xs
xsm
sm
md
lg

เปิดสัญญาทาส?! ชนวนแตกหัก “จา พนม” – “เสี่ยเจียง”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

จา พนม
นับตั้งแต่มีข่าวออกมาว่านักแสดงจอมบู๊ “จา พนม ยีรัมย์” กำลังจะโกอินเตอร์ไปแสดงภาพยนตร์แอกชั่นภาคต่อที่ดังที่สุดของฮอลลีวูดอย่าง Fast and Furious 7 ก็เกิดเสียงชื่นชมยินดีขึ้นมามากมาย แต่หลังจากนั้นไม่นาน “เสี่ยเจียง สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ” บอสใหญ่ของสหมงคลฟิล์ม ต้นสังกัดของจาก็ออกมาแถลงข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่าเขาไม่เคยรู้เรื่องดังกล่าวเลยเพราะจาไม่เคยมาบอก ก่อนที่เรื่องราวจะลุกลามใหญ่โตไปถึงขั้นที่ว่าเสี่ยเจียงประกาศจะฟ้องจาทันทีถ้าไปร่วมถ่ายภาพยนตร์ฮอลลีวูดเรื่องนี้ เพราะว่าจาเพิ่งต่อสัญญากับสหมงคลฟิล์มไปอีก 10 ปีจึงถือเป็นนักแสดงในสังกัดของเขาเต็มตัว

ความขัดแย้งระหว่าง “จา พนม” กับ “สหมงคลฟิล์ม” ก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมากมายในสังคม มีทั้งคนที่เห็นด้วยกับจา พนม และผู้ที่เห็นด้วยกับเสี่ยเจียงและสหมงคลฟิล์ม โดยมีเรื่องของ ‘สัญญา’ กับเรื่องความเหมาะสมทางศีลธรรมเป็นสองหัวข้อหลักๆ ที่ทั้งสองฝ่ายนำมาถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์กัน ตั้งแต่ตอนแรกที่เสี่ยเจียงออกมาพูดถึงการโกอินเตอร์ของจาด้วยอารมณ์น้อยใจเล็กๆ ที่จาไม่เคยมาบอกกล่าวเลยแม้แต่นิดเดียว โดยมีประโยค “ตอนยังไม่ดังมาก้มกราบเท้าเรา ตอนนี้มันดังแล้วเราต้องเป็นฝ่ายไปกราบมันแทน” เป็นหัวใจสำคัญ มาจนถึงกรณีที่จายื่นโนติสหรือส่งจดหมายแจ้งว่าตอนนี้ตัวเองไม่ได้เป็นนักแสดงในสังกัดของสหมงคลฟิล์มอีกต่อไปแล้วซึ่งทำให้เสี่ยเจียงไม่พอใจมากจนต้องออกมาตั้งโต๊ะแถลงข่าวอีกครั้งหลังจากเคยออกมาบอกว่าแม้จาจะเป็นนักแสดงในสังกัดแต่ในสัญญาระบุว่าสามารถรับงานโฆษณาและภาพยนตร์ที่ต่างประเทศด้วยตัวเองได้โดยไม่ต้องแจ้งต้นสังกัด

กลับมาคราวนี้เสี่ยเจียงเดินหน้าเต็มกำลังด้วยการอ้างถึงสัญญาเป็นหลักว่าจาเพิ่งเซ็นสัญญากับสหมงคลฟิล์มต่อไปอีก 10 ปี จึงถือว่าเป็นนักแสดงในสังกัดอย่างเต็มตัว การที่จาส่งหนังสือมาบอกว่าเขาไม่ได้เป็นนักแสดงของสหมงคลฟิล์มแล้วจึงถือเป็นการทำผิดข้อสัญญา โดยเสี่ยเจียงลั่นวาจาไว้อย่างแข็งขันว่างานนี้ถ้าจาไปถ่ายหนังต่างประเทศไม่ว่าจะเรื่องนี้หรือเรื่องไหนล่ะก็ เขาจะฟ้องอย่างแน่นอน

เมื่อมีการพูดถึงสัญญาที่จาทำข้อตกลงเอาไว้กับสหมงคลฟิล์มด้วยตัวเอง คะแนนก็เริ่มไหลเทไปทางเสี่ยเจียงมากขึ้น แต่หลังจากนั้นไม่ถึง 24 ชั่วโมงก็มีการเปิดเผยถึงสัญญาจ้างงานระหว่างจากับสหมงคลฟิล์มที่เต็มไปด้วยความไม่เป็นธรรมมากมาย รวมถึงเจตนาในการใช้ความไม่รู้กฎหมายของจาในการร่างหนังสือสัญญาตลอดจนลักษณะในการส่งจดหมายไปยังบ้านของจาที่จังหวัดสุรินทร์ซึ่งทางสหมงคลฟิล์มรู้ดีว่าจาไม่ได้พักอยู่ที่นั่นอีกทั้งยังไม่ได้กลับไปเยี่ยมเยือนบ้านหลังนั้นเลย ซึ่งแปลว่าโอกาสที่จาจะได้เห็นจดหมายฉบับดังกล่าวนั้นแทบไม่มีเลย

เมื่อสัญญาที่มีการระบุว่ามีการต่อสัญญาได้โดยอัตโนมัติถูกเผยแพร่ออกสู่สาธารณะ รวมทั้งการส่งหนังสือแจ้งให้ทราบไปยังบ้านของจาที่สุรินทร์ซึ่งแน่นอนว่าจาไม่มีโอกาสได้อ่าน ทำให้สังคมเริ่มเอียงกลับมาเห็นใจจา ท่ามกลางการกลับมาถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงข้อกฎหมายเกี่ยวกับการทำสัญญา รวมถึงความเหมาะสมในทางศีลธรรม ความเมตตา ขนบปฏิบัติในสังคมไทยที่หลายคนนำมากล่าวถึง ซึ่งอาจจะสรุปได้ว่าเรื่องระหว่างจากับสหมงคลฟิล์มนั้นขึ้นอยู่กับว่าเราจะมองที่มุมไหน

ในมุมกฎหมาย
ประเด็นที่หลายต่อหลายคนยังคงถกเถียงกันว่าสัญญาว่าจ้างสามารถทำได้นานถึง 10 ปีเลยหรือ และที่สำคัญคือสัญญาเช่นนี้สามารถระบุได้ด้วยหรือว่ามีการต่อสัญญาแบบอัตโนมัติโดยที่ไม่ต้องได้รับการเซ็นยินยอมจากตัวนักแสดง สำหรับประเด็นนี้นักกฎหมายได้ชี้แจงแล้วว่าสามารถทำได้ ขึ้นอยู่กับการตกลงกันของทั้งสองฝ่ายในตอนเริ่มต้นเซ็นสัญญา เนื่องจากการเซ็นสัญญาว่าจ้างเป็นเรื่องของความสมัครใจของทั้งสองฝ่ายว่าข้อตกลงที่ระบุนั้นทั้งสองฝ่ายยืนยอมหรือไม่ ถ้ายินยอมก็สามารถตกลงกันได้โดยที่ไม่ได้ขัดต่อความสงบเรียบร้อย กฎหมายคุ้มครองแรงงานหรือขัดต่อกฎหมายอื่นแต่อย่างใด

ฉะนั้นถ้ากล่าวโดยสรุปก็คือหากกลับไปอ่านหนังสือสัญญาระหว่างจากับสหมงคลฟิล์มแล้วพบว่าในหนังสือระบุว่ามีการเซ็นสัญญายาวนานถึง 10 ปี แถมยังมีการระบุว่าหากครบกำหนดแล้วจะมีการต่อสัญญาไปอีก 10 ปีโดยอัตโนมัติก็สามารถทำได้ ขึ้นอยู่กับการตกลงกันระหว่างนายจ้างกับผู้ถูกว่าจ้างเป็นสำคัญเพราะสัญญาจ้างงานเป็นสัญญาที่ไม่มีแบบรับรองจึงสามารถทำได้อย่างอิสระ ตราบที่ทั้งสองฝ่ายสมัครใจ

ดังนั้นหากมองในมุมของกฎหมายแล้วก็ต้องยอมรับว่าจาเสียเปรียบโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เพราะในช่วงที่มีการเซ็นสัญญาจาเป็นเพียงนักแสดงโนเนมที่ต้องการได้งาน ได้ชื่อเสียงโดยที่ตัวเองก็ยังมองไม่เห็นอนาคตว่าจะไปได้ไกลขนาดไหน ฉะนั้นการเซ็นสัญญาที่มีพันธะผูกพันนาน 10 ปีตั้งแต่ พ.ศ. 2546 และยังมีการต่อสัญญาได้อย่างอัตโนมัติไปอีกถึง 10 ปีเช่นนี้จึงเกิดขึ้น กรณีเช่นนี้เกิดขึ้นมากมายกับนักแสดง นักร้อง นักกีฬาที่ขณะเซ็นสัญญายังไม่รู้อนาคตว่าตัวเองจะไปได้ไกลขนาดไหน หลังจากที่ทำงานได้สักพักเริ่มมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักมีคนติดต่อให้ไปร่วมงานมากมายแต่ไม่สามารถไปไหนได้เพราะยังติดสัญญาอยู่นั่นเอง

ในมุมศีลธรรม
ไม่มีใครสามารถฟันธงได้ว่าฝ่ายไหนทำเหมาะสมที่สุด แต่สามารถวิเคราะห์จากมุมมองของทั้งสองฝ่ายได้ดังนี้ ในมุมของสหมงคลฟิล์มที่เป็นผู้ประกอบธุรกิจย่อมต้องอยากได้ผลกำไรที่มากที่สุด เมื่อเขาควักกระเป๋าลงทุนไปกับการปลุกปั้นจา พนมให้เป็นนักแสดงหนังแอกชั่นชื่อดังระดับโลกขนาดนี้แล้ว ย่อมต้องอยากได้สิ่งตอบแทนในรูปแบบของเงินทองและผลกำไร และนั่นคือสาเหตุของการเซ็นสัญญาระยะยาวเพื่อให้จาอยู่ผลิตผลงานกับสหมงคลฟิล์มให้นานที่สุด

กล่าวโดยสรุปคือยอมลงทุนไปแล้วก็ย่อมต้องการผลตอบแทนที่คุ้มค่าเป็นธรรมดา หากลงทุนทั้งเงินหลายร้อยล้านบาท ทั้งฝึกฝนวิชามวยไทย และวิชาอื่นๆ ให้อย่างไม่กั๊กแล้วนักแสดงในสังกัดย้ายไปแสดงให้กับค่ายอื่นก็คงเป็นเรื่องที่ไม่มีใครทำใจได้อย่างแน่นอน
แต่หากมองในมุมจา พนม ในฐานะของมนุษย์ผู้เป็นนักแสดงคนหนึ่งซึ่งไม่ใช่สินค้า การเซ็นสัญญาระยะยาวถึง 10 ปี แถมยังระบุให้มีการต่อสัญญาได้โดยอัตโนมัติแบบนี้ก็เข้าข่ายการถูกจองจำ แม้ว่าสหมงคลฟิล์มจะมีความดีความชอบในการปลุกปั้น ฝึกฝน โปรโมตให้จา พนมกลายเป็นนักแสดงแอกชั่นสไตล์ที่ดังระดับโลก แต่ก็ต้องยอมรับว่าส่วนที่สำคัญที่ทำให้จากลายเป็นจาในทุกวันนี้เกิดจากความมุ่งมั่นตั้งใจของเขาที่ไม่มีใครเลียนแบบได้ หากมองในมุมนี้ก็ต้องยอมรับว่าสัญญาที่เกิดขึ้นไม่มีความเป็นธรรมสักเท่าไหร่ ยิ่งหากมองย้อนไปถึงวันแรกของการจรดปากกาเซ็นสัญญาที่จาเป็นเพียงผู้ชายธรรมดาๆ จากจังหวัดสุรินทร์ ความรู้ความเข้าใจในเรื่องกฎหมายและการอ่านเกมในอนาคตของเขาก็ยังไม่แตกฉานจึงเป็นเหตุให้เขาตัดสินใจเซ็นสัญญาที่ตัวเองตกเป็นรองเช่นนั้นไป

บุญคุณต้องทดแทน?
ความสัมพันธ์ระหว่าง “จา พนม” กับ “เสี่ยเจียง” แห่งสหมงคลฟิล์มที่ผ่านมา เท่าที่เราเห็นจะเป็นไปในทางญาติสนิทมิตรสหาย จาเคยออกตัวว่านับถือเสี่ยเจียงเสมือนพ่อคนที่สอง ซึ่งเสี่ยเจียงเองก็ออกปากบอกว่ารักจาเหมือนลูก ในตอนที่จามีปัญหากับครอบครัว เสี่ยเจียงก็เป็นคนออกหน้าเป็นคนคอยไกล่เกลี่ยให้ ในวันที่จาแต่งงานกับ “บุ้งกี๋ ปิยรัตน์ โชติวัฒนานนท์” เสี่ยเจียงก็เป็นประธานในงานแถมยังควักกระเป๋าเป็นเงินถึง 8 ล้านบาทให้กับทั้งคู่อีกด้วย หากดูกันมานี้ก็ต้องบอกว่าความสัมพันธ์ระหว่างจากับเสี่ยเจียงนั้นลึกซึ้งไม่ต่างอะไรกับพ่อกับลูกชายเลยทีเดียว แต่ทว่าในความเป็นจริงจะเป็นเช่นนั้นจริงหรือ?

นับตั้งแต่ที่จาเดินเข้ามาเป็นเด็กในสังกัดของสหมงคลฟิล์มเมื่อปี พ.ศ. 2545 ผ่านการแนะนำของ “พันนา ฤทธิไกร” นักแสดงสตั๊นแมนรุ่นพี่ที่จานับถือ ก็เกิดโปรเจกต์ภาพยนตร์แอกชั่นไทยสไตล์อย่างองค์บากขึ้น โดยสามประสานอย่าง “ปรัชญา ปิ่นแก้ว” ผู้กำกับชื่อดังที่เป็นผู้เริ่มไอเดียในการสร้างภาพยนตร์แอกชั่นที่มีกลิ่นและรสแบบไทยๆ เรื่องนี้ “พันนา ฤทธิไกร” ผู้กำกับคิวบู๊และผู้ฝึกสอนการแสดงบทบู๊ให้กับจา และ “จา พนม” นักแสดงอดีตสตั๊นแมนที่มีลีลาไม่เหมือนใครจนพันนาตัดสินใจจะปลุกปั้นให้เกิด จึงเป็นที่มาของภาพยนตร์เรื่ององค์บากซึ่งสร้างปรากฏการณ์หนังแอกชั่นไทยที่ดังไกลระดับโลกขึ้น

นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจาก็เป็นเสมือนสินค้าชิ้นเอกของสหมงคลฟิล์ม โปรเจกต์อื่นๆ ก็เริ่มทยอยตามออกมา ไม่ว่าจะเป็นต้มยำกุ้ง, องค์บากภาคสอง และภาคสาม ซึ่งแต่ละเรื่องก็ยังคงยึดลีลาและความถนัดแบบเดิมๆ ของจามาเป็นจุดขายตลอด ซึ่งหากดูจากรายรับก็ต้องยอมรับว่าทิศทางหนังในแบบจาสไตล์ที่สหมงคลฟิล์มผลิตออกมาเริ่มจะไม่เป็นที่ถูกใจผู้ชม เพราะนับตั้งแต่ที่ต้มยำกุ้งทำรายได้ไป 180 กว่าล้านบาท องค์บากภาคสองที่ตามออกมาในอีก 3 ปีต่อมาก็ทำรายรับลดลงอย่างเห็นได้ชัดโดยได้รายรับทั่วประเทศเพียง 102 ล้านบาท ตามมาด้วยการเจ๊งอย่างถล่มทลายกับองค์บากภาคสามที่ทำรายรับทั่วประเทศไปเพียง 46 ล้านบาทเท่านั้น

จะเห็นว่าการขายจาในฐานะสินค้าหลักของสหมงคลฟิล์มเริ่มดิ่งลงเหว เพราะนอกจากลีลาแอกชั่นเหนือมนุษย์ที่เคยเป็นจุดขายแรกของจาแล้ว ต้นสังกัดก็ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่เกี่ยวกับจาออกมาแต่อย่างใด นอกจากลีลาแอกชั่นเสี่ยงตายที่ทั่วโลกยอมรับในฝีมือแล้ว แอกติ้งการแสดงของจานั้นแย่ยิ่งกว่าแย่ ซึ่งเรื่องนี้สหมงคลฟิล์มกลับไม่คิดที่จะพัฒนาหรือปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นแต่อย่างใด
ในเมื่ออยู่ที่เดิมแล้วไม่รุ่งจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จาต้องการจะเปลี่ยนแปลงขยับขยายย้ายไปอยู่สังกัดอื่นหรือแสดงภาพยนตร์กับค่ายอื่น ผู้กำกับคนอื่นบ้างเพื่อความก้าวหน้า เมื่อบริษัทภาพยนตร์ชื่อดังจากฮอลลีวูดติดต่อมามีหรือที่เขาจะปฏิเสธ

แต่หลังจากที่จาประกาศว่าจะไปแสดงภาพยนตร์ฮอลลีวูดเรื่องนี้ เสี่ยเจียงแห่งสหมงคลฟิล์มก็นำทีมออกมาประกาศว่าเขาไม่รู้เรื่องดังกล่าวเพราะจาไม่เคยมาบอกกล่าว เป็นที่น่าสังเกตว่าคนที่รักและนับถือกันถึงขนาดออกตัวว่าเป็นเหมือนพ่อคนที่สองแบบนี้แต่จากลับไม่ยอมมาบอกกล่าวเรื่องการได้รับทาบทามให้ไปแสดงภาพยนตร์ฮอลลีวูดแม้แต่น้อย ถึงขนาดที่เสี่ยเจียงยอมรับว่ารู้ข่าวนี้พร้อมๆ กับทุกคนผ่านสื่อ มีความเป็นไปได้สูงมากว่ามีเหตุผลอยู่เพียงสองประการที่ทำให้จาไม่มาบอกกล่าวหรือขออนุญาตเสี่ยเจียงว่าจะไปแสดงภาพยนตร์ฮอลลีวูด

ข้อหนึ่งคือจาอาจถูกสั่งห้ามไม่ให้ไปร่วมแสดงภาพยนตร์ฮอลลีวูดเรื่องดัง เพราะเขายังมีงานถ่ายภาพยนตร์ที่สหมงคลฟิล์มร่วมทุนกับดอล์ฟ ลุนเกรนด์ ซึ่งเสี่ยเจียงออกทุนไปกว่า 150 ล้านบาทแล้ว โดยภาพยนตร์เรื่องนี้ถ่ายทำในส่วนของดอล์ฟเสร็จเรียบร้อยแล้ว เหลือในส่วนที่จาออกตัวเป็นผู้กำกับเองซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างการถ่ายทำ หากจาต้องไปถ่ายหนังฮอลลีวูดจริงก็คงต้องทิ้งงานนี้ไป ซึ่งจาอาจมองแล้วว่าเสี่ยเจียงอาจไม่อนุญาตให้เขาไป

ส่วนข้อสองอาจเป็นเรื่องของผลประโยชน์ นั่นคือส่วนแบ่งที่ทางสหมงคลฟิล์มจะได้รับซึ่งแม้เสี่ยเจียงจะประกาศว่าไม่คิดจะเอาส่วนแบ่งสักบาทเดียวก็ตาม แต่ในหลักความเป็นจริงการที่นักแสดงในสังกัดไปรับงานแสดงที่อื่นย่อมต้องมีข้อตกลงในเรื่องการหักส่วนแบ่งซึ่งเป็นเรื่องการใช้นักแสดงในฐานะสินค้าที่ทำรายได้ให้กับต้นสังกัด ซึ่งเรื่องนี้จาคงมองว่าเขาอาจจะถูกหักค่าหัวคิวแบบฟันเละเหมือนที่ผ่านมาที่เขาได้รับส่วนแบ่งจากการแสดงภาพยนตร์เพียง 5% ซึ่งน้อยกว่าที่ปรัชญา ปิ่นแก้วในฐานะผู้กำกับได้ ถ้ามองในด้านรายได้แต่เพียงอย่างเดียวจาคงมองแล้วว่าชีวิตการแสดงในบทพระเอกนักบู๊ที่ต้องใช้ร่างกายในการแสดงตลอดเวลาคงมีเวลาในการแสดงภาพยนตร์ประเภทนี้อีกไม่นานนัก ด้วยวัย 37 ปีจึงถือว่าเป็นวัยที่ช้าเกินไปหากจะเริ่มต้นการแสดงในระดับสากลหรือที่เรียกกันว่าโกอินเตอร์แบบนี้ ดังนั้นหนทางเดียวที่จาจะทำได้หากต้องการโกอินเตอร์ก็คือต้องเริ่มต้นเดี๋ยวนี้

เสี่ยเจียงเคยออกมาเปรยลอยๆ ตั้งแต่แรกที่รู้ข่าวว่าภาพยนตร์ฮอลลีวูดชื่อดังมาทาบทามให้จาไปเป็นนักแสดงสมทบว่าเขามีความเห็นว่าต้องการให้จาไปรับบทที่ดีกว่านี้เด่นกว่านี้ ไม่ใช่บทตัวประกอบหรือผู้ร้าย เท่ากับว่าเป็นการบอกเป็นนัยๆ ว่าเขาไม่เห็นด้วยที่จาตกปากรับจะไปแสดงภาพยนตร์เรื่องนี้

แต่หากดูเส้นทางการโกอินเตอร์ของ “เฉินหลง” กับ “เจ็ท ลี” สองยอดนักแสดงบู๊ของเอเชียที่เริ่มต้นกรุยทางในฮอลลีวูดด้วยบทนักแสดงสมทบก่อนจะก้าวขึ้นไปเป็นนักแสดงหลักก็ต้องบอกว่าเส้นทางการเติบโตแบบนี้ถือเป็นเรื่องปกติที่นักแสดงต่างชาติหลายคนใช้สำหรับการโกฮอลลีวูด

การที่เสี่ยเจียงออกมาพูดในทำนองลำเลิกบุญคุณอย่างเช่นการกล่าวว่า “ตอนที่ยังไม่ดังมาก้มกราบเท้า พอดังแล้วเราต้องไปกราบมัน” ยิ่งตอกย้ำว่าที่เขาทำไปทั้งหมดที่ผ่านมานั้นห่างไกลกับคำว่า “พ่อคนที่สอง” อย่างที่จาเคยใช้ลิบลับ เพราะเอาเข้าจริงๆ พ่อคนนี้ก็มอง “ลูกจา” เป็นเพียง “ลูกจ้าง” คนหนึ่งที่ต้องทำเงินให้กับเขาเท่านั้น

เรื่องระหว่าง “จาพนม” กับสหมงคลฟิล์มที่นำโดย “เสี่ยเจียง” จึงเป็นภาพยนตร์เรื่องยาวที่ไม่มีทีท่าว่าจะจบลงอย่างง่ายๆ ในขณะที่ภาพยนตร์ต้มยำกุ้งภาค 2 กำลังจะเข้าโรงฉาย ภาพยนตร์ Fast and Furious 7 ที่ทาบทามจาให้ไปเป็นส่วนหนึ่งก็ใกล้จะเปิดกล้องเต็มที โดยที่คำประกาศของเสี่ยเจียงที่ว่า “ถ้าจารับเล่นผมก็จะฟ้องแน่นอน” ยังคงดังก้อง ทางฝั่งจาเองก็ยังคงเป็นขอมดำดิน เงียบหายชนิดที่ไม่มีใครติดต่อได้เหมือนเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา ภาพยนตร์เรื่องยาวเรื่องนี้ก็คงขึ้นอยู่กับว่าจะเลือกมองมุมไหน แต่หากความถูกต้องทางกฎหมายไม่ได้ไปในทิศทางเดียวกับความถูกต้องทางศีลธรรมเช่นนี้ก็คงต้องบอกได้คำเดียวว่าจบยาก
....................................................................

ที่มานิตยสาร ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 205 วันที่ 7-13 กันยายน 2556
สัญญา
เสี่ยเจียงนำแถลงข่าว

พ่อคนที่สอง?
กำลังโหลดความคิดเห็น