เอาช้างมาฉุดก็ไม่อยู่แล้วสำหรับพระเอกนักบู๊ชื่อดัง "จา พนม ยีรัมย์" ที่แม้จะเกิดเรื่องวุ่นๆ กับเขามากมาย ทั้งกรณีสัญญาทาสกับบริษัทต้นสังกัด "สหมงคลฟิล์ม" ที่เรื่องราวรุนแรงดุเดือดถึงขนาด "เสี่ยเจียง สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ" ออกมาประกาศแตกหักกับจาทั้งๆ ที่เคยอุ้มชูดูแลเหมือนลูกชาย หลังจากรู้ว่าจาเซ็นสัญญารับเล่นหนังแอ็กชันภาคต่อที่ดังที่สุดของฮอลลีวูด "Fast and Furious 7” นำไปสู่ปมปัญหาเรื่องสัญญาที่ไม่เป็นธรรมซึ่งค่อยๆ เผยให้สังคมได้รับรู้
ไหนจะปัญหาเรื้อรังภายในครอบครัวของจา ที่ญาติพี่น้องรวมทั้งพ่อและแม่แท้ๆ ของจาออกมาประกาศตามตัวจาให้กลับบ้านแบบมีนัย ทั้งที่ตอนแรกอ้างเรื่องพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ที่ครอบครัวปฏิบัติมาช้านาน แต่ภายหลังก็เผยให้เห็นว่าสาเหตุที่แท้จริงอยู่ที่เรื่องเงินๆ ทองๆ เพราะน้องเขย "โจ" ออกมาประกาศฟ้องเรียกเงินจำนวนกว่า 10 ล้านบาทหลังจากที่จาถอนตัวออกจากบริษัทไอยรา ฟิล์ม ที่จาเป็นคนช่วยก่อตั้งให้โจและน้องสาวของเขาบริหาร แต่เมื่อเห็นว่าทั้งสองตั้งใจจะเกาะมากกว่าจะทำงานหาเลี้ยงชีพด้วยตัวเองจาจึงถอนหุ้นออกมาแล้วตั้งหน้าตั้งตาทำงานคนเดียว
ตลอดเวลาที่เกิดเรื่องทั้งกับสหมงคลฟิล์มและกับครอบครัว จาไม่เคยออกมาแถลงข่าวพูดถึงเลย ส่วนหนึ่งเพราะเรื่องนี้ละเอียดอ่อน ฝ่ายหนึ่งคือบริษัทที่แจ้งเกิดให้กับเขาซึ่งถือว่ามีบุญคุณต่อจาไม่น้อย ส่วนอีกฝ่ายก็เป็นพ่อแม่บังเกิดเกล้ากับญาติพี่น้อง ทุกคนมีบุญคุณกับจา ซึ่งคนอย่างจาไม่มีทางออกมาประกาศแตกหักหรือฟ้องร้องเอาความกับทั้งสองฝ่ายอย่างแน่นอน
แต่การนิ่งเฉยต่อปัญหาก็ไม่ได้หมายความว่าจาจะไม่เดินหน้าต่อ เขาตัดสินใจรับเล่นหนัง Fast and Furious ภาค 7 ซึ่งถือว่าเป็นหนังแอ็กชันภาคต่อที่ดังที่สุดของฮอลลีวูดในขณะนี้แล้ว แม้ว่าในตอนแรกเจ้าของลิขสิทธิ์หนัง Fast จะยังไม่เห็นทิศทางของหนังแฟรนไชส์ภาคต่อเรื่องนี้เท่าไหร่ แต่หลังจากเดินหน้าทำมาจนถึงภาคที่ 5 ซึ่งได้สุดยอดนักมวยปล้ำอย่าง เดอะ ร็อค มาร่วมแสดง ก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าอนาคตสำหรับหนังแอ็กชั่นภาคต่อเรื่องนี้สดใสและยาวไกลมากเลยทีเดียว โดยในแต่ละครั้งที่หนัง Fast แต่ละภาคเข้าฉายก็โกยรายได้ไปไม่เคยต่ำกว่า 500 ล้านเหรียญเลยทีเดียว
การรับเล่นหนังเรื่องนี้จึงถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ดีสำหรับจา แม้หลายคนจะกังวลว่าจาจะได้รับบทที่ไม่เด่น ไม่สมราคาพระเอกนักบู๊ชื่อดังของเอเชีย แต่เซียนหนังหลายคนก็การันตีว่าระดับจาไม่มีทางได้บทที่ไม่เด่น เพราะชื่อชั้นของจาในสหรัฐอเมริกาถือว่าดังพอสมควร หนังต้มยำกุ้งภาคแรกที่เข้าฉายในอเมริกาทำเงินไปได้ถึง 11 ล้านเหรียญ ซึ่งถือว่ามากเลยทีเดียวสำหรับหนังจากเอเชียที่สามารถแหวกหนังฟอร์มยักษ์ของฮอลลีวูดไปทำเงินได้ในระดับนี้
ชื่อของจา พนม ติดปากติดหูคอหนังมาร์เชียล อาร์ทในอเมริกาได้ในเวลาไม่นาน เพราะความสามารถของจาที่ถูกนำเสนอออกสู่สายตาชาวโลกทำให้เขาได้รับการทาบทามจากค่ายหนังของฮอลลีวูดให้ไปร่วมงานด้วยมาแล้วหลายครั้ง โดยเฉพาะหนังแอ็กชัน คอมเมดี้ อย่าง Rush Hour ของเฉินหลงที่เคยติดต่อจาผ่านมาทางสหมงคลฟิล์ม ว่ากันว่าตอนนั้นเสี่ยเจียงเป็นคนตอบปฏิเสธไม่ให้จาร่วมแสดงหนังเรื่องนั้นโดยที่จาไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน เช่นเดียวกับกรณี Fast 7 ที่เสี่ยเจียงก็ออกมาเปรยว่าถ้ารับบทเป็นตัวร้ายหรือบทที่ไม่เด่นจริงๆ เขาก็ไม่สนับสนุนให้จาเล่น ไม่ว่าจะเป็นหนังดังระดับไหนก็ตาม
สำหรับเรื่องนี้แฟนหนังหลายคนก็ออกมาค้านเสี่ยเจียงว่า แม้จะเป็นบทตัวร้ายแต่ก็สามารถทำให้จา พนมแจ้งเกิดในระดับสากลได้ เพราะนักแสดงบู๊ชาวเอเชียอย่าง "เจ็ท ลี" ก็เริ่มต้นชีวิตในระดับฮอลลีวูดด้วยบทตัวร้ายในหนังแอ็กชันภาคต่อ Lethal Weapon 4 ที่ “เมล กิบสัน” แสดงนำเช่นเดียวกัน ซึ่งต่อมาเจ็ท ลีก็ได้รับบทพระเอกในหนังแอ็กชันของฮอลลีวูดที่ออกตามมาอีกหลายเรื่อง ฉะนั้นการเริ่มต้นด้วยบทตัวร้ายในหนังเรื่องแรกระดับฮอลลีวูดจึงไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอย่างที่เสี่ยเจียงเอ่ยอ้าง
เสี่ยเจียงออกมาประกาศกร้าวพร้อมกับโชว์หนังสือสัญญาระหว่างจากับสหมงคลฟิล์มที่เพิ่งได้รับการต่อโดยอัตโนมัติว่าถ้าจารับเล่นหนัง Fast and Furious 7 เมื่อไหร่เขาจะฟ้องจาทันที
แต่เวลาผ่านไปไม่นาน จาก็ปล่อยภาพแรกที่เขาถ่ายคู่กับ "เจสัน สเตธัม" ดาราบู๊ชื่อดังของฮอลลีวูดที่มาแสดงภาพยนตร์ Fast and Furious 7 ในบทตัวร้ายสุดเก๋าที่ต้องปะทะกับวิน ดีเซลและเดอะ ร็อค เรียกเสียงฮือฮาให้แฟนๆ ภาพยนตร์ที่ตามลุ้นตามเชียร์ให้จาโกอินเตอร์ได้สำเร็จท่ามกลางอุปสรรคมากมาย ไม่เพียงเท่านั้นจายังโพสต์ภาพตัวเองยืนหันหลังสวมเสื้อ Fast and Furious 7 สีเขียวโชว์ให้เห็นชื่อหนังเต็มๆ ตา ซึ่งภาพเหล่านี้คงเป็นภาพแสลงตาสำหรับเสี่ยเจียงและสหมงคลฟิล์มมากเลยทีเดียว
แต่ก็คงมีเพียงเสี่ยเจียง สหมงคลฟิล์ม และญาติพี่น้องของจาที่เป็นเดือดเป็นร้อนเมื่อภาพนี้ถูกเผยแพร่ออกสู่สาธารณะ เพราะคนอื่นๆ ที่ติดตามผลงานของจาล้วนพากันออกอาการสมใจที่ได้รู้ว่าดาราขวัญใจของพวกเขาได้โกอินเตอร์จริงๆ แบบนี้
บทบาทที่จาได้รับในเรื่องนี้ยังไม่ได้รับการเปิดเผยอย่างชัดเจน เพราะค่ายหนังยังไม่ได้มีการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ แม้จะเปิดกล้องถ่ายทำกันมาแล้วเกือบเดือน โดยจาเพิ่งได้เข้าถ่ายทำในซีนใหญ่ไปเมื่อไม่กี่วันก่อน โดยข้อมูลที่เกี่ยวกับจาเท่าที่รู้ในตอนนี้มีเพียงแค่เขาได้รับบทที่มีชื่อว่า jaaski ซึ่งสันนิษฐานกันว่าเป็นหนึ่งในทีมเดียวกับเจสัน ที่มารับบทน้องชายของตัวร้ายในภาคที่ 6 ซึ่งทั้งเจสันและจาก็น่าจะเป็นผู้ร้ายประจำเรื่องที่ต้องมาห้ำหั่นกับวิน ดีเซลและเดอะ ร็อค นั่นเอง
แม้จะยังไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับคาแร็กเตอร์ที่ชัดเจนของจา แต่ถ้าดูจากภาพที่เขาสื่อสารออกมาให้แฟนเพจ officialtonyjaa ได้เห็นก็คือหนุ่มนักบู๊ที่เต็มไปด้วยพลังและอารมณ์ขันแบบเพี้ยนๆ ซึ่งน่าจะเป็นคาแร็กเตอร์ที่เข้าขากันดีกับเจสันที่มักจะรับบทบู๊แบบบ้าระห่ำถึงขั้นเพี้ยนมาโดยตลอด ถึงอย่างไรก็ยังมีคนจับตามองว่าจาอาจจะได้รับบทลูกสมุนในระดับลูกกะจ๊อกของเจสันคล้ายๆ กับที่ดาราอินโดนีเซียคนหนึ่งเคยแสดงไว้ใน Fast and Furious ภาคก่อน ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นบรรดาแฟนคลับจาก็คงจะผิดหวังพอสมควรเลยทีเดียว เพราะเป็นบทที่ไม่โดดเด่นและไม่มีอะไรให้จดจำเลย แต่หลายคนก็เห็นว่าด้วยความสามารถเฉพาะตัวของจาที่โดดเด่นและทีมงานฮอลลีวูดก็รู้ในเรื่องนี้ดีน่าจะทำให้เขาได้บทที่ได้แสดงทักษะทางด้านการต่อสู้อย่างแน่นอน
ถึงนาทีนี้ เส้นทางการแสดงในฮอลลีวูดของจาจะรุ่งโรจน์หรือร่วงลับก็คงขึ้นอยู่กับตัวของจาเอง ลำพังแอ็กติ้งการแสดงของจานั้นยังไม่เพียงพอที่จะทำให้เขาได้รับบทที่หลากหลาย ลำพังแค่แสดงภาพยนตร์ในประเทศก็ยังย่ำเดินอยู่ในบทที่ไม่ต่างไปจากเดิม นั่นคือตัวละครที่พูดน้อยต่อยหนัก และไม่คิดอะไรมากนอกจากบู๊ไปวันๆ ไม่เพียงแค่แอ็กติ้งในการแสดงที่จาต้องพัฒนาหากต้องการประสบความสำเร็จในระดับสากล แต่ความสามารถในการพูดภาษาอังกฤษก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่เขาต้องเร่งฝึกฝนเพิ่มเติม เพราะหากดูจากคลิปการแนะนำตัวที่เขาเพิ่งโพสต์ในแฟนเพจ ที่เขาออกมาทักทายแฟนๆ ด้วยภาษาอังกฤษที่บอกว่าเขากำลังอยู่ในแอตเลนตาซึ่งเป็นเพียงคำพูดสั้นๆ ที่ไม่ได้บ่งบอกสกิลการพูดภาษาอังกฤษที่อยู่ในระดับที่ดีพอจะรับบทที่หลากหลายมากกว่าที่ผ่านมาแต่อย่างใด
ต้องบอกว่าแม้จาจะเสียเวลามานาน แต่ก็ยังไม่ถือว่าสายเกินไปหากจะเจิดจรัสในวงการภาพยนตร์ระดับสากล เพราะที่ผ่านมา ดาราชื่อดังอย่าง ดอนนี่ เยน ก็เริ่มกรุยทางในระดับสากลตอนที่เขาอายุ 40 ปี ถ้าเทียบกับอายุ 37 ปีของจาในตอนนี้ก็ต้องถือว่ายังไม่สายจนเกินไปนักถ้าจะเริ่มต้นจริงๆ
สำหรับภาพยนตร์ Fast and Furious ภาคที่ 7 เป็นผลงานการกำกับของผู้กำกับชาวมาเลเซีย ที่มีผลงานกำกับหนังผี หนังสยองขวัญมาโดยตลอด ทำให้หลายต่อหลายคนกังวลว่าเขาจะนำหนัง Fast ไปสู่ทิศทางไหน แต่หลังจากที่หนังเรื่อง The Conjuring ที่เจมส์กำกับประสบความสำเร็จอย่างสูง ทำให้หลายคนเริ่มคลายกังวลและเชื่อใจเขามากขึ้น ประกอบกับหนังภาคนี้ได้ดารานำระดับแม่เหล็กกลับมาร่วมงานมากมาย ไม่ว่าจะเป็น วิน ดีเซล, เดอะ ร็อค, พอล วอล์คเกอร์ แถมภาคนี้ยังได้ เจสัน สเตธัม มาร่วมแสดง บวกกับ ดารารุ่นเก๋าอย่าง เคิร์ต รัสเซล มาร่วมแสดงด้วย สำหรับกำหนดการลงโรงฉายนั้นคาดการณ์กันว่าจะอยู่ในช่วงเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2557
...................................................
ที่มานิตยสาร ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 210 วันที่12-18 ตุลาคม 2556