นาทีนี้ถ้าเอ่ยถึงชื่อ “หมอดูอีที” หมอดูชาวพม่า น้อยคนนักที่จะไม่รู้จัก หมอดูอีทีในวัย 52 ปี พิการมือเท้าหงิก พูดไม่ได้ แต่สามารถดูดวงได้แม่นราวกับตาเห็น หมอดูอีทีจะดูดวงผ่านการอ่านปากของ “มะตีตี้” ผู้เป็นน้องสาว และเขียนบนกระดาษ ความไม่ธรรมดาทำให้หมอดูรายนี้โด่งดังไปทั่วโลก ดังขนาดที่ว่านักธุรกิจ นักการเมือง และคนใหญ่คนโตจากทั่วโลกต้องบินไปดูดวงด้วย ซึ่งแต่ละเดือนหมอดูอีทีโกยเงินเข้ากระเป๋าจากการทำนายดวงได้กว่า 350 ล้านเลยทีเดียว
ไม่ใช่มหัศจรรย์แค่เรื่องแม่นอย่างเดียว แต่เรื่องราวชีวิตของหมอดูอีทีก็น่าสนใจไม่แพ้กัน เราจึงไม่พลาดที่จะไปบุกบ้านหมอดูอีทีถึงประเทศพม่า และพูดคุยกับ “มะตีตี้” น้องสาว ถึงความไม่ธรรมดาของหมอดูอีที ว่าดูได้แม่นราวกับตาเห็นขนาดนี้เพราะมีพลังอะไรอยู่ในตัวหรือเปล่า ซึ่งปริศนาทั้งหมดที่ว่ามา หมอดูอีทียินดีเป็นเผยที่นี่เป็นครั้งแรก
เกิดในครอบครัวคนธรรมดา ไม่ได้พิการแต่กำเนิด
“ตอนเด็กๆ พ่อเป็นผู้จัดการธนาคาร เป็นคนธรรมดาสามัญชน ไม่ได้พิการแต่กำเนิด พออายุ 15 เขาไปไหว้พระ แล้วไม่สบายมากๆ อยู่ๆ หูก็หนวกไม่ได้ยิน พูดก็ไม่ได้ทั้งที่ตอนแรกพูดได้ มะตีตี้ห่างกับหมอดูอีที 2 ปี หมอดูอีทีจะพูดช้ากว่าคนอื่น สมมติคนอื่นพูดได้ตอน 2 ขวบครึ่งเขาก็จะพูดตอน 3 ขวบ อย่างเดินหมอดูอีทีก็เดินได้พร้อมน้องสาว หมอดุอีทีจะอยู่กับมะตีตี้ตลอด เวลาจะทำอะไรหมอดูอีทีก็จะทำตามน้องตลอด ตอน 3-4 ขวบพ่อแม่ก็สังเกตุว่าผิดปกติแล้ว แต่มารู้ชัวร์ๆ ตอน 9 ขวบ”
ต้องกลายเป็นคนพิการ แต่กลับได้ “ฌาน” พิเศษมาแทน
“แต่ตอนที่หูไม่ได้ยินเขากลับยิ่งได้พลังเยอะมาก เริ่มแสดงความมหัศจรรย์ตั้งแต่เด็กๆ แล้ว พูดอะไรก็แม่นมาก เขาสามารถบอกได้ว่าใครคือโจร ใครคือขโมย ตอนที่แสดงให้รู้ว่าหมอดูอีดูดวงได้ก็คือตอนที่เขาอายุ 9 ขวบ แล้วลุงของเขามาที่บ้านบอกว่าแหวนหาย แล้วก็จะจับคนแถวบ้านไปให้ตำรวจเพราะเข้าใจว่าเป็นคนขโมย แต่ตอนนั้นหมอดูอีทีหูยังได้ยินอยู่ เขาก็บอกว่าคนนี้ไม่ใช่ขโมยนะ แหวนมันอยู่ในลิ้นชักในตู้นั่นแหละ ให้ไปดูดีๆ ลุงก็เลยกลับไปค้นดูแล้วก็หาเจอจริงๆ เหตุการณ์นี้ทำให้ทุกคนรู้ว่าหมอดูอีทีมีฌาณพิเศษ”
“หลังจากนั้นลุงก็กลับมาหาหมอดูอีทีอีก แล้วก็ให้หมอดูอีทีดูดวงให้ว่าตัวเองจะได้แต่งงานกับใคร เนื้อคู่เป็นใคร โดยที่ในใจก็มีคำตอบในใจอยู่แล้วว่าตัวเองชอบผู้หญิงที่เป็นไฮโซ เพราะลุงเป็นคนสนุกสนานเฮฮา ชอบไปปาร์ตี้ แต่หมอดูอีทีก็บอกว่าลุงจะได้แต่งงานกับคนบ้านนอก ลุงเขาก็ไม่เชื่อ แล้วมีวันนึงเขาก็ขับรถไปที่ภาคกลางของพม่า แล้วที่นั่นมีต้นตาล ไปกินน้ำตาลแล้วเมา ก็เลยมีคนแก่คนนึงพาไปที่บ้าน แล้วลุงก็ไปพบรักกับสาวบ้านนั้น ทุกคนก็เลยรู้ว่าหมอดูอีทีมีฌาณพิเศษตอนนั้น แต่พ่อก็กลัวว่าหมอดูอีทีจะเป็นอันตราย พ่อเขาก็เลยไม่อยากให้ดูหมอ ตอนที่พ่อเกษียณหมอดูอีทีก็บอกว่าจะเป็นคนหาเงินเลี้ยงครอบครัวเอง จึงได้มีหมอดูอีทีมาจนทุกวันนี้”
มีฌาณพิเศษขนาดนี้จึงไม่แปลกที่หมอดูอีทีจะเห็นผีสางนางไม้
“หมอดูอีทีสามารถเห็นผีได้ มีคนรวยที่อินโดนีเซียจะซื้อบ้าน ก็เชิญหมอดูอีทีไปดูให้ พอหมอดูอีทีไปเขาก็ถอย ไม่ยอมเข้าบ้าน เพราะเขาเห็นผู้หญิงคนนึงท้องและตายอยู่ในบ้านหลังนี้ แต่เขาก็กลัวมาก ตอนนี้ก็ยังกลัว อย่างเวลาไปไหว้พระเขาก็เห็นสิ่งศักดิ์สิทธ์”
“แต่ก็มีเหมือนกันที่เขากลัวกับการที่เห็นสิ่งเหล่านี้ เขาเคยอยากเป็นคนธรรมดา เพราะแล้วอย่างเวลาที่เขาต้องช่วยคน อย่างคนที่โดนไสยศาสตร์มา แล้วหมอดูอีทีต้องช่วยเอาออก เขาก็ต้องโดนด้วย เขาก็เหนื่อยล้าเหมือนกัน ก็เลยทำให้บางทีเขาก็ไม่อยากดูหมอแล้ว แต่พอได้ช่วยคนเขาก็คิดว่าชาติหน้าจะได้ไม่พิการ เขาก็เลยยินดีจะทำต่อไป บางครั้งหลังจากทีทำนายแล้วหมอดูอีทีรู้สึกว่าพลังเขาต่ำลง ก็เลยเหมือนกับว่าต้องชาร์ตแบต เขาก็เลยต้องนั่งสมาธิ แต่เขานั่งสมาธิตั้งแต่เด็กๆ อยู่แล้ว”
มหัศจรรย์ถึงขั้นรู้อดีตชาติของตัวเองว่า ชาติก่อนเคยหักมือแม่ ชาตินี้ก็เลยพิการ
“ตอน 2 ขวบหมอดูอีทีพูดได้ เขาก็เลยบอกว่าอดีตชาติเขาเคยหักมือแม่เขา พอแม่เขาตายไป แล้วเขาโตขึ้นมาก็ไปเป็นมัคทายกของวัด แล้วถูกโจรที่มาปล้นวัดเอาน้ำร้อนมาลวกตนทั้งตัว พอเกิดมาชาตินี้ก็เลยเกิดมาร่างกายไม่สมบูรณ์”
ส่วนที่หลายคนสงสัยว่าเจ้าตัวมีพลังอะไรหรือเปล่า ถึงได้แม่นราวกับมีพรายกระซิบนั้น “มะตีตี้” น้องสาว ได้เฉลยว่า...
“เขาบอกว่ามีแม่เขาที่เป็นเทวดาที่ดูแลเขาอยู่ เป็นคนบอกให้เขาบอกคน ดูดวงให้คน เวลาเขาจะทำนายดวงก็จะมีเทวดาซึ่งก็คือแม่เขาเป็นคนบอก ตอนเด็กๆ เขาไม่ต้องอ่านหนังสือเลย แต่เวลาสอบได้ที่หนึ่งตลอด เพราะแม่เขาบอก”
เห็นหมดูอีทีฟันเงินค่าดูดวงได้เดือนละ 350 ล้าน มีคนทุกระดับบินไปดูดวงด้วย แต่ใช่ว่ามีเงินแล้วจะได้ดูทุกคน
“คนที่บินมาหาหมอดูอีทีไม่ใช่จะได้ดูทุกคน เพราะถ้าคนไหนดวงไม่ถึงเวลาจะได้เปิดกรรม ต่อให้บินไปเป็น 10 รอบก็ไม่ได้ดู บางคนต้องรอเป็น10 ปีก็มีมาแล้ว ที่ผ่านมาก็มีผู้นำจากประเทศต่างมาดูเยอะ แต่เขาไม่อยากดูเรื่องการเมืองเพราะมันอันตรายกับตัวเอง ถ้าเราช่วยทางนี้ทางโน้นก็มีปัญหา แต่ถ้าเราช่วยทางโน้น ทางนี้ก็มีปัญหา การจะดูให้หรือไม่ให้ขึ้นอยูกับหมอดูอีทีว่าจะดูให้หรือเปล่า ต่อให้รวยมาจากไหนถ้าไม่อยากดูก็จะไม่ดูเลย คือขึ้นอยู่กับว่าดวงเรากับดวงเขาสมพงษ์กันมั้ยด้วย ถ้าไม่ใช่ก็ไม่ได้ดู ยิ่งถ้าใครอยากจะดูตอนนี้ยิ่งยาก เพราะหมอดูอีทีกำลังยุ่งกับการสร้างวัดและโรงพยาบาลรักษาฟรีที่พม่า ทำให้ไม่มีเวลา”
ส่วนวิธีการดูดวงของหมอดูอีที ไม่ต้องใช้ตัวช่วยใดๆ ทั้งสิ้น แค่เห็นหน้าไม่ต้องบอกวันเดือนปีเกิด หมอดูอีทีก็สามารถบอกได้เลยว่าคนนี้ชื่ออะไร เกิดวันที่เท่าไหร่ เกิดที่ไหนซึ่งเป็นที่สังเกตุว่าเวลาดูดวงหมอ ดูอีทีจะต้องมองเพ่งไปที่หิ้งพระทุกครั้ง พอมองเสร็จก็จะเขียนหรือพูดกับมะตีตี้ให้ถ่ายทอดออกมา ราวกับว่ามีใครที่อยู่บนหิ้งพระคอยบอก ใครที่ได้ดูดวงกับหมอดูอีทีต่างก็อึ้งไปตามๆ กัน
อีกอย่างหนึ่งที่ทึ่งไม่แพ้กัน นั่นก็ก็คือการทายตัวเลขธนบัตร โดยหมอดูอีทีจะให้เราวางกระเป๋าเงินไว้ จากนั้นก็จะแตะที่กระเป๋า แล้วก็จะเขียนเลขบนกระดาษเป็นเลข 7 ตัว ซึ่งเป็นเลขในแบงค์ของเรา พอเปิดออกมาก็ตรงเป๊ะทุกตัวเลขอย่างเหลือเชื่อ โดยหมอดูอีทีจะให้เราเก็บแบงค์นั้นไว้เป็นแบงค์โชคดีติดตัวไปตลอดชีวิต เรื่องนี้ “ต๊ะ นิรัตติศัย กัลย์จาฤก” ผู้กำกับชื่อดังของไทย เคยลองดีมาแล้ว ด้วยการเอาเงินใส่กระเป๋าไป 4 ประเทศ มีทั้ง สิงคโปร์ เวียดนาม ดอลล่าร์ และไทย ผลปรากฎว่าตรงเผงทุกตัว จนเจ้าตัวซูฮกเกิดความศรัทธามาเป็น 10 ปีแล้ว
นักข่าวเองก็เห็นมากับตา เพราะแค่เอารูปแฟนให้หมอดูอีทีดู เจ้าตัวจะสามารถบอกชื่อและนามสกุลได้ถูกต้องยังกับอ่านมาจากทะเบียนบ้าน แม่นจนทุกสาขาอาชีพแห่แหนมาใช้บริการ ทั้ง นักธุรกิจ นักการเมือง คนใหญ่คนโตจากทั่วโลก แม้แต่นักโทษชาย “ทักษิณ ชินวัตร” และอดีตเมีย อย่าง “พจมาน ณ ป้อมเพชร” ก็เป็นหนึ่งในลูกค้า ยอมเสียเงินเสียเวลาไปให้ตรวจดวง ส่วนราค่าดูดวงก็สมราคาคุย 30,000 บาท ในเวลา 15 นาที ซึ่งแต่ละเดือนหมอดูอีทีฟันเงินได้กว่า 350 ล้าน สูงที่สุดในบรรดาหมอดูด้วยกัน เรียกว่าดูดวงอย่างเดียวก็สบายไปทั้งชาติ