เขากลับมาแล้ว “ต๊ะ นิรัตติศัย กัลย์จาฤก”
ห่างหายไปจากวงการบันเทิง 2-3 ปี หลังจากที่ ภาพยนตร์เรื่อง "คนไททิ้งแผ่นดิน" ไม่ประสบความสำเร็จดังคาดและตั้งใจไว้ ด้วยเหตุที่บ้านเมืองมีสถานการณ์วิกฤติรุนแรงอันเกิดจากคนไทยแบ่งแยกเป็น 2 ขั้ว ทำให้เกิดผลกระทบต่อการมาชมภาพยนตร์และเศรษฐกิจสังคมโดยรวม ต๊ะ-นิรัตติศัย ก็เลยปลีกตัวจากวงการไปเงียบๆ เขาหายไปไหน ไปทำอะไร...
“ไปเป็นผู้เชี่ยวชาญ เป็นที่ปรึกษาทางด้านบันเทิง กันตนาส่งไปเวียดนาม ไปอินโด เราก็ไปสร้างโปรดักชั่น สร้างบริษัทตั้งแต่ยังไม่มีอะไร เริ่มวางแผน สร้างแลนด์สเคปโรงถ่าย สร้างสตูดิโอ สร้างละคร แล้วก็ฉาย นั่นคือจบโปรเจกท์เรา พูดง่ายๆ ว่าไปเป็นที่ปรึกษาให้เขาตั้งแต่เริ่มจนสำเร็จทำงานบันเทิงเองได้ เราและทีมงานเราไปสอนเขา ให้เขาทำทุกอย่างจนออกอากาศ พอจบปุ๊บ เราก็ถอนตัว ระหว่างที่เราไปเราก็บอกว่าคุณมีหน้าที่นี้นะ ผู้กำกับ แคสติ้ง เรียกมาประชุม แต่ยังไงก็แล้วแต่ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเราหมด เอาบทมาแล้ววิเคราะห์ แล้วให้ทีมงานเราทำไปด้วย เป็นตัวอย่างประกบกัน เพื่อสอน เพื่อเป็นไกด์ จากบทแบบนี้เขาควรจะกำกับอย่างนี้ๆ ฝ่ายเสื้อผ้าคุณลองไปทำซิ คุณคิดยังไง เราคิดยังไง เอามานั่งดูกัน ผลสุดท้ายคือต้องออกอากาศ จนตอนนี้เขาก็ทำได้แล้ว ทั้งเวียดนาม อินโด พม่า”
สาเหตุหลักที่ห่างหายไปเพราะผิดหวังหนังเรื่อง”คนไททิ้งแผ่นดิน” ?
“ตอนที่ผมทำหนัง”คนไททิ้งแผ่นดิน” ระหว่างที่กำลังจะฉายเกิดเหตุการณ์บ้านเมือง คนก็ไม่ออกมาดู เราก็รู้สึกว่ายังไม่ตอบโจทย์เราว่าแพ้หรือชนะ กับความรู้สึกตอนนี้ก็ยังอยากจะทำหนังอยู่ ยังอยากจะวัดผลอีกว่า เราทำแล้ว เราคิดของเราผิดหรือเปล่า หรือว่าวันนั้นเราแพ้จริงหรือเปล่า โครงการหนังเรื่องต่อไปตอนนี้ก็คิดไว้ในใจ คิดไว้อยู่แล้ว แต่ยังไม่มีโอกาส ยังไม่มีคนเรียกไปคุย หรือลงทุน”
ก็เลยเบนเข็มมาทำละคร ?
“ใช่ เป้าหมายคือทำละคร ทำรายการทีวี แล้วก็เปิดบริษัทลูกทั้งสองคน วางแผนไว้ว่า 3 ปีเราเลิก เพราะฉะนั้นก็ต้องถ่ายทอดให้เขา ตอนนี้มาปีครึ่งแล้ว”
เหมือนกับเป็นที่ปรึกษาให้ต่างประเทศไหม ?
“เหมือนกัน ต่างประเทศเราทำปีเดียว แต่ของลูกตั้งใจไว้ 3 ปี ลูก 2 คนๆ ละปีครึ่ง คนหนึ่งเขาหนักแอคชั่น ความเรียล ความจริง จะย้อนยุคอะไรก็ได้ที่มันเป็นจริง ส่วนอีกคน ถนัดการสร้างเหนือจริง มีแนวโน้มเรื่องแฟนตาซีเข้ามา เป็นจินตนาการ ถ้าเป็นเมื่อก่อน ทุกอย่างจะรวมอยู่ที่เราคนเดียว ทั้งแอคชั่น ดราม่า แฟนตาซี แต่ตอนนี้เราแยก 3 คนพ่อลูก เราจะถ่ายทอดให้กับลูกเพราะว่าเรื่องดราม่าต้องใช้ประสบการณ์ คือลูกผมสองคนผมเชื่อว่าเขามีความสามารถค่อนข้างสูง ถ้าเทียบกับเราในเวลานั้น อายุเท่านั้น เราเรียนรู้ 20 ปีด้วยการเรียนรู้นอกสถาบัน ใช้หนังสือเป็นส่วนมาก แต่เขาศึกษาในสถาบันใช้เวลา 4 ปี เป็น 5 เท่าของเรา ขณะที่เรามีหนังสืออย่างเดียว แต่เขามีกูเกิล ยูทูบ อินเตอร์เน็ท มีทุกอย่างที่เหนือกว่าเรา อย่างน้อยเขาเร็วกว่าเรามาก แต่เขาขาดอย่างเดียวคือประสบการณ์ สิ่งที่เขาเสนอมาแต่ละเรื่อง สมัยก่อนเราคิดทำแค่นี้ แต่ของเขาทำได้ทุกอย่าง มีวิธีการมากกว่า ไปได้ไกลกว่า เยอะกว่า”
หลัง 3 ปีนี้ไปก็จะไม่ทำแล้ว เป็นที่ปรึกษาอย่างเดียว ?
“คือทุกวันนี้จะมารวมกันที่ห้องนี้แล้วก็ประชุม อธิบายให้เราฟังเหมือนเราเป็นอาจารย์ โอเค.คุณจบปริญญาตรีปีที่แล้วไปแล้วนะ คุณทำแซทเทิลไลท์ไปแล้ว คุณทำหลังเที่ยงคืนฟรีทีวีไปแล้ว คุณได้ปริญญาโทไปแล้ว ตอนนี้คุณกำลังทำดอกเตอร์อยู่ที่หลังข่าวช่องเจ็ดสีนะ ทั้งสองคนรวมกันเป็นแอคชั่นไซไฟ คนหนึ่งแอคชั่น คนหนึ่งไซไฟ ส่วนผมคุมดราม่า ทุกอย่างจบลงบนโต๊ะ ก่อนถ่ายผู้กำกับผมมี 6 คน รวมผมเป็น 7 สมัยก่อนผมเป็นแอคติ้งโค้ช แต่ตอนนี้ผมเป็นไดเร็คเตอร์โค้ช ไม่ต้องสอนเอง ผมคุยกับไดเร็คเตอร์ทั้ง 6 จุดเป็นภาษาเดียวกัน เราจะมีสตอรี่บอร์ด หนังตัวอย่าง วิธีการทั้งหมด แอคชั่นทั้งหมดจะเป็นอย่างนี้ๆ เราต้องการภาพอย่างนี้ อารมณ์แบบนี้นะ ดาราพวกนี้เขาเก่งอยู่แล้ว ดาราบางคนคิดเอง กำกับตัวเอง เพราะฉะนั้นเราควบคุมระบบทั้งหมดกับอารมณ์ แล้วถ่ายภาพมาให้ได้เยอะที่สุด เพื่อเวลานั่งตัดต่อ ผมจะได้เลือก
เหมือนดาราฮอลลีวูดที่เล่นทีหนึ่ง 3 เทค เทคที่ 1 เล่นแบบของเขาเอง เทคที่ 2 เล่นแบบของเรา เทคที่ 3 เล่นประมาณการว่าคนดูจะชอบ แล้วเวลาตัดต่อก็มาเลือกเอา โอเค.ดาราอาจจะเล่นอย่างที่เขาอยากเล่นได้ แต่ก็ต้องเล่นแบบของเราไว้ด้วย คือทุกคนได้ไปทำการบ้านของตัวเองหมด เวลาถ่ายทำก็ใช้วงจรปิดกับโซเชียลเน็ทเวิร์คทุกคนจะลิ้งค์มาที่ผม คนนี้กำลังทำเอฟเฟคอยู่นะขึ้นรูปอยู่โครงสร้างอย่างนี้ คนถ่ายกำลังถ่ายอยู่ รถระเบิด รถลอย ถ้าผมไปอยู่ที่รถระเบิด ผมก็ไม่สามารถดูตรงนี้ได้ ไม่สามารถดูตัดต่อได้ ไม่สามารถดูแอคติ้งโค้ชได้ แต่อยู่ตรงนี้ผมสามารถดูได้หมด สั่งแก้ได้ทันที อย่างคุณถ่ายมาสองสามนาทีมีเรื่องสงสัยว่าผิดหรือถูก ระหว่างที่กำลังเพลย์เช็คอยู่ส่งมาให้ผมดู ผิดปุ๊บ ขอเทคเลยทันที เพราะว่าละครฉากหนึ่งยาวไม่เกินสามนาทีส่งคลิปได้หมด”
ลูกชายสองคนแยกหน้าที่แยกบริษัทกันอย่างไร หรือทำงานด้วยกัน
“แยกกัน คนละบริษัท คนโต (ยังเติร์ก-คหบดี) ถนัดเรื่องสเปเชียลเอฟเฟค ไซไฟ จินตนาการเหนือจริง คนเล็ก (จูปีเตอร์-รฤกฤษ์) ถนัดเรื่องแอคชั่น เรียล ของจริง แล้วจะมารวมกันเมื่อมีงานใหญ่ อย่างงานช่องเจ็ด เราก็เอามารวมกันหมด อย่างพายุเทวดาเป็นแอคชั่นไซไฟ ผมก็จะรวมสองบริษัทมารวมกัน มาช่วยกันลักษณะนี้ แนวถนัดผมคือ ดราม่า แอคชั่น ไซไฟ แต่ไม่ชอบแนวเดียวคือตลก เราทำไม่ได้ ทำไม่เป็น เราไม่ชอบเราก็จะบอกเลย ถ้าผู้สร้างบอกต๊ะทำงี้ๆ พี่ผมขอครับ เรื่องเดียวที่ผมทำได้แต่ไม่ดี คือเรื่องตลก ผมขอไม่ทำ เราจะไม่ฝืน ไม่เอาเรื่องเงินมาเกี่ยวข้อง”
ในการทำละครแต่ละครเลือกเรื่องที่จะมาทำอย่างไร
“ช่องส่งเรื่องมาให้ ส่วนมากเลย เขารู้สไตล์ผม เพราะว่าทำกันมาหลายปี แต่เราก็มีคนเขียนในเครือของเรานะ มีทุกแนวเลย แอคชั่น ไซไฟ พีเรียด ย้อนยุค อิจฉาริษยา ตบตี แนวยุงเยอะๆ น้ำครำ แนวตลาดมีหมด อย่าง”หมอดูอีที”เป็นเรื่องจริงที่เอามาทำ แล้วก็เรื่องพีเรียดย้อนยุคจะชอบแบบนั้น ชอบเรื่องจริงที่มันเหนือจริง ตอนนี้ก็มีหลายๆ เรื่อง แต่อุบไว้ก่อน อย่างเรื่องหมอดูอีทีถ้ามีคนสนใจเยอะผมก็อยากเอามาฉายนะ เพราะเป็นเรื่องจริงที่ถ่ายในประเทศพม่า 95 เปอร์เซ็นต์ หลายเรื่องที่ทำไปแล้วมีโอกาสที่จะนำกลับมาให้ชม อยู่ที่ว่าที่ไหนให้โอกาสเรา กับการทำหนัง ตอนนี้ก็ยังหาโอกาสอยู่ พูดง่ายๆ ว่าถ้าเกิดผมมีเงินเองนะ ผมทำทุกอย่างที่ผมอยากทำ แต่นี่ผมไม่มีเงินเองก็ต้องรอผู้ใหญ่ให้โอกาสว่าเฮ้ย อยากทำนี่ไหม อยากทำโน่นไหม”
นอกจากทำละครทำหนังแล้วยังทำโฆษณาด้วย
“มีในเครือบริษัทเอเจ ในเครือเดอะทัช ในเครือคูโบต้า ไม่ถึงสิบเรื่อง แต่สิ่งที่เราทำมันเหนือกว่าคนอื่นตรงที่เป็นสามมิติ เรามีเครื่องมือสามมิติอยู่ที่เรา ทางลูกค้าก็ซื้อแว่นไปแจกดู ยังไม่ได้ออกอากาศจริงๆ เพราะว่าช่องเมืองไทยยังไม่มีสามมิติ นั่นล่ะเป็นความฝันที่เราอยากให้มีช่องสามมิติ เราฝันว่าอนาคตเราอยากทำละครสามมิติ เราถึงได้มีเครื่องมือสามมิติ ตอนนี้เรามีความพร้อมในการทำละครสามมิติแล้ว แต่ไม่มีช่องทางเท่านั้นเอง จะเป็นละครก็ได้ หนังก็ได้ สามารถทำได้เลยตอนนี้ พร้อมแบบเกินร้อยเพียงแต่ว่าไม่มีช่องทางออกเท่านั้นเอง”
เรื่องพายุเทวดา ที่กลับมาทำละครอีกครั้ง รู้สึกแตกต่างจากก่อนหน้าที่ทำละครบ้างไหม
“โลกมันเปลี่ยนนะ สิ่งที่เราทำมา 35 ปี เราก็เดินแบบคนเขียนบทมืออาชีพ ทำงานแบบมืออาชีพตลอดเวลา สิ่งที่เราหายไป5-6 ปีแล้วเรากลับมา ความเปลี่ยนแปลงที่เห็นไม่รู้ว่าล้ำขึ้นไปหรือถอยหลังกลับมา อย่างละครมีพระเอกนางเอก 6-7 คน แต่เวลาคนดู อยากดูพระเอกนางเอกแค่คนเดียวแล้วที่เหลือเป็นตัวประกอบหรือ แล้วจะไม่บอกไม่ปูหรือว่าเขาเป็นใครมาจากไหนทำอะไร แล้วมีพระเอก 6 คนในละคร 14 ตอนเท่าเดิม แล้วคนอื่นไม่ต้องดูหรือจะยังไง ถ้าเรามองว่าพระเอกนางเอกคือคู่หนึ่ง คนอื่นก็คือตัวประกอบน่ะสิ ผมอาจจะเข้าใจผิดตรงนี้ ไม่เข้าใจเรื่องโลกที่มันเปลี่ยน เราต้องวิเคราะห์ ต้องเข้าใจโลกให้มากกว่านี้ ไม่ว่าจะทำแอคชั่นไซไฟก็ต้องเป็นเลิฟสตอรี่ ต้องมีกุ๊กกิ๊กความรักของพระเอกนางเอกไปเรื่อยๆ เราต้องมานั่งเรียนรู้ใหม่ว่าเดี๋ยวนี้มันเป็นอย่างนี้ เรื่องพายุเทวดาในแง่โปรดักชั่นเยอะกว่าเมื่อก่อนเยอะมาก มีทั้งกล้องฮอทเฮท กล้องสแต็ดดี้แคมป์ มีทั้งกล้องใต้น้ำ กล้องริกต่างๆ มีหมด มีเอฟเฟค มีซีจี มีทรีดี”
มีช่วงหนึ่งปล่อยแสงแล้วแสงไม่ออกมาด้วย...
“เป็นบางครั้ง เราก็ยอมรับนะ บางครั้งเราไม่รู้ว่าเราเออเร่อหรือเครื่องแลนเดอร์ มีเหมือนกัน หลุดออกมา ถามว่าเราทำไหม เราทำเสร็จหมด เพียงแต่เครื่องไม่รองรับ นั่นคือประสบการณ์ที่เห็นว่าทำงานเร็วๆ ทำงานแล้วออกอากาศไป มันเป็นบทเรียนสอนเราว่า อย่าเชื่อเครื่องมาก อย่ามั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ บางทีเราแลนเดอร์ไปหมด ทั้งหมดเสร็จหมดแล้ว อยากเติม นี่คือสิ่งที่เป็นปัญหาชองทีมงาน อยากให้ดีที่สุด แต่บางทีชั้นของมัน มีอยู่ร้อยชั้น ขอเติมอีกสักหน่อยนะ เหมือนก่อสร้าง ข้างล่างรับน้ำหนักได้แค่นี้ ขออีกนิดหนึ่ง มันก็ทะลาย แต่มันก็ไม่เยอะนะ มีนิดหน่อย”
ได้ไปร่วมกับทีวีพูลทำทีวีดิจิตอลด้วย
“ใครชวนผมก็ไป ต้องยอมรับว่าผมมีหนี้ ทำเพื่อชดใช้หนี้ แล้วก็ให้ทีมงานผมมีงานทำ คือใครให้โอกาสผมก็ทำ แล้วก็ทำ 100 เปอร์เซ็นต์ ไม่ได้เอาเงินอย่างเดียวนะ คือหนึ่ง เรามีความรักในการทำ สองมีโอกาสให้เราทำ สามเรามีประโยชน์กับคนๆ นั้นที่ให้เราทำ เวลาผมทำงาน ผมทำเต็มที่เกิน 100 ไม่ได้แยกว่าทำให้ใคร งบประมาณน้อยก็ทำนะ บางคนน้อยไม่ทำ เรารู้ว่าสิ่งนี้เขาต้องเอาไปขาย แล้วเขาก็ขายได้ ถ้าเขาจ้างเราในราคาแพงแล้วเขาขายไม่ได้เขาจะจ้างเราทำไม ไม่มีประโยชน์ คืองานในวงการบันเทิงต้องมองให้เป็นพาณิชย์ศิลป์ ไม่ควรมองเป็นศิลปะอย่างเดียว หรือมองเป็นพาณิชย์อย่างเดียว ถ้ามันเป็นพาณิชย์ศิลป์มันก็จะแชร์กันแล้ว อะ ต๊ะ อันนี้งบน้อยนะ พี่ขายได้เท่านื้ โอเค.ทีมงานได้เท่านื้ อะ เราก็ทำงานกัน ทำงานได้”
กับกันตนา ยังคงทำงานด้วยกันอยู่เหมือนเดิม
“ครอบครัวเหมือนเดิม ไม่ได้ขัดแย้งอะไรกัน ขัดแย้งกันเรื่องความคิด ที่แยกบริษัทออกมาก็เพื่อลูก ที่จะได้เดินออกไป”
ชื่อบริษัท ป๊าสั่งย่าสอน มาจากไหน มีความหมายอย่างไร
“ถ้าในส่วนของผม ป๊า คือ พ่อผม ประดิษฐ์ กัลย์จาฤก ย่าคือแม่ผม ในส่วนของลูก ป๊าคือผม ย่าคือแม่ผม ถ้าในส่วนของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ป๊าคือพระเจ้าตากสิน ย่าสอน คือราชินีหอกลาง ก็คือชื่อย่าสอน เป็นบริษัทของพ่อกับลูกสองคน ส่วนบริษัทลูกก็แยกออกไป คนโตชื่อบริษัท “ย่าสอนป๊าสั่ง” คนเล็กชื่อ “ปิ่นแก้วซุกซน” เพราะว่าเขาชอบแอคชั่น แล้วก็เป็นคนสนุกสนาน”
ในเมืองไทยมีหลายคนที่ทำงานผลิตงานออกมาแล้วประสบกับความผิดหวังกับผลที่ได้รับ อยากจะบอกอะไรไหม
“อยากให้คนทำตระหนัก วันที่ผมเคยผ่านมา เราเคยคิดว่าเราอยากทำในสิ่งที่เราอยากทำอย่างเดียว แต่วันนี้ไม่ใช่แล้ว เราต้องทำให้คนอยากดู แล้วให้เอเจนซีจ้างเรา ลักษณะนี้ เพราะฉะนั้นในแง่ของผู้จัด ต้องแบ่งตามอารมณ์เราที่อยากทำ 30ส่วนอีก 30 หรือ 50 หรือไม่ก็แบ่งเป็น 50-50 คือเอเจนซี่กับคนดู การอยากทำให้เหลือนิดเดียว สัก 20-30 พอแล้ว”
ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน แต่สถานการณ์บ้านเมืองก็มีผลกับชีวิต อยู่ที่เราจะปรับตัวให้ดำรงอยู่ในทุกสถานะได้อย่างไร