“พี่สาวจา พนม” เปิดใจถึงเหตุการณ์ “พ่อ” ใช้หมัดและเท้าทำร้ายร่างกายจา บอกเป็นการสั่งสอนลูก ยันไม่ได้พาการ์ดพกปืนมาด้วย เผยแม่เสียใจมากที่จาหนีขึ้นรถทั้งร้องไห้และอ้อนวอนก็ไม่ลงมากลับทำหน้าเฉยชาใส่ ปฏิเสธข่าว “น้องสาว - น้องเขย” จาทำบริษัทขาดทุนก็เลยอยากให้จากลับไปร่วมงานด้วยจึงพาพ่อมา ลั่นพ่ออยากมาเพราะไม่สบายและอาจจะได้เห็นหน้าลูกเป็นครั้งสุดท้าย
หลังจากที่ "ปลา ทิพย์กัญญา สุรวิทยานนท์” ผู้จัดการส่วนตัวของ “จา พนม ยีรัมย์” ซึ่งเป็นญาติของ “บุ้งกี๋ ปิยรัตน์ โชติวัฒนานนท์” ภรรยาของจา พนม ออกมาเปิดเผยถึงเรื่องที่จาถูก “ทองดี ยีรัมย์” พ่อของจาทำร้ายร่างกายในรถตู้และไม่ได้ป่วยหนักเหมือนที่มีข่าวก่อนหน้านี้ เพราะนอกจากจะยังมีเรี่ยวแรงซัดจา พนมแล้ว ก็ยังตามมาแจกหมัดให้กับผู้จัดการส่วนตัวของจา แต่หมัดพลาดเป้าไปโดนแม่ของจาเอง เท่านั้นไม่พอยังพาการ์ดพกปืนมาด้วย
ล่าสุดพี่สาวของจา พนม ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ตลอดตั้งแต่ตอนที่เข้าไปบ้านของบุ้งกี๋เพื่อตามหาจา จนกระทั่งนัดเจอกับจาที่วัดพนัญเชิญ จังหวัดอยุธยา จนมีเรื่องราวทำร้ายร่างกายกันเกิดขึ้น ก็ได้เปิดใจถึงเรื่องราวทั้งหมดกับบันเทิงผู้จัดการออนไลน์ว่า พ่อของจานั้นป่วยจริงและต้องการมาพบหน้าลูกเพราะอาจจะเป็นครั้งสุดท้าย ลั่นไม่มีการ์ดมาด้วยหากแต่เป็นหลานของตนเอง เผยแม่เสียใจร้องไห้ที่จาหนีขึ้นรถไม่ยอมลงมาคุยด้วย เดินร้องไห้รอบรถอ้อนวอนอย่างไรจาก็ไม่ลงมาและมีท่าทีเมินเฉย
“ที่มาหาจาเพราะว่าพ่ออยากเจอลูกและติดต่อไม่ได้มา5 - 6 เดือนแล้ว โทรไปหาก็ไม่รับสายเบอร์มือถือก็เปลี่ยน ติดต่อมาเบอร์ภรรยาหรือเบอร์แม่ยายเขาก็ปฏิเสธไม่รับสายหมด เราติดต่อใครไม่ได้พอพ่อมีแรงก็เลยอยากไปหาลูกชายเป็นอะไรทำไมติดต่อไม่ได้และทำไมเขาไม่ติดต่อหาเรา ทั้งที่เขาก็รู้อยู่ว่าพ่อไม่สบาย พอพ่ออาการดีขึ้นก็เลยพากันมาหาเขา มาหาที่บ้านแม่ยายก็ไม่เจอเขาบอกว่าจาไปถ่ายหนัง พ่อตาเขาก็เลยบอกว่าให้ไปเจอที่วัดพนัญเชิง”
เผยที่โกหกว่า “พ่อจา พนม” ไม่ได้บ้าน “บุ้งกี๋” ด้วยทั้งที่นั่งรออยู่บนรถตู้นั้น เพราะพ่อไม่อยากเจอหน้าบุ้งกี๋ มาครั้งที่แล้วก็โดนไล่เลยไม่อยากจะโดนอีก
“พ่อเขามาค่ะแต่อยู่บนรถไม่ได้ขึ้นไปบนบ้านแม่ยายจา พูดง่ายๆ ว่าไม่อยากจะลงเขาเคยมาครั้งที่แล้วโดนลูกสะใภ้ตะเพิดไม่จำเป็นก็ไม่อยากเข้าด้วยซ้ำไป แต่เราจำเป็นต้องมาเพราะถ้าไม่มาที่นี่ก็ติดต่อกันไม่ได้ คือพ่อไม่อยากเจอก็เลยพูดไปเลยว่าพ่อไม่ได้มาด้วย”
“พอตกลงกันได้เราก็ไปคอยที่วัดพนัญเชิงก็ไม่เห็นจามาซักทีรอนานเหลือเกิน เรานั่งรอในรถตู้พ่อไม่สบายอยากถามไถ่ลูกบ้าง ว่าอยู่ยังไงเป็นยังไง ทำไมไม่ติดต่อกลับมาเลย ซึ่งพ่อเป็นความดันและถ้ามันขึ้นหนักๆ ก็อาจจะมีอันเป็นไปก็เลยอยากได้คุยได้เจอกับลูกซักครั้ง”
“เรานั่งรอเขาอยู่ 3 ชั่วโมง ก่อนที่จะเขาจะมาก็โทรมาถามว่าเอานักข่าวเอาการ์ดมาด้วยหรือเปล่า เราก็ไม่มีเอามาแต่หลาน เราก็คิดว่าไม่ได้ทำผิดอะไรทำไมต้องกลัวนักข่าวนักหนา (เห็นผู้จัดการส่วนตัวจาบอกว่า พ่อจาเอานักข่าวเดลินิวส์สุรินทร์ไปด้วย) ไม่มีค่ะ ส่วนเรื่องที่พกปืนไม่มีนะคะ”
“จามากันหลายคนมีผู้ชาย5 - 6 คนมีพ่อตาเขาด้วยและมีคุณปลามาด้วย เขาก็บอกว่าอยากให้จาคุยกันกับพ่อแม่ส่วนตัว เราก็ยังไงก็ได้ขอให้จาได้พูดคุยกับพ่อแม่ก็เลยแยกตัวออกมา แต่ทางพ่อตาเขาให้เอาเก่ง(โปรดิวเซอร์หนัง) ขึ้นไปด้วยก็รู้สึกว่าทำไมเขาต้องเอาคนอื่นขึ้นไปคุมพ่อกับแม่ด้วย ทำให้พ่อแม่ลูกไม่เป็นอิสระในการพูดคุย ก็รู้สึกไม่ค่อยดีซักเท่าไหร่”
“ซักพักก็ได้ยินเสียงดังอยู่ในรถตู้ พ่อเขาตีเขาเก็บกดที่จาไม่ติดต่อและออกสื่อโกหกว่ามาเคลียร์กับพ่อแล้ว ทั้งๆ ที่ตั้งแต่คุณพ่อแถลงข่าวไปก็ยังไม่ได้ติดต่อมาไม่เคยโทรมา พ่อก็คงเสียใจกับเรื่องตรงนี้เขาก็โมโห แต่ก็ไม่ถึงกับทำอะไรมากนะคะ มันก็สุดๆ ทำไมลูกถึงทำอย่างนี้กับพ่อแม่ก็เลยทำไป ทางทีมงานก็เลยมีการมาดึงตัวจาออกไป”
“แม่ก็ร้องไห้ว่าอย่าพึ่งไปให้มาคุยกันก่อน แม่ยังไม่ได้คุยกันกับลูกเลย แม่รอเวลาที่จะมาพบลูกมันช่างนานเหลือเกินขอให้ได้คุยกันก่อนลูก ขอให้ฟังเหตุผลพ่อแม่ก่อน พวกเขาก็ลากตัวพี่จาลงไปและประกบซ้ายขวามาขึ้นรถของเขาปิดกระจกล็อกหมด แม่ก็วิ่งลงจากรถตู้ไปร้องไห้ขอร้องให้จาลงมาคุยกับแม่หน่อย มาคุยกันก่อนมาหาพ่อหาแม่ แม่ร้องไห้รอบรถตู้ 3 รอบเคาะกระจกแต่จาก็นั่งเฉยไม่ใยดีเสียงร้องไห้ของแม่”
“เราก็เกาะรถไว้ขอร้องให้มาคุยกับแม่ก่อนอย่าทำอย่างนี้กับพ่อแม่นะ นี่แม่เรานะไม่ใช่คนอื่น มีอะไรก็มาคุยกับแม่ก่อน แม่นี่เอาหน้าแนบกระจกรถเลยนะร้องไห้แต่เขาไม่สนใจเสียงร้องไห้ของแม่ซักนิดเดียว รถเขาฟิล์มไม่มืดนะคะมองเห็นตัวจาชัดเลย เขาก็มองเห็นแม่ชัดแต่เขาเฉยไม่มองแม่แต่เขามองหน้าเรา ทีนี้คนที่ชื่อปลากเขาผลักมือเราออกจากรถและเราก็เลยถลาไปโดนแม่ แม่ก็จะล้มลงไปรถเกือบจะเหยียบแม่ แต่โชคดีที่เด็กที่มากับจารีบวิ่งมาช่วยพยุงแม่และลากแม่ออกมาแล้วก็ตะโกนให้หยุดรถ รถจะเหยียบแม่”
“พอเราได้ยินเสียงแบบนั้นก็ปล่อยประตูรถออกจาก็มองอยู่ พ่อเห็นแบบนั้นก็เลยวิ่งลงมาจากรถตู้ทั้งที่เขาไม่สบายแต่ไม่รู้เขาเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน เขาคงเห็นสภาพแม่ที่เกาะรถและร้องเรียกจนน้ำตาแทบเป็นสายเลือดไม่ไหว ทั้งขอร้องและร้องไห้ขอให้จาอย่าพึ่งไปใครก็ได้ที่อยู่ในรถให้เห็นใจแม่บ้าง กว่าจะหาโอกาสเจอลูกมันยากมากขอให้เข้าใจหัวอกแม่ด้วย”
“พ่อมาก็จะชกไปที่คุณปลาเพราะพ่อเขาเห็นบนรถตู้ว่าคุณปลามาดึงเราออกจากรถ เขาก็เลยอยากจะลงมาช่วยก็เลยจะต่อยคุณปลาเพื่อช่วยแม่แต่ถลาไปโดนแม่ ก็ต่อยไปโดนโหนกแก้มกับหัวคิ้วแม่ แต่ก็เข้าใจว่าพ่ออยากจะมาช่วยเขาทนเห็นตรงนั้นไม่ไหว จาเขาไม่เหมือนเดิมค่ะ เขาเหมือนคนไม่มีสติ เขาไม่เหมือนเก่า”
“จากนั้นเขาก็พากันบึ่งรถออกไปอย่างเร็ว รถทีมงานที่มาด้วยกันก็ตามกันออกไป เราเห็นแล้วก็สงสารพ่อแม่มันเหมือนไม่ใช่ตัวเขาไม่รู้เขาโดนอะไรมาหรือเปล่า น้องไม่เคยเป็นคนที่แข็งกระด้างและก้าวร้าวแบบนี้ เห็นมาแต่ไหนแต่ไรมาก็มีแต่ความกตัญญู ที่พ่อตีก็เหมือนสั่งสอนลูกไม่มีพ่อแม่คนไหนอยากจะทำร้ายลูกหรอกค่ะ แต่มันเป็นการสั่งสอนลูกให้รู้ว่าอะไรควรไม่ควร พ่อเขาเสียใจที่มาพบลูกทำไมมันยากเย็นเหลือเกิน ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเขาถึงไม่ติดต่อกลับมา หรือว่ามีใครบังคับเขายังไงอะไรพ่อเขาก็อยากรู้”
ปฏิเสธข่าว “ธรัช ศุภโชคไพศาล” น้องเขยจากับ “แวว” น้องสาวจา บริษัทขาดทุนจึงอยากให้จากลับไปร่วมทำธุรกิจด้วยเหมือนเดิม
“แววกับโจก็ไม่ได้มีปัญหาบริษัทขาดทุนอะไรนะคะ ไม่ใช่ว่าบริษัทขาดทุนแล้วจะเอาจากับมาทำงานด้วย บริษัทของโจกับแววมีหน้าที่ทำงานให้เสี่ย(เสี่ยเจียง สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ)ก็เลี้ยงตัวเองได้ ในเน็ตที่เขาบอกว่าเราจะมาเอาเงินจากจาไม่จริงเลยไม่ใช่ พี่น้องจาก็ทำงานกันทุกงานเราก็ทำไร่ทำนาไปมีอาชีพหาเลี้ยงตัวเองได้ เรื่องที่จาเขาจะให้เราก็ว่าเขาดีที่เขาหยิบยื่นอะไรให้ไม่เคยว่าเขาไม่ดี ส่วนที่เขาให้พ่อก็เป็นส่วนที่ลูกต้องให้มันก็ถูกต้องแล้ว อยากจะบอกว่าเราไม่ได้มาเพื่อจะมาเอาเงินหรือเอาอะไรกับเขา แต่พ่ออยากมาเจอลูกพ่อไม่สบายไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงบ้างก็อาจจะได้มาเจอเป็นครั้งสุดท้ายก็ได้”