆ นุ่งโสร่งในโรงเรียนไปจนถึงระดับไฮสคูลโดยยังไม่ปรากฏข่าวมีใครออกมาประท้วงเรื่องนี้ว่าล้าหลัง ปิดกั้นอิสระเสรีทางความคิดหรือไม่เป็นประชาธิปไตยแต่อย่างใด
ผู้ชายพม่าชอบจิบชาและเคี้ยวหมาก ไม่นิยมสูบบุหรี่
ดูสารคดีมีข้อมูลบอกว่าแป้งทาหน้าสุดฮิตที่เรียกว่า "ทานาคา" นั้นมีเรื่องของประเพณีความเชื่อเข้ามาผสม ด้วยแต่พอถาม ไกด์บอกเป็นเรื่องแฟชั่นล้วนๆ ลวดลายก็แล้วแต่คนจะวาดแต่งเติมกัน
แล้วที่ใครบอกว่าคนพม่าส่วนใหญ่หน้าใส ไร้สิวฝ้า เพราะใช้แป้งชนิดนี้ อันนี้ต้องมาดูกันเอาเอง
ที่ผ่านมาการซื้อขายของจะใช้เงินสดเท่านั้นเพิ่งจะมีระบบเงินผ่อนเมื่อราวๆ 2 - 3 ปีที่ผ่านมานี้เอง
ที่ย่างกุ้งการจะได้ซิมโทรศัพท์ในราคาถูกจะต้องใช้การจับฉลาก
ในเมืองย่างกุ้งไม่มีแว้นบอย-สก็อยเกิร์ล เพราะที่นี่ห้ามเอามอเตอร์ไซค์เข้ามาขี่
แต่ถ้าเห็นใครขี่มอเตอร์ไซค์นั่นคือตะกวด เอ๊ยตำรวจ
เช่นเดียวกับจักรยานที่จะอนุญาตให้ใช้เฉพาะในตรอย-ซอย ห้ามออกมาถนนใหญ่ (แต่ก็มีให้เห็นบ้าง)
ในย่างกุ้งมีโรงหนัง 2 โรง ราคาตั๋วไล่ไปตั้งแต่ 800/1,000/1,500/2,000 และวีไอพีแบบนั่งสองคนราคาประมาณหมื่นจ๊าด (Kyat) (1 บาท = 25-30 จ๊าด)
หนังที่ฉายมีหลากหลายทั้งฝรั่ง แขก ไทย และ เกาหลี แต่ที่เป็นสถิติในการฉายเป็นประวัติศาสตร์ของพม่าโดยฉายพร้อมกัน 2 โรงด้วยระยะเวลานานเป็นเดือนๆ ก็คือหนังไทยเรื่อง "พี่มาก พระโขนง"
บอกชื่อ "พี่มาก" คนที่ย่างกุ้งจะเข้าใจ แต่ถ้าบอก "มาริโอ้ เมาเร่อ" หลายคนจะทำหน้างงๆ
ที่ย่างกุ้งจะรับความบันเทิงจากเกาหลีมากกว่าประเทศไทย
นักร้อง-นักดนตรีในพม่าส่วนใหญ่จะไม่ค่อยมีใครโดดเด่นกว่าใคร แต่ถ้าเป็นที่นิยมกันในตอนนี้คือวงร็อกที่มีชื่อว่า Iroon Cross Band ที่มีนักร้องนำอยู่ 4 คนด้วยกัน นั่นคือ Ray Phyu, Ah Nge, Myo Gyi และ Wyne Wyne
ถ้าเป็นป็อปร็อกชายที่คนส่วนใหญ่รู้จักรองลงมาก็คือ R.Zarni ส่วนผู้หญิงก็ต้อง Chan Chan และ Phyu Phyu Kyaw Their ในแนวป็อปและร็อก ขณะที่สาขาอาร์แอนด์บี ฝ่ายชายได้แก่ Sai Sai Khan Lang และฝ่ายหญิงได้แก่ Body Soxer
เท่าที่ตาเห็น หูได้ฟัง ในความรู้สึกส่วนตัวของผม พม่าโดยรวมๆ ในตอนนี้ก็เหมือนกับประเทศอย่าง ลาว, เขมร ที่ยังอุดมไปด้วยทรัพยากรทั้งเรื่องของคนตลอดจนธรรมชาติแหล่งพลังงาน
เปรียบไปก็เหมือนกับสาวบริสุทธิ์ ที่มีบรรดาหนุ่มๆ AEC ทั้งหลายซึ่งก็ให้รวมถึงหนุ่มไทยของเราเองด้วยจ้องตาเป็นประกาย ปากมันแผลบ
สาวบริสุทธิ์เหล่านี้ นอกจากจะซื่อ ไม่ทันคนแล้ว ดูเหมือนว่าบรรดาพ่อ-แม่ที่เป็นนักการเมือง, นายทหาร ตลอดจนพ่อค้า-นักธุรกิจ ต่างก็พร้อมที่จะ "ตกเขียว" ลูกสาวตนเองอยู่ตลอดเวลาเพื่อแลกกับความมั่งคั่งในทรัยพ์สมบัติและอำนาจของตนเอง
ที่สำคัญ บรรดาหนุ่มๆ นั้นเดี๋ยวนี้ไม่ได้ทำตัวถึกเถื่อน ขับเรือรบ แบกปืนไฟเข้าไปบังคับเพื่อขืนใจสาวๆ เหมือนแต่ในอดีตกาลก่อนแล้ว แต่เปลี่ยนมาเป็นหนุ่มดูฉลาดมาดเท่ห์ ใส่สูตรผูกไทด์ ปากหวาน ช่างเจรจาพาที นำเอาสิ่งที่เรียกว่าความทันสมัย ชีวิตที่โก้หรู ไปยั่วยวน
สาวคนไหนที่ภูมิต้านต่ำ รู้ไม่เท่า ตามไม่ทัน เห็นดีเห็นงามโดยหารู้ได้ว่าตนเองต้องสูญเสียสิ่งที่มีค่าสำคัญอะไรไปบ้างเพียงเพื่อได้ซึ่งเศษเงินที่บรรดาหนุ่มๆ เหล่านี้โยนให้แต่ทำท่าทางราวกับประเคนด้วยความจริงใจ เห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน
งานนี้แม้แต่ฟังเพลงเพื่อชีวิตก็ช่วยอะไรไม่ได้
เอาเป็นว่าหนุ่มๆ ทั้งหลายก็เพลาๆ ยั้งๆ มือกันหน่อยแล้วกันครับ