วุ่นวายไม่จบไม่สิ้นสำหรับนักแสดงหนุ่มจอมบู๊ “จา พนม ยีรัมย์” ที่ระยะหลังมีข่าวเพลียหัวใจออกมาไม่หยุดหย่อน เริ่มตั้งแต่เรื่องราววุ่นๆ ภายในครอบครัวที่ผู้เป็นพ่อต้องการให้จากลับบ้านไปไหว้ปะกำช้างซึ่งเป็นพิธีกรรมประจำตระกูล แต่จาติดงานจึงเดินทางกลับบ้านไปร่วมทำพิธีไม่ได้ นำไปสู่การออกมาบู๊นอกจอของพ่อหนุ่มจาที่อ้างว่าป่วยหนักในเวลาต่อมาจนเกิดกรณี “เท้าดีด” ใส่ลูกชายสุดที่รัก
หลังจากนั้นไม่นานก็เกิดกรณี “สัญญาทาส” ระหว่างจากับสหมงคลฟิล์มในช่วงเดือนที่ผ่านมา กลิ่นสัญญาทาสยังไม่ทันจางหายก็เกิดเรื่องใหม่ขึ้นกับจา เมื่อ “บุ้งกี๋” ภรรยาของจาออกมาแฉว่าเธอและจาถูก “โจ” น้องเขยจา และพ่อของจากับพรรคพวกจำนวนหนึ่งรุมทำร้าย โดยมีเป้าหมายคือต้องการจะพาตัวจาให้กลับบ้าน ฝั่งน้องเขยกับพ่ออ้างว่าแค่คิดถึงและอยากให้กลับบ้าน แต่พฤติกรรมการตามล่าตามล้างที่ดุเดือดเลือดพล่านทำให้หลายคนที่ติดตามข่าวพุ่งเป้าไปที่ผลประโยชน์มหาศาลที่คนในตระกูลยีรัมย์จะได้จากตัวจา สุดท้าย “โจ” น้องเขยจาก็ออกมาฟ้องจาเรียกร้องส่วนแบ่งจากหนังองค์บากเป็นจำนวนเงิน 10 ล้านบาทแล้ว
มหากาพย์ตระกูลยีรัมย์ดูท่าจะไม่จบลงง่ายๆ เมื่อฝั่งพ่อจาที่นำโดย “โจ ธรัช ศุภโชคไพศาล” น้องเขยของจายังคงมุ่งมั่นตามล่าตามล้างที่จะนำตัวจากลับบ้านให้ได้ โดยบอกเหตุผลที่ต้องตามตัวจากลับบ้านว่าต้องการให้จากลับไปทำพิธีไหว้ปะกำช้างซึ่งเป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์ที่จาไม่ได้เข้าร่วมมาสองปีแล้ว ส่วนทางด้านโจก็แย้มพูดถึงผลประโยชน์ที่ตัวเองต้องได้จากการทำหนังองค์บากซึ่งเขาบอกว่าจาถอนหุ้นออกไปนานแล้วแต่กลับเซ็นรับเงินทั้งหมดไปแต่เพียงผู้เดียว และนั่นเป็นเหตุให้เขาต้องเดินหน้าฟ้องเพื่อเอาเงินจำนวน 10 ล้านคืน
“ถ้าตามหลักฐานของไอยราฯเขาไม่มีสิทธิ์รับ เพราะคุณจาเขารับในส่วนของค่าตัวไปแล้ว แต่ในเรื่องของส่วนแบ่งมันเป็นส่วนของไอยราฯที่ต้องแบ่งกัน แล้วจาเขาไปรับเองเสียก้อนหนึ่ง 10 ล้าน เราก็ต้องการความถูกต้อง จะฟ้องแพ่งฟ้องอาญาอะไรก็ว่ามา” โจบอก
ก่อนหน้านี้ ทางด้านของ “บุ้งกี๋ ปิยรัตน์ โชติวัฒนานนท์” ภรรยาของจาที่ออกมาแฉว่าถูกทำร้ายร่างกายโดยโจ พ่อของจา และชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งที่มาฉุดพาตัวจากลับบ้าน โดยบุ้งกี๋โชว์บาดแผลและร่องรอยที่ถูกโจและชายฉกรรจ์ทำร้ายทั้งบริเวณแขน เบ้าตา และตามเนื้อตัวอื่นๆ ให้ ASTV ผู้จัดการ ดูพร้อมกับบรรยายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยละเอียดว่าเธอกับจาถูกโจและพรรคพวกขับรถมาชนท้ายในขณะที่กำลังจอดรอรับน้องชายของบุ้งกี๋อยู่บริเวณโรงเรียน ก่อนที่ฝ่ายโจจะเปิดฉากเข้ามาทำร้ายร่างกายเธอและฉุดพาตัวจาขึ้นรถ แต่จาก็ดิ้นรนต่อสู้ทำให้ฝ่ายโจปฏิบัติการไม่สำเร็จ
“เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ถูกเขาทำร้าย อย่างแรกเลยนะเสียใจเพราะเขาเป็นพ่อเป็นแม่เป็นพี่เป็นน้องเขาจะไม่รับเราเป็นลูกสะใภ้เราไม่ว่า เขาจะเอาลูกกลับบ้านไม่ว่าจะด้วยเหตุผลเรื่องเงินหรือเรื่องอื่น แต่ที่คุณต้องการมันไม่น่าทำกันขนาดนี้ มันไม่น่าทำกันแบบนี้ เป็นผู้ใหญ่ด้วย เป็นผู้ชายทุกคน แต่คุณทำเราแบบนี้แล้วเราเป็นผู้หญิงคนเดียวถูกคุณรุมแบบนี้ คุณมาทำร้ายเราเป็นผู้หญิงเราสู้แรงเขาไม่ได้อยู่แล้ว” บุ้งกี๋เล่า
หลังจากที่บุ้งกี๋เดินทางไปแจ้งความว่าถูกทำร้ายร่างกายได้ไม่นาน ฝั่งโจก็พาพ่อและแม่ของจาไปแจ้งความว่าถูกบุ้งกี๋ทำร้ายร่างกาย พร้อมทั้งเล่าเหตุการณ์ในวันนั้นชนิดหนังคนละม้วนกันกับที่บุ้งกี๋เล่าโดยสิ้นเชิง
ในขณะที่บุ้งกี๋บอกว่าโจเป็นฝ่ายขับรถมาชนท้าย และพอเธอลงจากรถมาเพื่อเจรจา บุ้งกี๋กลับพบว่าคนที่ขับรถมาชนคือโจ เมื่อเห็นดังนั้นบุ้งกี๋ก็รีบผลักประตูรถของโจเพื่อปิดแล้วจะวิ่งหนีเพราะรู้ตัวว่าต้องถูกทำร้ายร่างกายแน่นอน หลังจากนั้นไม่นานโจก็เข้ามาจับตัวบุ้งกี๋ ส่วนพ่อของจากับชายฉกรรจ์อีกสองคนก็ตรงเข้าไปจับตัวจาแล้วลากถูลู่ถูกังให้มาขึ้นรถ เป็นเหตุให้บุ้งกี๋ถูกโจทำร้ายจนเป็นแผลตามตัว
ส่วนโจเล่าว่าในวันเกิดเหตุเขาลงมาเจรจากับจา และจาเองก็ยอมเดินตามเขาไปขึ้นรถเพื่อกลับบ้านแล้ว แต่บุ้งกี๋เป็นคนวิ่งมากอดขาจาเอาไว้ ก่อนจะผลักพ่อของจาจนกระเด็นลงไปกอดขาจา ส่วนตัวเป็นมีอาการเลือดออกในสมองจนอาจจะต้องผ่าตัดซึ่งก็คงจะไม่สามารถไปต่อสู้ใครได้ สำหรับเหตุการณ์ในวันนั้นโจยืนยันว่าบุ้งกี๋กับจาเป็นคนทำร้ายพ่อ แม่ และตัวเขาไม่ใช่เขาที่ทำร้ายบุ้งกี๋อย่างที่อีกฝ่ายกล่าวหาแน่นอน
พิจารณาจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นก็ยากจะเชื่อว่าสาเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องราวชุลมุนเช่นนี้ขึ้นไม่เกี่ยวกับเงิน เพราะนับตั้งแต่เกิดเรื่องตามตัวจาให้กลับบ้าน สังคมก็จับตามองเรื่องรายได้มหาศาลที่จาสร้างได้นับตั้งแต่เข้าวงการมา ฝ่ายพ่อกับแม่ของจาที่ใช้ชีวิตอยู่ที่จังหวัดสุรินทร์ จาก็ปลูกบ้านใหม่ให้และส่งเสียเงินเลี้ยงดูทุกเดือนไม่เคยขาด แต่กับญาติพี่น้องคนอื่นๆ โดยเฉพาะโจ สามีของ “แวว” น้องสาวแท้ๆ ของจาที่เจรจาธุรกิจกับจาจนลงตัวกลายเป็นบริษัทไอยรา ฟิล์มที่โจกับแววเป็นผู้บริหาร ภายใต้การร่วมทุนและผลักดันอย่างสุดตัวจากจา ซึ่งที่ผ่านมาไอยรา ฟิล์ม ก็มีผลงานคือหนังองค์บากภาคสองและภาคสามออกสู่ตลาด ซึ่งทั้งสองเรื่องก็ทำรายได้ในระดับหนึ่งแม้จะไม่เปรี้ยงปร้างอย่างที่องค์บากภาคหนึ่งกับต้มยำกุ้งเคยทำเอาไว้
สุดท้ายจาก็ต้องขอถอนหุ้นจากบริษัทไอยราฟิล์ม คนใกล้ตัวบอกว่าจาทนไม่ได้ที่เขาเป็นคนทำงานฝ่ายเดียว ทั้งแสดงเอง เขียนบท และกำกับ แต่โจกับแววในฐานะผู้บริหารกลับไม่ลงมาทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันแถมยังขอส่วนแบ่งในปริมาณมากถ้าเทียบกับการลงทุน ลงแรง ท้ายที่สุดจาจำใจถอนตัวจากไอยรา ฟิล์ม ออกมาทำงานเองไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร ไม่ว่าจะเป็นญาติพี่น้องที่จ้องหรือต้นสังกัดอย่าง “สหมงคลฟิล์ม” ที่บังคับต่อสัญญาทาสกับจาไปเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา
ท่ามกลางความวุ่นวายที่เกิดขึ้น จาเลือกที่จะอยู่นิ่งๆ ไม่ตอบโต้ ไม่ออกมาตั้งโต๊ะแถลงข่าวหรือให้สัมภาษณ์ใดๆเขาเพียงแค่ทำงานในส่วนของตัวเองไปเรื่อยๆ ปล่อยให้ญาติพี่น้องออกมาตั้งโต๊ะแถลงข่าวจะฟ้องร้องดำเนินคดี มีภรรยาอย่าง “บุ้งกี๋” ที่ออกมาเปิดเผยเรื่องถูกทำร้ายร่างกาย หลังจากที่ฝั่งของจารวมทั้งภรรยานิ่งเงียบอยู่นาน
ไม่ว่าเหตุผลที่แท้จริงในการพยายามพาตัวจากลับบ้านคืออะไร แต่ภาพที่ครอบครัวยีรัมย์แสดงออกมานั้นก็ทำให้คนที่ติดตามข่าวรู้สึกไม่ดี “จา พนม” คือนักแสดงที่มีฝีมือดีจนฮอลลีวูดยังทาบทามให้ไปร่วมงาน อีกทั้งเจ้าตัวก็อายุอานามไม่น้อยแล้ว แต่งงานออกเหย้าออกเรือนไปมีครอบครัวเป็นของตัวเองแล้ว การที่พ่อกับแม่ซึ่งหลายคนมองว่าถูกปั่นหัวจากโจ น้องเขยอีกทีเข้ามายุ่งเกี่ยวขนาดนี้ย่อมไม่เป็นผลดีแน่นอน เพราะส่วนตัวจาก็ดูแลส่งเสียเงินทองให้พ่อและแม่มาโดยตลอดไม่เคยขาด ยิ่งพ่อ แม่ น้องสาว และน้องเขยดิ้นรนอยากได้อะไรเพิ่มเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้สังคมภายนอกมองว่า “ได้คืบจะเอาศอก”
และนั่นก็นำไปสู่เสียงเชียร์ให้จา “โก อินเตอร์” อย่างแท้จริง หอบลูกหอบเมียไปอยู่ต่างประเทศให้รู้แล้วรู้รอด เพราะจาจะได้ทำงานอย่างเต็มที่ไม่ต้องกังวลกับปัญหาญาติพี่น้องแบบนี้ ส่วนเรื่องเนรคุณก็ไม่ต้องกังวลว่าใครจะครหา เพียงแค่จาส่งเงินมาเจือจุนพ่อกับแม่อย่างสม่ำเสมอ และพบปะพูดคุยกับพ่อและแม่ในวาระโอกาสที่เหมาะสมบ้าง เพียงเท่านั้นศึกตระกูลยีรัมย์ที่ยืดเยื้อเรื้อรังมายาวนานก็คงจะจบลงอย่างแฮปปี้เอ็นดิ้งสักที
.......................................................................
ที่มานิตยสาร ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 209 วันที่ 5 - 11 ตุลาคม 2556