xs
xsm
sm
md
lg

“แม่ยาย” มาเอง เปิดสัญญา “จา-สหฯ” ให้ดูจะๆ จริงหรือไม่ได้ผลตอบแทนมหาศาล

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“แม่ยายจาพนม” มาเอง เปิดสัญญาที่เซ็นกับ “สหมงคล” เมื่อ 10 ปีที่แล้วให้ดูกันจะๆ ได้เงินเดือนละ 5 หมื่นเปอร์เซ็นหนังแล้วแต่ค่ายจะจ่าย มาอยู่กินกับลูกสาวไม่มีอะไรมีแต่กางเกงในยานๆ ยันจาไม่อกตัญญู เปิดหมดใจถึงปัญหากับสหฯ แฉสหฯ อ้างวันที่จาเข้าไปพบเป็นการต่อสัญญาอ้างได้บันทึกภาพวีดีโอไว้แล้ว

หลังจากที่ “จาพนม ยีรัมย์” ร่อนจดหมายชี้แจงเรื่องการต่อสัญญากับสหมงคลฟิล์มยืนยันว่า ไม่ได้ต่อสัญญาตามที่ “เสี่ยเจียง สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ” ผู้บริหารสหมงคลฯ แถลงข่าว แฉที่ผ่านมามีหนังต่างประเทศติดต่อมาหลายเรื่องแต่สหมงคลฯ ไม่ให้ไปเล่น แต่ตอนนี้หมดสัญญาแล้วพร้อมที่จะไปเล่นหนังฮอลีวูดส์ ล่าสุด "วรรณา สุรวิทยานนท์" แม่ยายจาพนมก็ออกโรงเปิดสัญญาที่จาเซ็นกับสหมงคลฯ เมื่อ 10 ปีที่แล้วให้ดูกันจะๆ ว่าแต่ละข้อมีอะไรบ้าง ได้ผลตอบแทนอย่างไร ที่เสี่ยเจียงบอกว่าได้ผลตอบแทนมหาศาลมันเป็นอย่างไร พร้อมกับเปิดใจเล่าถึงปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งหมด

“ที่ผ่านมาจาไม่เคยพูดไม่ว่าจะเจอเรื่องอะไรมากแค่ไหน สิ่งเดียวที่เขาพูดก็คือช่างมันเถอะแม่และก็เลือกที่จะเงียบ จะให้น้องบุ้งออกมาพูดเดี๋ยวก็จะหาว่า เมียจาร้าย ฉะนั้นแม่พูดเองดีกว่าแม่ไม่มีอะไรจะเสีย โดนฟ้องมาก็หลายล้านแล้ว”(หัวเราะ)

“ก่อนที่จาพนมจะไปพบเสี่ยเมื่อต้นเดือนสิงหาคม ซึ่งสัญญาหมดวันที่ 25 กรกฎาคม แม่ก็ยังเคยพูดว่าเอ๊ะไม่ใช่สัญญาส่งไปบ้านที่สุรินทร์แล้วเหรอ น้องบุ้งบอกคงไม่หรอกค่ะแม่ แล้วจาก็ส่งหนังสือยกเลิกสัญญาไปให้สหมงคลฟิล์มวันที่ 26 กรกฎาคม และส่งไปให้อาจารย์พันนาวันที่ 31 กรกฎาคมว่าเราไม่ขอต่อสัญญาแล้ว”

“พอต้นเดือนสิงหาคมจากับน้องบุ้งก็เข้าไปหาเสี่ย เสี่ยก็บอกว่ามึงต่อสัญญาแล้วนะ น้องบุ้งก็บอกว่าเสี่ยไม่ต่อไม่เซ็น หนูขอทำงานให้เสี่ยแต่เวลามีถ่ายโฆษณาอะไรบ้างก็จะขอเสี่ย เสี่ยก็บอกเออได้มึงไปทำ น้องบุ้งก็บอกงั้นเงินเดือนหนูไม่ขอรับนะ ดีนะวันนั้นที่น้องบุ้งไป แค่พูดว่าเสี่ยคะหนูทำงานต่อ คือเราก็ต้องให้เกียรติผู้ใหญ่ไม่ได้อยากหักด้ามพร้าด้วยเข่า แต่แกก็ให้จาเซ็นก็เลยปฏิเสธไปเลยว่าไม่ต่อไม่ขอรับเงินเดือน จาก็ไม่เซ็นไม่เอาอะไรทั้งนั้น”

“คือจาส่งหนังสือไปก่อนที่จะเข้าไปพบเสี่ยเมื่อต้นเดือนสิงหาคม ซึ่งทางเสี่ยก็รู้แล้วก็รู้แล้วว่าได้ส่งหนังสือไปบ้านที่สุรินทร์แล้วแต่เสี่ยก็ไม่บอกอาจารย์พันนาก็ไม่บอกว่าได้ส่งหนังสือต่อสัญญาไปให้ที่สุรินทร์ แล้วจาเองก็ได้ส่งหนังสือสัญญาไปที่สหฯ ทุกคนก็ได้รับหมดแต่ไม่มีใครพูดถึงตัวนี้กัน เราก็ไม่พูดต่างคนต่างเฉยเรื่องสัญญา เพราะเราคิดว่าเรายื่นไปแล้ว แต่จาก็บอกว่าถ้าเป็นหนังไทยผมก็ทำให้เสี่ย เสี่ยก็ยังบอกเลยว่า มีอะไรก็มาหากูนะเดือดร้อนอะไรก็มาพบกู”

“แต่พอปลายเดือนสิงหาคมเสี่ยก็ออกมาแถลงข่าวว่าจาจะไปเมืองนอก เราก็งงว่าทำไมเสี่ยออกมาแถลงข่าว และวันต่อมาเสี่ยก็ส่งหนังสือโนติสมาที่บ้านที่ปทุม ส่งมาว่าได้ต่อสัญญาแล้ว เราก็งงว่าทำไมโนติสส่งมาที่ปทุมแต่สัญญาที่จะต่อทำไมส่งไปบ้านที่สุรินทร์มันเพราะอะไรทุกคนก็งง แต่ก็ไม่เป็นไรเราก็คิดว่าคงไม่มีอะไรเพราะเราไม่ได้ต่อสัญญา จนกระทั่งเสี่ยมาบอกว่าเสี่ยมีสัญญา”

“ในใบโนติสเขียนมาบอกว่า ยืนยันการต่อสัญญาแจ้งนักแสดงไม่ให้ทำผิดการต่อสัญญญา เขาก็พูดถึงเรื่องที่เขาได้รับหนังสือยกเลิกสัญญาจ้างจากเรา และยืนยันว่าเขาได้ส่งหนังสือต่อสัญญามาให้แล้วโดยส่งไปภูมิลำเนาแล้ว เพราะนักแสดงไม่เคยแจ้งการเปลี่ยนแปลงที่อยู่มายังบริษัท และบอกว่านักแสดงได้รับหนังสือต่อสัญญาและลงชื่อทางไปรษณีย์อย่างถูกต้อง ซึ่งจริงๆ แล้วคือที่สุรินทร์นะคะได้รับ”

“และเขียนต่อว่าภายหลังกลางเดือนสิงหาคม 56 หลังจากได้รับหนังสือยืนยันในการแจ้งต่ออายุสัญญาจ้าง นักแสดงได้ไปพบกับนายสมศักดิ์ รัตนประเสริฐ กรรมการผู้มีอำนาจของบริษัทพร้อมกับภรรยาของนักแสดงและครูฝึกและได้ขออนุญาตถ่ายโฆษณาโดยไม่ต้องผ่านการได้รับอนุญาตจากบริษัท อันแสดงว่านักแสดงได้ยอมรับสัญญาว่าจ้างนักแสดงได้มีการต่ออายุและมีสภาพบังคับเรียบร้อยแล้ว นักแสดงจึงได้ขออนุญาต ทั้งนี้มีภาพปรากฏอยู่ในกล้องบันทึกของบริษัทอย่างชัดเจนนักแสดงจึงไม่อาจโต้แย้งการต่ออายุสัญญาของบริษัทได้”

“คือเขาอ้างว่าที่น้องบุ้งคุยเรื่องโฆษณาคือการต่อสัญญาและได้อัดไว้ ถามว่าตามทั่วไปมันไม่มีหรอก เราขออนุญาตถ่ายโฆษณาเขาก็อ้างว่าเป็นการต่อสัญญาโดยอัตโนมัติ ซึ่งฟังแล้วเราก็งงเนอะ แล้ววันที่เขาออกมาแถลงข่าวว่าเขามีสัญญาเราก็งงว่ามีสัญญาได้ไงในเมื่อเราไม่ได้เซ็น”

เผยสัญญา 10 ปีที่แล้ว
“สัญญาเมื่อ 10 ปีที่แล้วขณะนั้นยังไม่รู้จักจา พนมนะคะ เป็นการทำสัญญากันระหว่างสหมงคลฯ ,จา พนม, อาจารย์พันนา และปรัชญา มันมีข้อ 3 ที่เขียนเรื่องสัญญาไว้ว่า ในกรณีที่บริษัทประสงค์จะต่อสัญญาจะต้องแจ้งความประสงค์ทราบล่วงหน้าก่อนกำหนดไม่น้อยกว่า 2 เดือน ถ้าบริษัทแจ้งความประสงค์แล้วให้ถือว่าได้ต่ออายุสัญญาแล้วทันที ก็แปลว่าจา พนมไม่ต้องมาเซ็นเป็นการต่อโดยอัตโนมัติ ถ้าแบบนี้ส่งไปที่บ้านนายสีนายสาเซ็นรับก็ถือว่าต่อสัญญาแล้วสิอย่างงั้น”

“และที่รายการบันเทิงช่องหนึ่งได้บอกว่า จา พนมได้เซ็นสัญญาถูกต้องแล้ว และเอาสัญญามาให้ดูนั้น มันเป็นลายเซ็นตั้งแต่ปี 46 มันเป็นสัญญาตัวเก่าเอามาอ้างว่าจาได้เซ็นแล้ว ขอยืนยันเลยว่าจา พนมไม่ได้เซ็นต่อสัญญา”

ผลตอบแทนที่จาได้รับตามสัญญาเก่า
“ในหนังสือสัญญาฉบับนี้จาได้รับเดือนละ 5 หมื่น ส่วนเรื่องเปอร์เซ็นต์หนังแล้วแต่เสี่ยจะให้ ถ้าเสี่ยบอกว่าได้เยอะเสี่ยก็ให้เยอะ เสี่ยเขาก็ดีเมื่อตอนที่แต่งงานก็ให้เงินก้อนหนึ่งเป็นของขวัญเขาก็ได้เอาไปซื้อที่กัน แต่ก่อนหน้านี้ที่จาได้เงินไปทำออฟฟิศหรือทำบ้านอันนี้แม่ไม่รู้เพราะตอนนั้นยังไม่รู้จักกับเขา แต่ที่รู้จักกับจามา 4 ปีคือจาได้เดือนละ 5 หมื่น และถ้าเกิดต่อสัญญาไปอีก 10 ปีในหนังสือที่เขาส่งมาก็ให้เดือนละ 5 หมื่นเท่าเดิม”

เผยเหตุที่ “จา พนม” ไม่ต่อสัญญา
“เขาอยากจะทำงานเองเพราะเขามีความฝัน เขาใฝ่ฝันอยากจะเล่นหนังให้กับต่างประเทศ เพราะอยากจะทำชื่อเสียงให้กับต่างประเทศ ถ้าไปอยู่กลับมาได้ดีจาเห็นใครที่พอมีแววจะได้มาฝึกให้เป็นการเปิดประตูฮอลีวูดส์ และเขาก็อยากจะสอนมวยให้กับเด็กที่ไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือเผื่อว่าวันหนึ่งจะทำชื่อเสียงให้กับประเทศ และสัญญาฉบับนี้มันมา 10 ปีแล้วเขาอยากอิสระไม่อยากขึ้นตรงกับใครอยากเป็นตัวของตัวเอง อยากทำตามความฝันของตัวเอง”

“ตอนที่ส่งหนังสือบอกเลิกสัญญาไปตอนนั้นก็ยังไม่มีหนังต่างประเทศติดต่อมานะคะ แต่เขาอยากเลิกเพราะเป็นความตั้งใจตั้งแต่แรก จาฝันว่าวันหนึ่งจะต้องไปฮอลีวูดส์ให้ได้ เขาเล่าให้ฟังว่าเขาเห็นเครื่องบินเขาฝันอยากนั่งเครื่องบินตามประสาเด็กท้องไร่ท้องนา พอมาเป็นสตันท์ก็อยากมีชื่อเสียงแต่หน้าตาไม่หล่อก็ต้องพยายามฝึกฝนให้ตัวเองมีความสามารถเพื่อที่จะขายความสามารถและต้องมีชื่อเสียงให้ได้”

“จาเขาผ่านอะไรมาเยอะ เขาเคยไปพบเสี่ยและเสี่ยบอกว่า มึงน่ะขาลงยังไม่รู้ว่าจะจ้างมึงต่อหรือเปล่า จาเขาก็คิดมากเขาก็บอกแม่ผมขาลง แม่ก็บอกว่า จาถ้าไม่มีใครจ้างลูกเป็นนักแสดงแล้วเอาอย่างนี้ไหม อันนี้เป็นความคิดของแม่นะ จาไปเป็นอาจารย์สอนพิเศษตามมหาวิทยาลัยดีไหม หรือไม่ก็ไปทำโรงแรม ไปขายข้าวแกงดีไหมเพราะจาอยากขายข้าวแกง ก็บอกเขาว่าเราไม่อดตายหรอกนะ แต่เขาก็บอกว่าผมอยากทำตามความฝันของผม”

“วันนี้เขาหมดสัญญาแล้ว เขาก็อยากไปทำตามความฝันของเขา วันนั้นที่น้องบุ้งไปพบเสี่ยก็เพราะว่ามีเพื่อนคนหนึ่งติดต่อจะให้จาไปโฆษณารถ พี่แอ๊ด คาราบาวก็เคยติดต่อให้ไปโฆษณา ก็หวังว่าจะได้เงินตัวนี้มาใช้ในการดำรงชีวิตของเขา แต่ปรากฏว่าคนที่แนะนำเขาบอกว่า เขาพาไปฮอลีวูดส์ได้เราก็ไม่เชื่อเขาหรอก จนเมื่อไม่กี่อาทิตย์ที่ผ่านมาถึงได้รู้ว่าเราไปจริง เพราะทางฮอลีวูดส์ให้ข่าวมาแล้ว เราก็ไม่อยากจะเชื่อว่าจะได้ไปจริงเหรอ คนอย่างจาหน้าตาก็ไม่ได้หล่อจะได้ไปจริงเหรอ แต่จาก็ได้ไปจริงๆ”

“เขาดีใจมาก เขาบอกเลยว่าถ้าเขาได้ไปไม่ว่าจะได้เล่นเป็นตัวอะไร ตัวดีไม่ดีเขาก็จะไป เขาบอกว่าแค่เขารับผมก็ถือว่าเป็นเกียรติแล้ว ถ้าผมทำดีก็คงจะมีเรื่องต่อไป แต่ถ้าทำไม่ดีก็คงจะได้เล่นเรื่องเดียว ไม่เป็นไรนะแม่นะ เราก็บอกว่าไม่เป็นไรอยากให้ลูกลองดู”

“ไม่เข้าใจว่าทำไมเสี่ยจะต้องออกมาว่าเราเซ็นสัญญาแล้วทั้งที่มันไม่ใช่ หรือว่าเสี่ยอยากจะให้จาไปบอกอะไรหรือเปล่า ซึ่งถ้าไปบอกเสี่ยก็ไม่ให้ไปเพราะเสี่ยไม่อยากให้ไปไหน ให้มึงอยู่เฉยๆ ตอนนั้นมวยที่พล.อ.เชษฐามาขอแกก็ไม่ให้ไป มาขอโปรโมทให้ประเทศก็ไม่ได้ไป อยากไปก็ไปไม่ได้เพราะติดสัญญา แต่ตอนนี้ไม่ติดสัญญาแล้วเราอิสระแล้ว เราขอคืนความอิสระให้กับลูกเรา ถ้าเขายืนยันว่าต่อสัญญาแล้วและเขามีเอกสารก็ให้เขาไปฟ้องในชั้นศาลก็แล้วกัน ไม่ได้ท้านะคะแต่มันเป็นไปตามตัวบทกฏหมาย ใครผิดก็ผิดใครถูกก็ถูก เราไม่ได้เซ็นเอกสารใครเซ็นก็ไปให้คนนั้น”

“ถ้าจะบอกว่าทางบ้านรับรู้ ก็รู้อยู่แล้วว่าจาไม่ได้กลับบ้านเขามีเรื่องกัน คุณเสี่ยเองก็ทราบ ส่งสัญญาไปที่บักได(สุรินทร์)อ้างตามที่อยู่เบิกเงิน แต่ส่งโนติสมาที่ปทุม ไม่ทราบว่าเอาที่อยู่ปทุมมาจากไหน อยากทราบตรงนี้มาก คือถ้าส่งไปที่ระยองจะไม่พูดเลยเพราะจาก็ไปปทุมระยองแต่นี่ส่งไปที่โน่น แล้วจาไปพบเสี่ยตั้งแต่เดือนพฤษภาตั้งหลายครั้งทำไมเสี่ยถึงไม่บอกว่า เฮ้ย..จากูส่งเอกสารไปบ้านมึงนะ ไม่มีใครบอกเลย เพราะอะไรถึงไม่บอก แม้แต่อาจารย์พันนาก็ไม่บอกทั้งที่ทราบตลอดแต่ก็ไม่บอกไม่พูด”

“ทางบ้านของจาเองก็ไม่บอก ตอนช่วงเดือนพฤษภาคมซึ่งเป็นช่วงที่เสี่ยส่งหนังสือสัญญาไปให้ที่สุรินทร์เขาก็ยังมาที่นี่ ก็ที่มีเรื่องกันไปนั่นแหละเขาก็ยังไม่บอกอะไร รู้แต่ว่าจะเอาจากลับไปบ้านให้ได้ ญาติเขาบอกว่าจะเอาไปเซ็นสัญญาเราก็ไม่รู้ว่าสัญญาอะไร”

“ตามความคิดของแม่ ของบุ้งกี๋ และของจา ไม่ว่าจะยังไงถ้ากลับมาจากฮอลีวูดส์ก็ต้องไปทำงานให้เสี่ยเหมือนเดิม ยังไงเสี่ยก็มีบุญคุณกับเราแต่ตอนนี้มันกลายเป็นเรื่องอกตัญญูอีกแล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สังคมประณามจามาตลอด จริงๆ แล้วจาไม่เคยอกตัญญูกับใคร ได้เงินเดือนละ 5 หมื่นก็ส่งให้พ่อแม่ตลอด ส่งให้เดือนละ 1 หมื่น เพราะได้มา 5 หมื่นมันก็ไม่ได้มากมายนะ เพราะผ่อนรถเดือนละ 2.5 หมื่น ค่าน้ำค่าไฟอีก จาไม่ได้มีเงินอย่างอื่น ไหนจะลูกจะเมียอีกมันไม่เหลือแล้วไม่พอด้วย กับบุ้งกี๋เองแม่ก็เป็นคนให้ค่าใช้จ่าย เบิกเสี่ยมาจาก็ไปใช้ในงานของจา”

“จา พนมนี่เขาไม่มีอะไรหรอก มาอยู่กับบุ้งกี้เขาก็ไม่มีอะไรมีแต่กางเกงในยานๆ(หัวเราะ) ได้เงินเดือนละ 5 หมื่นค่าใช้จ่ายก็เยอะแยะ เปอร์เซ็นหนังก็แล้วแต่ทางค่ายจะให้ อีเว้นต์ก็ไม่มี แต่เราก็อยู่และสู้ด้วยกัน วันนี้เขาจะได้ไปทำความฝันของเขาให้เป็นจริงเราก็ดีใจ จะได้ไปสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศ ผลจะออกมาอย่างไรก็ดีใจ ตอนนี้ก็กำลังเตรียมตัวไปต่างประเทศไม่ว่าจะเป็นเรื่องข้าวของ หรือว่าเรียนภาษาอังกฤษ ตอนนี้ภาษาก็เริ่มกระดิกหูบ้างแล้ว ก็อยากจะให้ทุกคนให้กำลังใจเขามากกว่า”






กำลังโหลดความคิดเห็น