“ต๊ะ นิรัตติศัย” เผยความมหัศจรรย์ของ “หมอดูอีที” บอกเคยลองของมาแล้ว เพราะไม่เชื่อว่าแม่นจริง แต่สุดท้ายก็ต้องยอมรับในความสามารถ บอกหมอดูอีทีมีฌาน และมีสิ่งพิเศษอยู่ใกล้ตัว สุดประทับใจที่เป็นคนพิการแต่สามารถสร้างวัดสร้างโรงพยาบาลให้คนพม่ารักษาฟรี
สร้างความฮือฮาเลยทีเดียวเมื่อ “ต๊ะ นิรัตติศัย กัลย์จาฤก” ได้ประกาศสร้างละคร “คนเหนือโลก” ที่สร้างจากชีวิตจริงของ “หมอดูอีที” หมอดูชาวพม่าที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก คนใหญ่คนโต นักธุรกิจ นักการเมือง ทั่วโลกต่างต้องบินมาดูดวงกับหมอดูอีที ที่ว่ากันว่า แม่นราวกับตาเห็น ด้วยสนนค่าดูดวง 30,000 บาท ในเวลา 15 นาที
หมอดูอีทีเป็นหมอดูพิการมือเท้าหงิกสมัยเด็กๆ เคยพูดได้ แต่พอโตขึ้นเสียงกลับค่อยๆ หายและพูดไม่ได้ในที่สุด จะดูดวงผ่านการอ่านปากของ “มะตีตี้” น้องสาว และเขียนบนกระดาษ ใครที่ได้มาดูดวงกับหมอดูอีทีมักจะอึ้งทึ่งไปตามๆ กัน เช่นเดียวกับ ต๊ะ นิรัตติศัย ที่เคยลองของกับหมอดูอีทีมาแล้ว กว่าจะยอมรับในความมหัศจรรย์ในการทำนายดวง
ต๊ะรู้จักกับหมอดูอีทีมานับ 10 ปีแล้ว และมีโอกาสได้ทำบุญร่วมกันมาโดยตลอด กระทั่งในปีนี้กันตนาครบรอบ 60 ปี และช่องมิราเคิลสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมที่ต๊ะดูแลอยู่ครบรอบ 4 ปี จึงได้ถือโอกาสนี้สร้างละครชีวประวัติของหมอดูอีที เพื่อเป็นการเฉลิมฉลอง นอกจากนั้นแล้ว ก็ยังเป็นการเผยแพร่บอกบุญให้ผู้คนมาร่วมทำบุญสร้างโรงพยาบาลและสร้างวัดกับหมอดูอีทีที่พม่า
อยู่เมืองไทยแต่จิตกุศลไกลถึงพม่า อะไรที่ทำให้ต๊ะศรัทธามหาศาลขนาดนี้เราไปฟังกัน....
“โปรเจกต์นี้เกิดจากการที่ผมรู้จักกับท่านอาจารย์อีทีมาสิบกว่าปีแล้ว ก็ไปๆ มาๆ กับครอบครัวท่าน เราก็เห็นว่ามีคนมาขอท่านสัมภาษณ์อยู่บ่อยๆ เราก็เกรงใจไม่กล้าจะทำไม่กล้าจะพูด แต่พอดีว่า 2-3 ปีหลังท่านชวนเราไปทำบุญตลอดและเราก็ไปกับท่าน และมาปีนี้มันครบรอบ 4 ปีของช่องมิราเคิล และ 60 ปีกันตนาด้วย ก็เลยมาคิดว่าควรจะทำอะไร”
“ซึ่งท่านก็บอกว่า ดวงเราควรจะทำอะไรเกี่ยวกับสองประเทศนี้เพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรี ผมก็บอกว่า ผมทำอะไรไม่เป็นหรอกนอกจากทำละครกับรายการ ก็เลยคิดว่าจะทำสัมภาษณ์ท่านไปออกในช่องมิราเคิล ท่านก็โอเคและก็เล่าเรื่องราวของชีวิตท่านให้ฟัง ปรากฏว่าในสิ่งที่ท่านเล่ามันมีความเป็นละครมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความรู้สึกของท่านตั้งแต่เกิดมา เรื่องของพ่อแม่ที่จะต้องเลี้ยงดูลูกที่พิการหนึ่งคนและตัวท่านก็ไม่ได้เรียนหนังสือ คือมันมีหลายเรื่องราวเราก็เลยรู้สึกว่ามันน่าจะทำเป็นละคร”
“ก็เลยคุยกับท่านว่างั้นเราขอเชื่อมให้มันยาวๆ ได้ไหม ซึ่งเราก็รู้ว่าท่านไม่เคยให้ใคร มีคนมาขอสัมภาษณ์เยอะมาก มาขอเรื่องไปทำก็เยอะมาก แต่ท่านไม่เคยให้ใคร แต่ท่านตอบตกลงเพราะท่านรู้จักกับเรามา 10 ปี เราทำบุญร่วมกับท่านมาจนรู้ว่าเราเป็นคนยังไง และก็มีความรู้สึกว่า เราจะทำออกมาได้เหมือนจริงมากที่สุด ท่านก็เลยอนุญาต”
“การคัดเลือกนักแสดงยากมาก เราสัมภาษณ์ท่านอยู่ 2 เดือน ทำให้รู้เรื่องราวมากมาย ท่านก็ก๊อบปี้รูปส่งมาให้เป็นรูปในช่วงวัยเด็ก เราก็เอามาเทียบกับรูปนักแสดงของเราและก็เริ่มแต่งหน้าแคสติ้งจนได้นักแสดง และก็เอามาแต่งหน้าแต่งตัวให้ท่านดู ท่านก็บอกว่าเหมือนมากๆ ครอบครัวท่านมาดูก็แฮบปี้มีความสุข”
“ละครเรื่องนี้ทำยาก เพราะเป็นการทำประวัติของคนที่ยังมีชีวิตอยู่ทั้งหมด พอเราทำบทเสร็จก็ต้องส่งไปให้ท่านและครอบครัวดูว่าตรงตามนี้ ไม่เหมือนกับทำประวัติที่เสียชีวิตไปแล้วเราสามารถสมมติได้ งบประมาณในการสร้างเรื่องนี้ถ้าเทียบกับดาวเทียมก็ถือว่าสูงมากเฉพาะเราจ่ายเองก็ 8 ล้าน ยังไม่รวมกับที่สปอนเซอร์หรือคนที่ศรัทธามาสนับสนุนอีกต่างหาก รวมๆ แล้วก็เป็นตัวเลขที่สูงเหมือนกัน”
ลองของ “หมอดูอีที”
“คนที่มาดูดวงกับท่านใช่ว่ามีเงินแล้วจะได้ดูนะครับ ต้องเป็นคนที่ดวงชงกับท่านจริงๆ บางคนติดต่อมาทางผมว่า อยากจะดูดวงกับท่าน รอ 8 เดือนหรือเป็นปีกว่าจะได้ดู หลายคนที่เป็นนักการเมืองหรือเศรษฐีเหมาลำเครื่องบินไปเลยก็มีแต่ก็ไม่ได้ดู บางคนจองไว้นานเป็นปีแล้วแต่ถ้ามันยังไม่ถึงเวลาที่จะต้องเปิดกรรมท่านก็จะไม่ดู แต่ถ้าถึงเวลามันจะได้ดูเอง นักแสดงที่เล่นเป็นหมอดูอีทีก็ยังไม่ได้ดูเลย และถ้าได้ดูก็จะทึ่งแต่ถ้าไม่เคยเจอก็เหมือนกับเรางมงาย”
“ผมเมื่อก่อนเป็นคนที่ไม่เชื่อเรื่องดวงแถมยังลองของกับท่านมาแล้ว จำได้ว่าตอนนั้นทำละครเรื่องกษัตริยาก็ไปพม่า คนที่นั่นก็บอกไปดูหมอไหมพูดไม่ได้ฟังไม่ได้ยิน ผมก็บอกอ้าว...แล้วผมจะรู้เรื่องได้ไง เค้าก็บอกไปลองสิๆ ไปที่ไหนๆ ก็มีแต่คนบอกว่าไปพม่าได้ไปดูดวงกับหมอดูอีทีหรือยัง พอหลายๆ ครั้งก็รู้สึกว่าน่าลองเหมือนกันนะ”
“พอผมไปดูก็เป็นจังหวะที่ได้ดูเลยทั้งที่คนอื่นต้องรอกันนาน พอเข้าไปปุ๊บท่านก็ให้เราเอากระเป๋าเงินขึ้นมาวางและท่านก็แตะกระเป๋า และก็เขียนเลขบนกระดาษบัตร และให้เราดูในกระเป๋าว่าเป็นตัวเลขนี้อยู่ในแบงค์ไหม เราก็เปิดออกมาตรงเป๊ะทุกตัวเลขเลย เราก็คนทำหนังก็คิดว่าต้องมีเครื่องเอกซเรย์อะไรซักอย่างหนึ่งที่เป็นวิทยาศาสตร์แน่นอน เพราะเขาไม่ได้ถามอะไรเราเลยอยู่ดีๆ ก็เขียนเลขและเปิดกระเป๋าขึ้นมาก็ตรง และท่านก็ทำนายว่าอีก 3 เดือนนะจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ๆ”
“ดูเสร็จก็กลับบ้านก็มานั่งคิดว่ามันจะเป็นไปได้ยังไง พอหลังจากนั้น 3 เดือนมันเริ่มเกิดตามคำทำนายมาเรื่อยๆ เราก็เฮ้ย..ทำไมมันเป็นไปได้ อย่างเรื่องที่ท่านทำนายว่าผมจะได้เล่นหนังฮอลีวูดส์กับนักแสดงดังมันเป็นไปได้ไง เพราะเราเป็นผู้กำกับมาทั้งชีวิตแต่จะไปเป็นนักแสดงได้ไง แต่อยู่ดีๆ ก็มีคนโทรมาบอกว่า ให้ไปแคสติ้ง ผมก็เลยบอกกับที่บ้านเลยว่า ผมรู้มาก่อนว่าผมจะได้เล่นเรื่องนี้แน่นอนแต่ผมจะไม่แคสติ้งทุกอย่างเขาจะได้ไม่เอาผมเล่นเพื่อจะไม่ให้เป็นไปตามคำทำนาย”
“พอไปถึงปุ๊บทางกองถ่ายบอกว่า ถ่ายรูปหน่อยผมบอกไม่ให้ถ่าย ขอให้ผมแสดงหน่อยผมก็ไม่แสดง ผมบอกว่าผมมาแล้วนะผมกลับแล้วแล้วผมก็กลับ พอวันรุ่งขึ้นเขาก็โทรมาตามผมก็บอกว่าผมไม่ว่าง เขาโทร.มาตาม 3 ครั้ง ผมก็บอกว่าไม่ว่าง จนวันหนึ่งเขาขอว่าขอแวะเข้ามาหน่อยเถอะโปรดิวเซอร์ก็มาแล้วผู้กำกับก็มาแล้ว เราก็เออโทร.มา 3 ครั้งแล้วก็ลองๆ ไปดูยังไงก็ไม่ได้อยู่แล้วแหละเพราะเรากวนเขาตลอดเลย โปรดิวเซอร์มาก่อน 2 วันของดูตัวก็ไม่ให้ดู คนมาแคสติ้งเราก็ไม่ให้แคสติ้ง”
“พอไปถึงก็นั่งคุยกับโปรดิวเซอร์นิโคลัส เคจ เขาก็ถามว่าคุณแสดงได้ไหม ผมก็กวนบอกว่าไม่รู้ เขาถามทำงานอะไรเราก็บอกรับจ้างธรรมดาไม่ได้บอกว่าเป็นผู้กำกับหรืออะไร ก็คุยกันไปเรื่อยสุดท้ายเขาก็บอกว่า คุณต้องเล่นเป็นมาเฟียนะคุณจะทำได้เหรอ เราก็บอกว่าไม่รู้ ผู้กำกับก็เดินมาทางข้างหลังผมโดยที่ไม่เห็นหน้าผมนะ มาถึงก็ตบหลังผมแล้วบอกว่าเอาคนนี้ เนี่ยมันมาเฟียตัวจริงมันพูดแบบนี้ เราก็หันไปมองอ้าว..อ๊อกไซแปง โปรดิวเซอร์ก็บอกว่ามันไม่ทำอะไรเลยมันจะเล่นได้เหรอ อ๊อกไซแปงก็บอกเอาบทให้มันไปเลยเดี๋ยวมันก็เล่นได้เอง เราก็โอ้โห...มันเป็นไปได้ยังไงทำไมเราได้เรากวนเขามากจนช่างภาพที่อังกฤษลือกันมากว่า เป็นนักแสดงไทยที่กวนมากที่สุด”
“พอผ่านไป 3 เดือนคราวนี้ผมก็กลับไปหาหมอดูอีทีอีกจะไปลองของเลยตั้งใจว่าคราวนี้จะลองจริงจัง ผมก็เอาเงินใส่กระเป๋าไป 4 ประเทศและก็สับเป็นไพ่ใส่ในกระเป๋า ไปถึงท่านให้วางก็วางท่านก็มองหน้าเรายิ้มๆ และท่านก็เขียนบรรทัดแรกให้เราหาก็หาไม่เจอ เราก็ขำละแสดงว่ากล้องเอกซเรย์ใช้ไม่ได้ละ และก็มาเขียนบรรทัดที่ 2 ก็หาอีกก็หาไม่เจอ เขียนบรรทัดที่ 3 ก็หาไม่เจอท่านก็วางปากกาแล้วก็ยิ้มบอกให้หาใหม่”
“เราก็เอาเงินออกมาจัดแยกประเทศ เพราะมีทั้งสิงคโปร์ เวียดนาม ดอลล่าร์ ไทย พอแยกออกมาก็หาไม่เจออีก ท่านก็เลยเขียนใหม่ว่า บรรทัดแรกดอลล่าร์ บรรทัดที่ 2 เวียดนาม บรรทัดที่ 3 สิงคโปร์ เราก็เลยไปดูดีๆ คราวนี้มันเจอหมดเลย เราก็เลยขอโทษที่มาลองของท่านก็ยิ้ม คนที่มาดูนี่มีหลายคนที่มาลองของ ผมรู้จักท่านมา 10 ปีก็รู้เห็นมาตลอดว่ามาแบบไหน หมอดูก็มีเอาของไปลองพอนั่งปุ๊บท่านบอกเลยว่า เอาของนี้ออกไป”
“จากนั้นมาผมก็ไปมาหาสู่กับท่านตลอดท่านก็ชวนไปทำบุญผมก็ทำ เพราะปกติเป็นคนที่ชอบทำบุญอยู่แล้วและยิ่งมาเจอท่านมันก็ทำให้เรายิ่งทำบุญมากขึ้น มันไม่ธรรมดานะกับคนๆ หนึ่งที่ไม่สมบรูณ์แต่สามารถสร้างโรงพยาบาลได้สร้างวัดได้ สามารถที่จะทำบุญให้คนมารักษาฟรีได้ตลอดเวลามันต้องเป็นคนไม่ธรรมดา”
“และเราก็ได้รู้ได้เห็นตลอดว่ามีผู้ใหญ่คนใหญ่คนโตทั่วโลกที่ไปหาท่าน อันนี้คือเห็นกับตาคือใครๆ ก็มาหาท่าน และนอกจากจะดูดวงแล้วท่านก็ยังช่วยแก้ไข แต่การแก้ของท่านเป็นเรื่องง่ายๆ ไม่ใช่บอกว่าเอาเงินมานะเดี๋ยวจะไปแก้ให้ ท่านจะบอกให้ไปทำบุญเดี๋ยวไปปล่อยนั่นนะ เดี๋ยวทำตรงนี้นะ เดี๋ยวท่านจะสวดมนต์ให้นะ คือให้เราไปทำบุญของเราเอง”
“ถ้าเป็นที่เมืองไทยคงทำของขลังขายไปแล้วแต่ท่านไม่ทำ ทุกวันนี้เดือนหนึ่งท่านดูดวงได้ 7 ล้านยูเอสนะ แล้วถ้าท่านทำของขายจะได้เงินเท่าไหร่เป็นแสนล้านเลยนะ แต่ถึงจะได้เงินเยอะขนาดนั้นชีวิตท่านสมถะมาก บ้านท่านก็เป็นบ้านเล็กๆ ธรรมดาเพราะท่านต้องทำบุญ”
ปริศนาสัมผัสพิเศษ
“ท่านมีสัมผัสพิเศษตั้งแต่เกิด และท่านก็เป็นคนที่ปฏิบัติธรรมมาตั้งแต่เด็กก็เลยทำให้มีฌาน และมีคนพิเศษที่อยู่กับท่านตลอด มันเป็นเรื่องของมิติลี้ลับด้วย คือจะมีคนที่พิเศษอยู่ใกล้ๆ บอกท่าน อย่างถ้าคุณไปดูท่านไม่ถามวันเดือนปีเกิด แต่แฟนคุณ พ่อคุณ แม่คุณชื่ออะไรท่านบอกได้หมดเลยไม่ใช่บอกแต่ลักษณะนะ”
“อย่างผมเองนี่ไปหาท่านทุกต้นปี ท่านก็จะบอกเลยว่าปีนี้นะจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเรา และใครทำอะไรกับเราบ้างท่านจะเขียนชื่อคนที่จะทำ(รู้ขนาดนี้ก็ต้องรู้อดีตชาติ) รู้เพราะสิ่งที่ท่านได้มาเป็นสิ่งที่ได้มาจากชาติที่แล้วเป็นบุญที่สั่งสมมาในละครก็จะบอกว่าท่านทำยังไงถึงมีสัมผัสพิเศษมันเกิดจากอะไร”
“คือคนที่ดูละครเรื่องนี้จะได้เห็นเรื่องบาปบุญคุณโทษ ถามว่างมงายไหมมันก็เหมือนเส้นบางๆ นะแล้วแต่วิจารณญาณ แต่เราคิดว่าการที่เราสร้างละครเรื่องนี้มาเพื่อเผยแพร่ไปยังผู้คนให้ตระหนักถึงเรื่องบาปบุญ มันก็แล้วแต่ว่าแต่ละคนจะได้หรือไม่ได้ เราอยากให้ละครเรื่องนี้ออกมาเพื่อให้ข้อคิดกับประชาชน”
สร้างละครเพื่อสร้างบุญ
“จริงๆ เราเริ่มการทำงานด้วยความศรัทธาไม่ได้คิดถึงเรื่องความร่ำรวยก่อน เราคิดถึงว่าเราจะทำยังไงที่จะหาคนที่ศรัทธาในตัวท่านและพุทธศาสนามาสร้างบุญ เพราะท่านได้สร้างโรงพยาบาลสร้างวัด ถ้าใครที่ดูแล้วมาร่วมทำบุญกันทำนุบำรุงศาสนากันก็เท่ากับว่าผมและทีมงานก็ได้ทำบุญไปด้วย และถือว่าเป็นการได้ทำบุญตลอดชีวิตเพราะโรงพยาบาลของท่านรักษาฟรี คือที่นี่จะรักษาคนที่ยากไร้แต่ขอให้เป็นพระสงฆ์กับพ่อแม่พระสงฆ์ก่อน และหลังจากนั้นก็เป็นคนยากไร้”
“สำหรับผมท่านไม่ธรรมดา ท่านเป็นคนพิการแต่สามารถทำได้ขนาดนี้ไม่ได้ไปโกงเงินใครมาแต่เป็นความศรัทธาที่ทำให้ทุกคนร่วมกันทำบุญ ซึ่งถ้าผมไปช่วยท่าน 1 ล้านเงินมันก็หมดไปที่ 1 ล้าน แต่ถ้าผมทำแบบนี้แล้วคนได้เห็นได้รู้และศรัทธาอยากจะร่วมทำบุญก็ถือว่าเป็นกุศล บุญที่ผมได้เผยแพร่ที่ผมได้สร้างมันก็จะไปอยู่ในวัดไปอยู่ในเครื่องมือแพทย์ เท่ากับว่าผมและทีมงานได้ทำบุญไปตลอดชีวิต จริงๆ ก็อยากให้ประเทศเรามีคนทำแบบนั้นบ้างนะ ผมจะได้ไม่ต้องไปทำที่โน่น”
“ก็อยากให้ดูกันครับการที่คนดูได้เห็นว่าท่านสู้ชีวิตมาตั้งแต่เล็กๆ ยังไง พอคลอดออกมาแล้วพ่อแม่บอกว่า ใช่ลูกฉันหรือเปล่ามันเป็นยังไง เรียนหนังสือก็ไม่ได้เรียนแต่ลูกคนอื่นได้เรียนหมด แต่ท่านก็สู้ชีวิตมาจนถึงทุกวันนี้ไปไหนก็มีแต่คนรู้จักท่าน เราก็อยากจะเผยแพร่การสู้ชีวิตของคนพิการคนหนึ่งที่มีแต่ความดีที่มอบให้กับศาสนา อยากจะให้คนดูได้คิดใครที่ท้อแท้กับชีวิตถ้ามองละครเรื่องนี้จะเห็นภาพว่าเราจะเดินไปทางไหน”
สำหรับใครที่สนใจละคร “คนเหนือโลก” ติดตามชมได้เร็วๆ นี้ที่ช่อง มิราเคิลชาแนล, ทรู 63, ทรู 86