เช่นเดียวกับหนังฮ่องกงหลาย ๆ เรื่อง Kids from Shaolin หรือ "เสี้ยวลิ้มยี่ ภาค 2" เป็นหนังภาคต่อ แบบที่ไม่ได้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องอะไรกับหนังภาคแรกเลย นอกเสียจากเรื่องราวของหมัดมวยวัดเส้าหลิน และพระเอกอย่าง "หลี่เหลียงเจี๋ย" รวมถึงดาราอีกหลาย ๆ ที่กลับมาร่วมงานกันเพื่อสานต่อความสำเร็จอีกครั้ง ที่คราวนี้ฉากหลังของเรื่องไม่ได้อยู่ในวัดเส้าหลินด้วยซ้ำไป
Kids from Shaolin มีเนื้อเรื่องง่าย ๆ ติดจะเป็นเนื้อหาประเภทเรื่องเล่าพื้นบ้านด้วยซ้ำ กับเนื้อเรื่องประเภท "มนต์รักสองฝั่งคลอง" อะไรทำนองนั้น
หนังว่าด้วยความบาดหมางของสองครอบครัว ที่อาศัยอยู่ในละแวกเดียวกัน มีเพียงแม่น้ำสายใหญ่กั้นกลาง หนึ่งคือบ้านของเศรษฐี เปาเซิ่งฟง (หยูเจิ้งฮุย) ผู้เยี่ยมยุทธในทางกระบี่บู๊ตึ้ง เขามีทรัพย์สินเงินทองมากมาย และคฤหาสน์หลังใหญ่ แต่กลับอาภัพบุตรผู้สืบสกุล มีทายาทถึง 7 คนแต่ก็เป็นลูกสาวเสียหมด
ส่วนอีกบ้านเป็นของ เทียนฟง (หยูไห่) และน้องชายที่ชื่อว่า หยีหลง สองพี่น้องซึ่งอดีตเคยเป็นจอมยุทธศิษย์ฆราวาสของวัดเส้าหลิน ที่รับเลี้ยงเด็กกำพร้า 7 คน เป็นบุตรบุญธรรม ทั้งสองพยายามช่วยกันทำงานเก็บเงินเพื่อขอลูกสาวอีกบ้านมาแต่งงานเป็นภรรยา แต่ดูเหมือนจะเกิดขึ้นได้ยากเต็มทน เพราะสองบ้านเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมานาน แถมยังมีคำขาดจากอีกฝ่ายว่า ต้องหาเงินมาซื้อวัว 10 เป็นค่าสินสอด แต่กว่าจะได้วัวซักตัวก็เลือดตาแทบกระเด็นแล้ว
ด้วยเนื้อหาที่ออกมาดูง่าย เน้นความตลกรื่นเริง มีกระทั่งฉากร้องรำทำเพลง และฉากเลือกคู่ เกี่ยวพาราศี มีฉากไตเติลที่ทำออกมาในรูปแบบการ์ตูนอนิเมชั่นสีสดใส เพื่อเล่าเรื่องราวคร่าว ๆ ของหนัง Kids from Shaolin จึงเป็นหนังในไตรภาคที่ดู "เบา" ที่สุด แม้จะปิดท้ายเรื่องด้วยฉากแอ็กชั่นอันดุเดือน แต่ก็ต้องยอมรับว่าหนังแตกต่างจากภาคแรกมาก
ไม่ใช่เรื่องแปลกถ้า Kids from Shaolin จะถูกประเมินว่าเทียบกับภาคแรกไม่ได้ เพราะหนังละทิ้งความดุเดือนที่ทำให้ Shaolin Temple โด่งดังขึ้นมาไป บางคนถึงกับเปรียบเทียบว่าหนังเรื่องนี้แทบจะให้บรรยากาศแบบหนัง "ดิสนีย์" ในยุค 50s ที่เล่าเรื่องราวอัน "อบอุ่น" คั่นกลางด้วยความชุลมุนวุ่นวาย ก่อนทุกอย่างจะคลี่คลายอย่างสมบูรณ์แบบในตอนท้ายเรื่อง ด้วยความสามัคคีของอดีตคู่ปรับ
หลี่เหลี่ยนเจี๋ย ยังคงเป็นดารานำของหนัง เขาสวมบทบาทเป็่น ลูกชาย "บุญธรรม" ของบ้านศิษย์เส้าหลิน ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับลูกสาวมาดทอมบอยแต่งตัวเป็นจอมยุทธ์ของบ้านบู๊ตึ้ง อาจจะเรียกว่าบทนำแต่ก็ไม่ได้เด่นสุด ๆ อยู่คนเดียวอีกแล้ว ซึ่งจุดเด่นอีกอย่างของหนังก็อยู่ตรงนี้นั่นแหละครับ เพราะหนังไม่ได้จงใจขายเฉพาะเพียง หลี่เหลียนเจี๋ย แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้นอีกแล้ว แต่ยังเปิดโอกาสให้นักแสดงที่เรียกว่า "โนเนม" ได้ฉายแววความเก่งกาจของตัวเองด้วย
ซึ่งคนที่น่าสนใจ น่าพูดถึงที่สุดก็คงหนีไม่พ้นสองผู้อาวุโส ที่รับบทหัวหน้าครอบครัว "บู๊ตึ้ง" และ "เส้าหลิน" ฝ่ายของ หยูเจิ้งฮุย สวมบทเป็นเศรษฐีเจ้าของเพลงกระบี่บู๊ตึ้ง กับบทผู้ใหญ่นิสัยเด็ก เอาแต่ใจตัวเองทั้งน่ารำคาญ และเป็นสีสันของเรื่อง ที่คนดูเกลียดไม่ลง ส่วน หยูไห่ เรื่องนี้ถอดจีวรมาแสดงเป็นจอมยุทธ์ศิษย์ฆารวาส เส้าหลิน ยอดฝีมือผู้เจียมเนื้อเจียมตัว
ตัวร้ายได้เป็นพระเอก "หยูเจิ้งฮุย"
นักแสดงรุ่นใหญ่นาม "หยูเจิ้งฮุย" เล่นหนังชุด Shaolin Temple อยู่ทุกเรื่องแต่มีในภาค 2 นี่แหละ ที่เรียกว่าเขาได้เป็นพระเอกร่วม กับบทหัวหน้าบ้านบู๊ตึ้ง ที่หน้าโหดใจดี และอยากได้ลูกชายแบบสุด ๆ
นักแสดงรุ่นใหญ่รายนี้มีพื้นฐานจากการเป็นนักกีฬาวูซู และมวยจีน ที่เขาเริ่มต้นฝึกฝนมาตั้งแต่อายุ 11 ขวบ เป็นผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านเพลงกระบี่ เคยเป็นแชมเปี้ยนของการแข่งขันวูซูในระดับชาติเมื่ออายุ 20 ปี และเป็นนักกีฬาคนสำคัญของทีมวูซูของ ชานตง
แต่แล้วชีวิตนักกีฬาของเขา ด้วยอาการบาดเจ็บที่ขา ที่ต้องใช้เวลารักษาตัวนานจนต้องออกจากทีมไป จากอดีตนักกีฬาผู้รุ่งโรจน์ หยูเจิ้งฮุย ใช้เวลามากกว่า 10 ปีกับการทำงานในโรงงาน แต่ระหว่างนั้นก็ไม่ได้ทิ้งวิชา ยังคงฝึกฝนกังฟูอยู่เสมอ ใช้เวลาว่างฝึกฝน และแลกเปลี่ยนวิชากับผู้ฝึกมวยคนอื่น เพื่อพัฒนาตัวเอง เขายังเป็นผู้รื้อฟื้นวิชา "ดาบสองมือ" ที่สูญหายไปตั้งแต่ยุคราชวงศ์ถังขึ้นมาอีกครั้ง จนกลายเป็นหนึ่งในประเภทของการแข่งขันกีฬาวูซูในยุคปัจจุบัน ถือเป็นบุคลากรสำคัญของวงการมวยจีนในยุค 70s เลยก็ว่าได้
เมื่อปี 1982 ในวัย 40 ปี หยูเจิ้งฮุย ได้ก้าวเข้าสู่วงการภาพยนตร์เมื่อบริษัท Great Wall Pictures ได้เลือกเขาให้มารับบทนำในภาพยนตร์ทุนฮ่องกงที่ยกกองเข้ามาถ่ายทำในจีนแผ่นดินใหญ่อย่าง Shaolin Temple ที่บทขุนศึกผู้กระหายอำนาจ ได้กลายเป็นตัวละครเด่นของหนัง เป็นรองเพียงดาวโรจน์ หลีเหลียนเจี๋ย ที่รับบทเป็นพระเอกเท่านั้น
นับจากวันนั้น หยูเจิ้งฮุย จึงกลายเป็นนักแสดงเต็มตัว แม้ภาพของเขามักจะถูกผูกติดกับบทผู้ร้ายสุดโฉด แต่นักแสดงยอดกังฟูท่านนี้ก็เล่นเป็นคนดีได้น่าเชื่อถือด้วยเช่นเดียวกัน อย่างในหนังเรื่อง Yellow River Fighter (1988) เขาสามารถสวมบทบาทเป็น จอมยุทธ์ผู้ตกเป็นเหยื่อของการเมืองการแย่งชิงอำนาจได้อย่างน่าเชื่อถือ เป็นหนังกำลังภายในจากจีนแผ่นดินใหญ่อีกเรื่องที่น่าหามาชมกัน
นอกจากฝีมือการแสดง และความสามารถในบทบู๊แล้ว เอกลักษณ์อย่างหนึ่งของ หยูเจิ้งฮุย ก็คือเครายาวที่เขาเคยบอกในการให้สัมภาษณ์ว่าตั้งแต่ไว้เครามาก็ไม่เคยโกนทิ้งเลย แม้ทางผู้สร้างขอร้องเขาก็ทำไม่ได้ เพราะเป็นความตั้งใจส่วนตัวที่อยากจะไว้เครา เผื่อเอาไว้ว่าซักวันอาจจะได้สวมบทบาทเป็น โจวถง ยอดขุนพลในยุคสมัยซ่ง ซึ่งเป็นคนถ่ายทอดวิชาถวนและธนูให้กับงักฮุย รวมถึงวีรบุรษแห่งเขาเหลียงซานอีกหลายคน ซึ่งโดยส่วนตัวแล้ว หยูเจิ้งฮุย กล่าวว่า โจวถง คือบุคคลสำคัญแห่งศิลปะป้องกันตัวจีน ซึ่งหากเป็นไปได้เขาก็อยากจะสวมบทบาทเป็นท่านซักครั้งในชีวิต
"หยูไห่" เจ้าอาวาสแห่ง "เส้าหลิน"
นอกจาก "หยูเจิ้งฮุย" แล้วหนังชุด Shaolin ยังมีนักแสดงรุ่นใหญ่อีกคนที่ถือเป็นดาราเจ้าประจำ นั่นก็คือ "หยูไห่" นั่นเอง
นักแสดงกังฟูชาวจีนแผ่นดินใหญ่ เกิดเมื่อวันที่ 1 ม.ค. 1942 ฝึกฝนกังฟูมาตั้งแต่เด็ก เรียนทั้งมวยไท่เก๊ก, มวยสิ่งอี้ และเพลงหมัดตั๊กแตน ต่อมาเมื่อประเทศจีนก้าวเข้าสู่ยุคคอมมิวนิสต์ มีการจัดระเบียบการฝึกมวยเสียใหม่ ประชาชนทั่วไปจะได้รับการส่งเสริมการฝึกมวยในแบบ "กีฬาวูซู" เพื่อสุขภาพ และการกีฬาเป็นหลัก ส่วนหมัดมวยสำหรับการต่อสู้ จะสอนกันในหน่วยงานอย่างทหาร และตำรวจเท่านั้น การฝึกฝนทั้งสองสายก็ถูกพัฒนาจนแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ทั้งในแง่เทคนิค, ความเร็ว และความรุนแรง
หยูไห่ ซึ่งเป็นหนึ่งในพลเรือนที่ได้รับการฝึกฝนมวยมาตั้งแต่เด็ก จึงได้มีส่วนต่อความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ อย่างหมัดตั๊กแตนที่เขาพยายามปรับปรุงใหม่ ก็ได้รับคำวิจารณ์มากมายจากบรรดาครูมวยสายเก่า นอกจากนั้นเขายังเคยได้ทำหน้าที่เป็นบอร์ดีการ์ดส่วนตัวให้กับ โจวเอินไหล ระหว่างที่ท่านดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนครั้งหนึ่งด้วย
ในปี 1976 หยูไห่ ได้นำทีมมวยจีนไปทัวร์เปิดการแสดงเผยแพร่วัฒนธรรมในต่างประเทศ ทั้งที่ เม็กซิโก, สหรัฐอเมริกา และฮ่องกง นำเด็กหนุ่มผู้ฝึกมวยหลายคนไปเปิดหูเปิดตาในต่างประเทศ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ หลีเหลียนเจี๋ย ที่ตอนนั้นอายุแค่ 13 ปีเท่านั้น
ในอีก 6 ปีต่อมาทั้งสอง จึงได้รับเลือกให้รับบทเด่นในหนังเรื่อง Shaolin Temple ซึ่งถือเป็นงานหนังเรื่องแรกของทั้ง หลีเหลียนเจี๋ย, หยูเจิ้งฮุย และ หยูไห่ ที่รับบทเป็นหลวงจีนจอมยุทธ์อาจารย์ของพระเอก
หลังจากนั้นทั้งสามคนยังได้ร่วมงานกันไปอีกในหนังภาค 2 และ 3 นอกจากนั้นตัวของ หยูไห่ ยังกลับมารับบท "เจ้าอาวาส" เมื่อมีการหยิบเอาหนังชุดนี้มาสร้างใหม่อีกเรื่องเมื่อปี 2011 ภายใต้ชื่อ Shaolin เรียกว่าเป็นนักแสดงคนเดียวที่แสดงอยู่ในหนังครบทั้ง 4 ภาค จะบอกว่าเขาเป็นสัญลักษณ์ของหนังชุดนี้ เหนือกว่า หลีเหลียนเจี๋ย ด้วยซ้ำก็คงไม่ผิดนัก
Kid From Shaolin อาจจะไม่ใช่ภาคที่ดีที่สุด แต่การที่หนังมอบบทเด่น อาจจะเรียกว่าถึงขั้นพระเอกให้กับนักแสดงรุ่นใหญ่ทั้งสองคน นั่นก็เพียงพอแล้วที่ทำให้งานชิ้นนี้น่าจดจำ
เกาะติดข่าวบันเทิงและร่วมวงเมาท์ดารากับ ""ซ้อ 7"ก่อนใคร ผ่าน SMS โทรศัพท์มือถือทุกเครือข่าย ระบบ dtac - เข้าเมนู write Message พิมพ์ R แล้วส่งไปที่หมายเลข 1951540 ระบบ AIS - กด *468200311 แล้วโทร.ออก ระบบ True Move และ Hutch - เข้าเมนู write Message พิมพ์ ENT แล้วส่งไปที่หมายเลข 4682000 *ค่าบริการเพียง 29 บาท ต่อเดือน ทดลองใช้ฟรี 15 วัน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิก |