ASTVผู้จัดการรายวัน – “เสริมสุข” โว กำไรพุ่ง 600 ล้านบาทปีที่แล้ว ทุบสถิติรอบ 60 ปี ปีนี้ทุ่มงบ 1,100 ล้านบาท ขยายกำลังผลิตทั้งน้ำดื่มและน้ำดำ เข็น”แรงเยอร์” ออกรบตลาดชูกำลังอีกรอบ
นายฐิติวุฒิ์ บุลสุข กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แผนการลงทุนปี 2556 บริษัทจะใช้งบลงทุนมากกว่า 1,100 ล้านบาท เพื่อสร้างความพร้อมในการรุกตลาดเครื่องดื่มและอาหาร ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของเสริมสุขที่มุ่งเน้น 4 เสาหลักธุรกิจ ด้วยการขยายสายการผลิตเครื่องดื่มใหม่ 2 สาย เพิ่มกำลังผลิตทั้งกลุ่มน้ำดื่ม 25% และน้ำอัดลมขวดเพ็ท 30% ซึ่งปัจจุบันแบรนด์เอสมีแชร์ 19%, การพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตและซัพพลายเชน ซึ่งมีทั้งหมด 5 โรงงานที่ปทุมธานี ชลบุรี นครสวรรค์ สุราษฎร์ธานี นครราชสีมา, การลงทุนด้านการขายและจัดจำหน่าย, การเดินหน้าเต็มพอร์ทโฟลิโอสินค้า
ล่าสุดบริษัทเปิดตัวเครื่องดื่มชูกำลังแรงเยอร์ ที่นำกลับมาทำตลาดใหม่หลังจากสิ้นปีที่แล้วได้ซื้อกิจการนี้เข้ามาในพอร์ตของบริษัท โดยได้ปรับใหม่ทั้งรสชาติ ตำแหน่งสินค้าที่เจาะคนรุ่นใหม่ ราคา 10 บาท ขนาด 150 ม.ล. ใช้งบการตลาดปีนี้ 100 ล้านบาท ทำตลาดแบบ360องศา เช่นมีสาวแรงเยอร์โรดโชว์ทั่วประเทศ ปีนี้จะแจกสินค้าทดลองดื่ม 1 ล้านขวด ล่าสุดออกโปรโมชั่น 5ฝาแรงเยอร์แลก 1 ขวดฟรี ตั้งเป้ายอดขายปีแรกไว้ประมาณ 15 ล้านขวดต่อเดือน คาดหวังแชร์ปีแรก 5% จากเดิมในอดีตแชร์ไม่ถึง 1%
ทั้งนี้ตลาดเครื่องดื่มชูกำลังมีมูลค่าประมาณ 20,000 ล้านบาท เติบโต 11% แต่คาดว่าปีนี้ตลาดรวมจะเติบโต 15% เพราะแรงเยอร์เข้าตลาดใหม่ทำให้ตลาดคึกคักขึ้นมาอีก โดยผู้นำตลาด คือ เอ็ม150 แชร์ 48% อันดับสองคือคาราบาวแดงแชร์ 18% และอันดับสามคือ กระทิงแดง 16% ซึ่งอันดับสองกับสามจะสลับกันไปมา
“เสริมสุขมีประสบการณ์ทำตลาดเครื่องดื่มชูกำลังมาแล้วมากกว่า 28 ปี ตั้งแต่ทำตลาดเอ็ม150 กว่า 17 ปี และคาราบาวแดงอีก 10 ปี จนเป็นที่1และที่2ในตลาด ตอนนั้นเราขายคาราบาวแดงได้ประมาณ 30 ล้านขวดต่อเดือน คิดว่าตอนนี้อีก 3 ปีคงจะขายแรงเยอร์ได้ 30 ล้านขวดต่อเดือน”
ขณะที่แรงเยอร์ยังมีสินค้าเครื่องดื่มในเครืออีก เช่น กาแฟกระป๋องแบล็คอัพ น้ำเกลือแร่เพาเวอร์พลัส เป็นต้น ซึ่งจะทยอยนำออกมาทำตลาดใหม่จากนี้
นายฐิติวุฒิ์กล่าวว่า ปีที่แล้วเสริมสุขมีรายได้รวมประมาณ 23,200 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% หรือประมาณ 1,545 ล้านบาท และมีกำไรประมาณ 600 กว่าล้านบาท เพิ่มขึ้น 990% มากที่สุดในรอบ 60 ปี ซึ่งมากกว่าปกติที่กำไรเฉลี่ย 200-300 ล้านบาทต่อปีเท่านั้น ซึ่งปีนี้ตั้งเป้ารายได้รวมไว้ที่ 16,000 ล้านบาท เนื่องจากรายได้จากน้ำดำแบรนด์เป๊ปซี่ไม่มี เพราะเพิ่งเริ่มทำตลาดแบรนด์เอสของตัวเอง โดยแบ่งสัดส่วนรายได้จากน้ำดำ 50% จากเดิม 70% และรายได้จากเครื่องดื่มอื่น 50%
ส่วนนโยบายขยายกลุ่มอาหารขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการ ซึ่งเปิดกว้างขึ้นอยู่กับการสรุปการเจรจา อาจจะเป็นไปได้ที่เสริมสุขเจรจาเองกับสินค้าไม่ หรือการโยกจากบริษัทในเครือมาให้เสริมสุขดูแล
นายฐิติวุฒิ์ บุลสุข กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แผนการลงทุนปี 2556 บริษัทจะใช้งบลงทุนมากกว่า 1,100 ล้านบาท เพื่อสร้างความพร้อมในการรุกตลาดเครื่องดื่มและอาหาร ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของเสริมสุขที่มุ่งเน้น 4 เสาหลักธุรกิจ ด้วยการขยายสายการผลิตเครื่องดื่มใหม่ 2 สาย เพิ่มกำลังผลิตทั้งกลุ่มน้ำดื่ม 25% และน้ำอัดลมขวดเพ็ท 30% ซึ่งปัจจุบันแบรนด์เอสมีแชร์ 19%, การพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตและซัพพลายเชน ซึ่งมีทั้งหมด 5 โรงงานที่ปทุมธานี ชลบุรี นครสวรรค์ สุราษฎร์ธานี นครราชสีมา, การลงทุนด้านการขายและจัดจำหน่าย, การเดินหน้าเต็มพอร์ทโฟลิโอสินค้า
ล่าสุดบริษัทเปิดตัวเครื่องดื่มชูกำลังแรงเยอร์ ที่นำกลับมาทำตลาดใหม่หลังจากสิ้นปีที่แล้วได้ซื้อกิจการนี้เข้ามาในพอร์ตของบริษัท โดยได้ปรับใหม่ทั้งรสชาติ ตำแหน่งสินค้าที่เจาะคนรุ่นใหม่ ราคา 10 บาท ขนาด 150 ม.ล. ใช้งบการตลาดปีนี้ 100 ล้านบาท ทำตลาดแบบ360องศา เช่นมีสาวแรงเยอร์โรดโชว์ทั่วประเทศ ปีนี้จะแจกสินค้าทดลองดื่ม 1 ล้านขวด ล่าสุดออกโปรโมชั่น 5ฝาแรงเยอร์แลก 1 ขวดฟรี ตั้งเป้ายอดขายปีแรกไว้ประมาณ 15 ล้านขวดต่อเดือน คาดหวังแชร์ปีแรก 5% จากเดิมในอดีตแชร์ไม่ถึง 1%
ทั้งนี้ตลาดเครื่องดื่มชูกำลังมีมูลค่าประมาณ 20,000 ล้านบาท เติบโต 11% แต่คาดว่าปีนี้ตลาดรวมจะเติบโต 15% เพราะแรงเยอร์เข้าตลาดใหม่ทำให้ตลาดคึกคักขึ้นมาอีก โดยผู้นำตลาด คือ เอ็ม150 แชร์ 48% อันดับสองคือคาราบาวแดงแชร์ 18% และอันดับสามคือ กระทิงแดง 16% ซึ่งอันดับสองกับสามจะสลับกันไปมา
“เสริมสุขมีประสบการณ์ทำตลาดเครื่องดื่มชูกำลังมาแล้วมากกว่า 28 ปี ตั้งแต่ทำตลาดเอ็ม150 กว่า 17 ปี และคาราบาวแดงอีก 10 ปี จนเป็นที่1และที่2ในตลาด ตอนนั้นเราขายคาราบาวแดงได้ประมาณ 30 ล้านขวดต่อเดือน คิดว่าตอนนี้อีก 3 ปีคงจะขายแรงเยอร์ได้ 30 ล้านขวดต่อเดือน”
ขณะที่แรงเยอร์ยังมีสินค้าเครื่องดื่มในเครืออีก เช่น กาแฟกระป๋องแบล็คอัพ น้ำเกลือแร่เพาเวอร์พลัส เป็นต้น ซึ่งจะทยอยนำออกมาทำตลาดใหม่จากนี้
นายฐิติวุฒิ์กล่าวว่า ปีที่แล้วเสริมสุขมีรายได้รวมประมาณ 23,200 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% หรือประมาณ 1,545 ล้านบาท และมีกำไรประมาณ 600 กว่าล้านบาท เพิ่มขึ้น 990% มากที่สุดในรอบ 60 ปี ซึ่งมากกว่าปกติที่กำไรเฉลี่ย 200-300 ล้านบาทต่อปีเท่านั้น ซึ่งปีนี้ตั้งเป้ารายได้รวมไว้ที่ 16,000 ล้านบาท เนื่องจากรายได้จากน้ำดำแบรนด์เป๊ปซี่ไม่มี เพราะเพิ่งเริ่มทำตลาดแบรนด์เอสของตัวเอง โดยแบ่งสัดส่วนรายได้จากน้ำดำ 50% จากเดิม 70% และรายได้จากเครื่องดื่มอื่น 50%
ส่วนนโยบายขยายกลุ่มอาหารขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการ ซึ่งเปิดกว้างขึ้นอยู่กับการสรุปการเจรจา อาจจะเป็นไปได้ที่เสริมสุขเจรจาเองกับสินค้าไม่ หรือการโยกจากบริษัทในเครือมาให้เสริมสุขดูแล