Facebook: เอเชียรามา
นอกจากเรื่องราวของ "เฉินห้าวหนาน" และเพื่อนพ้องน้องพี่อันเป็นเส้นเรื่องหลักของ "กู๋หว่าไจ๋" แล้ว หนังนักเลงชุดนี้ยังมีจุดเด่นที่การสร้าง "จักรวาล" เฉพาะขึ้นมา อันประกอบไปด้วยหนังภาคแยกมากมาย เป็นผลงานของผู้กำกับมากหน้าหลายตา ที่ขอมีส่วนร่วมเล่าเรื่องแง่มุมต่าง ๆ ของโลกวงการนักเลง ... ลองมาทำความรู้จักกับหนังเหล่านี้ดูครับ
คำว่า "กู๋หว่าไจ๋" นั้นมีความหมายตรง ๆ ว่า "นักเลงหนุ่ม" หนังภาคหลักทั้ง 6 ตอน ก็เล่าเรื่องการผจญภัยในโลกนักเลงของไอ้หนุ่ม "เฉินห้าวหนาน" กับเพื่อน ๆ ในแก๊ง "หงซิ่ง" อันยิ่งใหญ่ แต่นอกจากภาคหลักซึ่งเป็นผลงานของ แอนดรู เลา แล้ว ก็ยังมีคนทำหนัง นักเขียนบทอีกหลายรายที่ขอมีส่วนร่วมเล่าเรื่องมุมต่าง ๆ ของ "จักรวาล" นักเลงฮ่องกงที่ยิ่งใหญ่ มีขอบเขตกว้างขวางแห่งนี้ด้วยอีกหลายคนต กับหนังภาคแยก หรือที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า "Side Story" (หรือบางทีอาจจะเรียกว่า Spin offs ก็ได้) ที่ว่าด้วยชีวิตของเหล่าตัวละครรอง ๆ อีกหลายตัว ที่น่าสนใจก็คือหลาย ๆ เรื่องมีคุณภาพยอดเยี่ยมดีกว่าภาคหลักเสียอีก
"กำเนิดกู๋หว่าไจ๋"
เรื่องราวของ "กู๋หว่าไจ๋" ในหนังภาคแรกนั้น มีจุดเริ่มต้นอยู่ที่สนามฟุตบอลพื้นคอนกรีตแห่งหนึ่ง ที่ "เฉินห้าวหนาน" ได้พบกับโลกนอกกฏหมายกับวงนักเลงเป็นครั้งแรก มันมาพร้อมกับขวดน้ำอัดลมที่นักเลงรุ่นเก่า "อาคุน" ฟาดลงไปที่กระบาลของเขาจนแตกยับ จนได้ติดตามเป็นลูกน้อง "พี่บี" หัวหน้าสาขาแห่งแก๊งหงซิ่ง ซึ่ง Young and Dangerous: The Prequel ได้พาคนดูกลับไปที่สนามฟุตบอลแห่งนั้นอีกครั้ง ไปดูว่า ห้าวหนาน เติบโตขึ้นมาเป็นขาใหญ่แห่ง "หงซิ่ง" อย่างที่เรารู้จักกันใน "กู๋หว่าไจ๋" ทั้ง 6 ภาค ได้อย่างไร และดูเหมือนว่าจะเป็นเส้นทางที่ไม่ได้สวยหรูอย่างที่เราคิดกันนักด้วย
ในวันที่ ห้าวหนาน (สวมบทบาท โดย เซียะถิงฟง ในภาคนี้) กับเพื่อนถูกจับยัดห้องขังเป็นครั้งแรก เป็นวันที่เขาถูกไล่ออกจากโรงเรียนด้วยปัญหาจิ๋บจ๋อย แล้วยังมามีเรื่องทะเลาะวิวาทกับคู่อริที่เขาไม่ได้เป็นคนเริ่มต้นอีก หนุ่มนักเลงวัยกะเตาะบอกกับตำรวจที่จับเขามาว่า "ผมเป็นนักเรียน ไม่ใช่นักเลง" ดูเหมือนว่า ห้าวหนาน เองก็ยังไม่ได้รู้ตัวเลยว่าเขาได้ก้าวเข้าสู่วงนักเลงอย่างเต็มตัวแล้ว
แอนดรู เลา ที่กำกับหนังชุดนี้มาแล้วถึง 5 ภาค สร้างความแตกต่างให้กับ กู๋หว่าไจ๋ ภาคพิเศษด้วยการละทิ้งสีสันจัดจ้าน นำเสนอภาพชีวิตของตัวละครนักเลงชนชั้นล่างผู้หมกมุ่นอยู่กับการตายของพ่อ ผู้มีชีวิตเป็นนักเลงหัวไม้เช่นเดียวกัน, พ่อผู้ไม่รู้หนังสือ และเลือกหนทางสายนักเลงเพียงเพราะเชื่อว่านี่จะทำให้เขามีชีวิตที่ดีกว่าการเป็นกรรมกรหาเช้ากินค่ำธรรมดา ๆ จนต้องชีวิตชีวิตลงอย่างน่าเศร้าด้วยคมมีด 47 แผลของคู่อริ
ตัวละครของ Young and Dangerous: The Prequel โดยเฉพาะตัวเอกที่ชื่อ "เฉินห้าวหนาน" ดูจะมีภาพลักษณ์ที่ห่างไกลจากความเป็นนักเลงผู้ยิ่งใหญ่อย่างที่เห็นกันในภาคหลักลิบลับ จะบอกว่าเป็น "กุ๊ย" ธรรมดา ๆ ก็คงไม่ผิดนัก เป็นเด็กหนุ่มที่ไร้ความสง่างาม ติดจะเป็นไอ้ขี้แพ้เสียด้วยซ้ำ, ไร้ความมั่นใจในตัวเอง ใช้ชีวิตอย่างไม่มีแก่นสาร แน่นอนว่าสามารถเชื่อโยงได้กับเด็กหนุ่มทั่ว ๆ ไปทุกคน
Young and Dangerous ในภาคที่เรียกว่า "กำเนิดกู๋หว่าไจ๋" ซึ่งเข้าฉายในปี 1998 วาดภาพของตัวละครอย่างสมจริงสมจัง เฉินห้าวหนาน เป็นเพียงเด็กหนุ่มขี้โมโหที่ไม่ได้มีวี่แววว่าจะพบกับความยิ่งใหญ่อะไร และดูจะสับสนกับทางสองแพร่งในชีวิตด้วยซ้ำ กับการต้องออกจากโรงเรียนในวัย 17 ปี กับสิ่งต่าง ๆ หลาย ๆ อย่างที่เกิดขึ้นในชีวิต ทั้งเรื่องการต่อสู้, มิตรภาพในหมู่เพื่อน และความรักในวัยหนุ่มจนไปจบลงในวันที่ ห้าวหนาน ได้ตัดสินใจสักลายมังกรไว้บนไหล พร้อม ๆ คำเตือนของลูกพี่บีที่ว่า มันจะเป็นรอยสักที่ไม่สามารถลบได้อีกแล้ว แบบเดียวกับวิถีนักเลง ที่เข้ามาแล้วก็คงยากที่จะออกไปด้วยสภาพเดิม
หลากชีวิตวงนักเลง
ยังมี กู๋หว่าไจ๋ ให้ดูกันอีกหลายภาค และหนึ่งใน Side Story ที่โด่งดังที่สุดของ กู๋หว่าไจ๋ ก็คือหนังเรื่อง Portland Street Blues กับการหยิบเอาชีวิตของตัวละครที่ชื่อว่า "หมวยสิบสาม" มาขยาย
หญิงสาวมาดแมนที่ครองความเป็นใหญ่ในย่านถนนพอร์ตแลนด์ ที่ดาวตลกหญิง "อู๋เจินหยู" ได้กลับมาแสดงเป็นตัวละครอันโด่งดังของเธอ หลังเคยไปปรากฏตัวในหนังภาคหลักมาแล้ว ซึ่งหนังก็ไม่ได้พูดถึงแต่เรื่องราวความขัดแย้งระหว่างแก๊ง แต่ยังว่าด้วยความสับสนของขัดแย้งในจิตใจของตัวละครเอง นักเลงสาวทอมกับความสัมพันธ์ทั้งกับชาย และหญิงด้วย
ตัวละครสุดโปรดของคนดูจากภาคหลังอีกหลายตัวที่ได้มีหนังเป็นของตัวเอง รวมถึง The Legendary 'Tai Fei' มี "ต้าเฟย" (หวงซิวเซิง) หัวหน้าสาขา "คอสเวย์เบย์" ของ "หงซิ่ง" เป็นพระเอก กับเรื่องวุ่นวาย ที่นักเลงรุ่นใหญ่ได้พบว่าตัวเองมีลูกชายอยู่หนึ่งคน แถมเจ้าตัวชายคนนี้ยังสังกัดอยู่ในแก๊ง "ตงซิ่ง" ศัตรูคู่อาฆาตอันดันหนึ่งด้วย
ใน กู๋หว่าไจ๋ ภาคแรกนอกจากพวกพระเอกแล้ว ยังมีที่มีตัวละครที่ทุกคนคงจำได้อย่าง "อาคุน" นักเลงรุ่นใหญ่ใจทรามตัวร้ายของเรื่อง เป็นตัวละครจอมแสบที่ใคร ๆ ก็เกลียด และคงสะใจกับจุดจบอันน่าเวทนาในหนังภาคนั้น แต่ถ้าอยากจะดูเรื่องราวของ "อาคุน" กันแบบเต็ม ๆ ก็ต้องหาหนังเรื่อง Once Upon a Time in Triad Society มาดู กับการรับบทเด่นของ "อู๋เจินอวี้" ในหนังที่เล่าเรื่องด้วยลีลาตลกร้าย เต็มไปด้วยสไตล์ กับเนื้อหาที่ว่าด้วยชีวิตขึ้น ๆ ลง ๆ ของตัวละครที่เรียกว่าเลวสุด ๆ
Those Were The Day ที่พูดถึงชีวิตรักของตัวละคร "ชานจี" หรือ "ไก่ป่า" คู่หูของ "เฉินห้าวหนาน" กับหญิงคนรักที่ใช้ชีวิตเติบโตขึ้นมาด้วยกัน (สวมบทบาทโดยนักร้องสาวสวย เหลียงหย่งฉี ที่ตอนนั้นเขาหาดูใจกับ เจิ้งอี้เจี้ยน ด้วย) เป็นรักแรกของนักเลงสุดห้าว ที่หวานซึ้งน่าประทับใจ และจบลงอย่างเศร้า ๆ กับการสูญเสีย อาจจะบอกว่าเป็นหนังที่โรแมนติกที่สุดในชุด "กู๋หว่าไจ๋" ก็คงไม่ผิดนัก
ภาคแยกหรือ "Side Story" ทั้งหมดของ "กู๋หว่าไจ๋" เป็นการเล่าเรื่อง "เสริม" จากเส้นเรื่องหลัก อาจจะบอกว่าไม่จำเป็นต้องดูก็ได้ แต่อันที่จริงแล้ว ความยิ่งใหญ่ของหนังนักเลงชุดนี้ ส่วนหนึ่งก็อยู่ที่ภาคเสริมที่สร้างกันออกมาเยอะแยะไปหมดพวกนี้ด้วย เพราะฉะนั้นถ้าชอบ ก็ไม่ควรจะพลาด
"หมูย่าง" กับ "นกกระจอก"
จบจากภาคหลักภาคย่อยต่าง ๆ แล้วยังมีหนังอีกเรื่องที่แฟนของของ "กู๋ไหว่าไจ๋" ควรหามาดูกันครับ ... กับงานที่เข้าฉายในอีก 10 ปีต่อมา เมื่อ "เฉินเสี่ยวชุน" กับ "เจิ้งอี้เจี้ยน" ได้โคจรกลับมาพบกันอีก ในฉากหลังของเรื่องราวแนวนักเลงตีรำฟันแทง ที่หลาย ๆ อย่างก็แตกต่างไปโดยสิ้นเชิง
Once A Gangster หนังมาเฟียฮ่องกงที่เข้าฉายเมื่อปีสองปีก่อน สร้างจุดสนใจเล็ก ๆ ด้วยการดึงตัวนักแสดงดังสองคน ที่เคยโด่งดังทะลุฟ้ากับหนังแนวนี้อย่าง เฉินเสี่ยวชุน และ เจิ้งอี้เจี้ยน กลับมาสู่โลกแห่งหนังแก็งสเตอร์อีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นหนังแก็งสเตอร์ล้อเลียน ที่สองนักแสดงหนุ่มผู้โด่งดังมาจากหนังชุด "กู๋หว่าไจ๋" จะไม่ได้เป็น "เฉินห้าวหนาน" หรือ "ไก่ป่า" อีกแล้ว ... พวกเขาคือ "หมู่ย่าง" กับ "นกกระจอก"
หลังเล่าเรื่องของหนุ่มที่เข้าแก๊งเพียงเพราะคิดว่าจะเป็นวิธีที่ทำให้พ่อปลอดภัยจากพวกเก็บค่าคุ้มครอง แต่แล้ว "หมูย่าง" (เฉินเสี่ยวชุน) กลับได้รับเลือกจากหัวหน้าให้รับตำแหน่งประมุขแก๊งค์มังกรคนต่อไป ฟังดูแล้วเหมือนเป็นเกียรติยศอันสูงสุด ในฐานะสมาชิกแก๊งค์มาเฟียใหญ่แห่งฮ่องกงคนหนึ่ง แต่อันที่จริงแล้วสำหรับเขาจะบอกว่าเป็นทุกขลาภก็คงจะได้ !!!
เพราะหลังล้างมือออกจากวงการมาหลายปี อดีตนักเลงหนุ่มกลับประสบความสำเร็จกับธุรกิจร้านอาหาร จนกลายเป็นกุ๊กที่มีชื่อเสียง มีเงินมีทองมากมาย ขณะที่ตำแหน่งหัวหน้าแก๊งค์อันที่จริงแล้วจะบอกว่าใหญ่แต่ชื่อก็คงไม่ผิดนัก นอกจากค่าใช่จ่ายมากมาย แล้วดูเหมือนว่าในยุคนี้ อาชีพมาเฟียก็เริ่มหาเงินได้น้อยลงทุกที
แม้จะพยายามดิ้นรนผลักไสไล่ส่งตำแหน่งหัวอย่างแค่ไหน หมูย่าง ก็ดูเหมือนจะหลีกเลี่ยงเส้นทางนี้ไม่ได้แน่ ๆ แต่แล้วโชคก็มาถึงเมื่อ "นกกระจอก" หลานชายผู้ก่อตั้งแก๊งค์มังกร ที่เคยสร้างวีรกรรมไว้ตั้งแต่หนุ่ม จนต้องติดคุกนานหลายปี กำลังจะได้อิสรภาพ และพร้อมขึ้นเป็นหัวหน้าคนใหม่
แต่ดูเหมือนทุกอย่างจะวุ่นวายขึ้นไปอีกเมื่อ นกกระจอก เองก็ไม่ได้อยากจะเป็นประมุขเลย เพราะหลังได้ใช้เวลาในคุกกับการศึกษาหาความรู้กลับทำให้อดีตนักเลงเก่าคนนี้ อยากศึกษาต่อให้เป็นเรื่องเป็นราว ถึงขั้นสมัครเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยซะอย่างงั้น
ซึ่งแม้ทั้งคู่จะไม่อยากรับตำแหน่งแค่ไหน แต่ก็ดูเหมือนจะถอยหลังได้ยากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะบรรดาลูกน้อง จนไปถึงเหล่าลูกพี่ผู้อาวุโส ที่เป็นกองเชียร์ของแต่ละฝ่าย ต่างออกตัวสนับสนุนกันจนจะมาถอนตัวเอาตอนนี้ก็คงไม่ได้แล้ว
ด้วยมุขตลกจิกกัดหนังมาเฟียฮ่องกง Once A Gangster หรือในชื่อไทยว่า "สับ ฟัน ซ่าส์ ข้า...หัวหน้าแก๊งค์ค์" เป็นงานที่เรียกว่าพอจะดูได้เพลิน ๆ กับแก๊กประเภทที่คงต้องมีประสบการณ์ในการดูหนังแนวเจ้าพ่อฮ่องกงมาบ้าง จึงจะเก็บรายละเอียดของมุขต่าง ๆ กันได้หมด หนังอาจจะไม่ได้ "ขำก๊าก" ส่วนบทสรุปหักมุมสุดท้ายก็ไม่ได้เฉียบแหลมคมกริบอะไรนัก ยังดีที่หนังเล่าประเด็นที่ต้องการนำเสนอได้อย่างชัดเจน มีมุขฮาที่พอจะน่าจดจำอยู่บ้าง
นอกจากพระเอกทั้งสองแล้วหนังยังมี ฟางจงซิน มาสวมบทบาทเป็นเจ้าพ่อตกยากที่จมไม่ลง ใช้ชีวิตเป็นมาเฟียหลายปี จนหนี้สินพอกพูน แต่ก็ยังวางกามใหญ่โตเหมือนเดิม ส่วน หวีอันอัน เป็นอาเจ๊ผู้อาวุโสของแก๊งค์ที่เล่นยาจนสมองเลอะเลือน
Once A Gangster เป็นผลงานการกำกับของนักเขียนบทคนดัง ที่เคยเขียนบทให้กับหนังระดับตำนานของวงการฮ่องกงอย่าง Infernal Affairs ด้วย แน่นอนหนังยังไม่พลาดที่จะหยิบเอามุข "ตำรวจสายโจร" จาก "สองคมสองคน" มาล้อเลียนได้เจ็บ ๆ คัน ๆ ดี
อาจจะไม่ใช่งานที่สมบูรณ์แบบอะไร แต่ Once A Gangster ก็เหมาะจะเป็นบทสรุปแห่งเรื่องราวของหนังนักเลงวัยรุ่นฮ่องกง ที่ฉายภาพของโลกที่ฉากหน้าอาจจะดูสวยหรูสง่างาม น่าหลงใหลดึงดูใจ แต่ความจริงก็ไม่ได้มีอะไรมากมายไปกว่าคำว่า "จอมปลอม" เลย
เกาะติดข่าวบันเทิงและร่วมวงเมาท์ดารากับ ""ซ้อ 7"ก่อนใคร ผ่าน SMS โทรศัพท์มือถือทุกเครือข่าย ระบบ dtac - เข้าเมนู write Message พิมพ์ R แล้วส่งไปที่หมายเลข 1951540 ระบบ AIS - กด *468200311 แล้วโทร.ออก ระบบ True Move และ Hutch - เข้าเมนู write Message พิมพ์ ENT แล้วส่งไปที่หมายเลข 4682000 *ค่าบริการเพียง 29 บาท ต่อเดือน ทดลองใช้ฟรี 15 วัน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิก |