xs
xsm
sm
md
lg

ไสยศาสตร์หรือผลประโยชน์? ชนวนแตกหัก “จา พนม” กับครอบครัว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เหมือนหนังคนละม้วน เรื่องเดียวกันแต่เหตุการณ์ต่างกันราวฟ้ากับเหวระหว่างเรื่องเล่าของ “ทองดี ยีรัมย์” พ่อของซูเปอร์สตาร์นักบู๊ “จา พนม ยีรัมย์” ที่มีทั้ง “รินทร์ ยีรัมย์” คุณแม่ของจา “หัทยา ยีรัมย์” พี่สาว และ “ทวีศักดิ์ ยีรัมย์” พี่ชายของจาเป็นพวก กับเรื่องเล่าของฝั่งจา ที่มี “บุ้งกี๋ ปิยรัตน์ โชติวัฒนานนท์” ภรรยาของจากับ “ปลา ทิพย์กัญญา สุรวิทยานนท์” ผู้จัดการส่วนตัวของพระเอกนักบู๊ซึ่งเป็นญาติของบุ้งกี๋ด้วย ขณะที่ตัวของจาเองยังคงปิดปากเงียบไม่ออกมาพูดถึงเรื่องดังกล่าวแม้แต่น้อย เรื่องนี้ละเอียดอ่อนเพราะตั้งอยู่บนความเปราะบางของเรื่องศีลธรรม ความกตัญญู และผลประโยชน์ แต่ประเด็นที่พ่อจา แม่จา พี่สาวและพี่ชายหยิบยกมากล่าวย้ำคือการละเลยไม่ไปทำพิธีครอบครูของจาที่ส่งผลให้คุณพ่อป่วยหนักเพราะถูกอำนาจไสยศาสตร์เล่นงาน ในขณะที่คนในอินเทอร์เน็ตพากันสรุปเป็นเสียงเดียวกันว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์มหาศาลที่จากำลังจะได้รับจากการแสดงภาพยนตร์เรื่องต่อไปอย่างแน่นอน

ดูเหมือนว่ารอยร้าวระหว่างจา พนมกับครอบครัวที่นำโดยคุณพ่อทองดีจะไม่มีทางประสานกันได้ง่ายๆ ในเมื่อฝ่ายจายืนยันว่าต้องถ่ายหนังเรื่องต้มยำกุ้งภาค 2 ต่อให้จบนอกจากนั้นยังมีหนังที่ร่วมทุนกับฮอลลีวูดซึ่งเป็นโปรเจกต์ยักษ์อีกหนึ่งเรื่องด้วย ด้วยงานที่เยอะจนรัดตัวขนาดนี้ทำให้จาไม่สามารถปลีกเวลากลับไปเยี่ยมพ่อที่สุรินทร์ได้ ส่วนทางพ่อทองดี แม่รินทร์ รวมทั้งพี่สาวพี่ชายของจายืนยันว่าติดต่อจาไม่ได้เลยตลอด 6 เดือนที่ผ่านมา โทรศัพท์มาหาก็ไม่รับสาย ติดต่อคนรอบตัวก็บ่ายเบี่ยงและไม่เคยให้คุยกับจาเลย ด้วยความเป็นห่วงลูกอีกทั้งพ่อของจายืนยันว่าต้องการเพียงให้จากลับมาทำพิธีครอบครูเพราะจาเป็นคนที่มีครูเยอะแล้วที่ผ่านมาไม่ได้กลับไปทำพิธีครอบครูนานแล้ว ทำให้ตนเองต้องเป็นฝ่ายไปทำพิธีแทนจนของเข้าตัวเป็นเหตุให้ทำท่าร่ายรำและออกอาการเพ้อ

จนกระทั่งล่าสุดจากับพ่อก็ได้พบหน้ากัน หลังจากที่ฝ่ายพ่อจาซึ่งมีทั้งแม่ของจา พี่สาว พี่ชาย รวมถึงบอดี้การ์ดที่พี่สาวจายืนยันว่าเป็นเพียงลูกพี่ลูกน้องที่มาช่วยดูแลพ่อของจาเท่านั้นได้เดินทางไปหาจาถึงที่บ้านของบุ้งกี๋แต่ไม่พบ บุ้งกี๋บอกว่าจาไปดูโลเกชั่นถ่ายทำภาพยนตร์อยู่ที่จังหวัดอยุธยา ทำให้พ่อจาโทรศัพท์ไปนัดเจอกับจาที่วัดพนัญเชิง จังหวัดอยุธยา ซึ่งตัวจาเองก็ตกลงที่จะมาพบพ่อที่นั่นหลังจากที่เขาว่างเว้นจากงาน
ฝ่ายพี่สาวของจาบอกว่ารถตู้ของพ่อจาไปจอดรออยู่ที่วัดนานกว่าสามชั่วโมง จาถึงโผล่มา โดยจามาพร้อมกับชายฉกรรจ์ 5 -6 คน หลังจากที่ตกลงกันว่าจะปล่อยให้จากับพ่อคุยกันประสาพ่อลูก โปรดิวเซอร์ของหนังที่ชื่อเก่งกลับเดินขึ้นไปบนรถด้วย ทำให้ในรถตู้มีจา พ่อของจา กับโปรดิวเซอร์อยู่ด้วยกันไม่ใช่การคุยกันเพียงสองคนพ่อลูกตามที่ตกลงกันในตอนแรก หลังจากนั้นพ่อจาก็อ้างว่าเขาคุยกับลูกชายไม่ลงตัวเพราะจายืนยันว่าจะอยู่ถ่ายหนังต่อไม่สามารถกลับไปสุรินทร์ได้ จากนั้นจาก็ได้เข้ามากอดเขา แต่ตอนนั้นเขาเกิดอาการ “เท้าดีด” ขึ้นกะทันหันทำให้เท้าเหวี่ยงออกไปกระแทกตัวจาโดยไม่ได้ตั้งใจซึ่งผิดกับคำบอกเล่าของปลา ผู้จัดการส่วนตัวที่อยู่ในที่เกิดเหตุซึ่งบอกว่าเธอได้ยินเสียงเอะอะดังออกมาจากรถและรถตู้ก็เขย่าอย่างแรงทำให้เธอรู้สึกว่าเกิดเหตุการณ์ไม่ปกติจึงถือวิสาสะวิ่งไปเปิดประตูรถออกดู ภาพที่เห็นคือจาที่พยายามจับแขนขาของพ่อเอาไว้พร้อมทั้งร้องขอพ่อไม่ให้ทำร้ายร่างกายเขา

ปลายืนยันว่าพ่อของจาไม่ได้มีอาการป่วยหนักถึงขั้นเดินไม่ไหวตามที่เขาพยายามแสดงให้สาธารณชนเห็น เพราะหลังจากที่เธอช่วยจาออกมาจากรถตู้ได้สำเร็จ พ่อของจาก็เดินปรี่เข้ามาหาเธอด้วยอาการไม่พอใจแล้วเหวี่ยงหมัดเข้ามาหาเธอ แต่เธอหลบได้ทันท่วงทีทำให้หมัดของพ่อจาพลาดไปถูกใบหน้าของนางรินทร์ คุณแม่ของจาแทน

เหตุการณ์นี้สอดคล้องกับคำกล่าวของหัทยา พี่สาวของจาที่ยอมรับว่าพ่อจาออกหมัดใส่ปลาจริง แต่เพราะต้องการจะปกป้องคุณแม่ของเธอ เนื่องจากก่อนหน้านี้ปลาได้เข้ามาปัดมือของแม่จาที่เกาะหน้าต่างรถตู้ร้องไห้ขอร้องให้จาออกจากรถตู้มาคุยกับแม่อยู่ ซึ่งหัทยาบอกว่าปลาตรงเข้ามาปัดมือคุณแม่ออกอย่างแรงจนแม่เสียหลักลงไปนอนอยู่ที่พื้นหวุดหวิดจะถูกรถแล่นทับอยู่รอมร่อเลยทีเดียว

เรื่องนี้จึงเป็นเหมือนหนังคนละม้วนเพราะเหตุการณ์เดียวกันยังเล่าต่างกันราวฟ้ากับเหว มีเพียงคนที่อยู่ในเหตุการณ์เท่านั้นที่จะตอบได้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้ “เสี่ยเจียง สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ” บอสใหญ่ของสหมงคลฟิล์มซึ่งเปรียบเสมือนพ่อคนที่สองของจาต้องรับรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างจากับครอบครัวถึงไม่ยอมปล่อยให้จากลับบ้านแม้เพียงแค่วันเดียว ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเคยออกมาทำหน้าที่เป็นกาวใจประสานรอยร้าวระหว่างจากับครอบครัวไปแล้วหนึ่งครั้ง

สิ่งที่ “ทวีศักดิ์ ยีรัมย์” พี่ชายของจายกขึ้นมากล่าวย้ำว่าเป็นเหตุผลหลักที่ต้องการให้จากลับบ้านก็คือต้องการให้จากลับไปทำพิธีครอบครูประกำช้าง เพราะตระกูลยีรัมย์เป็นชาวกูยที่นับถือประกำช้างมาตั้งแต่บรรพบุรุษ โดยประกำช้างนี้คือเครื่องรางของขลังที่คนเลี้ยงช้างมักจะพกติดตัวเพื่อป้องกันคุณไสย์ และเพื่อให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากภยันตรายทั้งปวง ซึ่งการครอบครูประกำช้างนั้นจะต้องทำทุกปี แต่สองปีที่ผ่านมาจาไมได้กลับบ้านไปทำพิธีครอบครูเลยทำให้พ่อทองดีต้องเป็นคนไปทำพิธีแทนโดยเอ่ยปากสัญญาว่าจะตามตัวจาให้กลับมาทำพิธีครอบครูด้วยตัวเองให้ได้ แต่แล้วจาก็ไม่กลับและนั่นก็เป็นสาเหตุที่ครอบครัวของจาอ้างว่าทำให้ของเข้าตัวคุณพ่อจนเกิดอาการอยากร่ายรำ มือเท้าเกร็ง และล้มป่วยหนัก

แต่ผู้คนในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์กต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ว่าสาเหตุที่แท้จริงของเรื่องนี้น่าจะอยู่ที่ผลประโยชน์ซึ่งเป็นเงินจำนวนมหาศาลที่จากำลังจะได้รับจากการแสดงภาพยนตร์ทั้งเรื่องต้มยำกุ้ง 2 และภาพยนตร์ที่ร่วมทุนสร้างกับฮอลลีวูด ซึ่งเสี่ยเจียงต้องการที่จะผลักดันให้การกลับมาของจายิ่งใหญ่และก้าวไกลไปจนถึงระดับอินเตอร์เลยทีเดียว ซึ่งแน่นอนว่าหมายถึงเงินจำนวนมหาศาลจะไหลเข้ามาสู่จา ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ครอบครัวของจารู้ดีเนื่องจากก่อนหน้านี้ตอนที่พระเอกนักบู๊แสดงหนังองค์บากและต้มยำกุ้งภาคแรกก็ส่งเงินกลับไปให้ทางบ้านจนสามารถปลูกบ้านหลังใหม่ ซื้อรถ และข้าวของอื่นๆ จนเรียกได้ว่าเปลี่ยนแปลงชีวิตของครอบครัวยีรัมย์ไปเลยทีเดียว

บางกระแสก็บอกว่าที่พ่อของจาออกมาเรียกร้องให้ลูกชายกลับบ้านเพราะต้องการให้กลับไปร่วมหุ้นทำธุรกิจกับน้องสาวและน้องเขยที่เปิดบริษัททำงานป้อนให้กับเสี่ยเจียง แต่กำลังประสบปัญหาขาดทุนอย่างหนักจนต้องการเงินทุนจากจาไปช่วยกอบกู้

ไม่ว่าเรื่องราวที่แท้จริงจะเป็นอย่างไร บอกได้คำเดียวว่ามีแค่คนที่เกี่ยวข้องจริงๆ เท่านั้นที่รู้ เพราะเรื่องนี้ถือว่าละเอียดอ่อนมากสำหรับสังคมไทย อย่างไรก็ดีจนถึงตอนนี้เสี่ยเจียงก็ยังไม่ออกมาเคลื่อนไหวใดใด ซึ่งก็ไม่รู้ว่าท้ายที่สุดแล้วเขาจะออกโรงมาทำหน้าที่กาวใจประสานรอยร้าวอีกครั้งหรือไม่ แต่เมื่อมีผลประโยชน์มหาศาลมาเกี่ยวข้องแบบนี้ก็ต้องยอมรับว่างานนี้จบยากจริงๆ
.....................................

ที่มานิตยสาร ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 194 วันที่ 22 - 28 มิถุนายน 2556





กำลังโหลดความคิดเห็น