หนังเรื่องสุดท้ายในชุด Shaolin Temple เป็นตอนที่ตัวของ “หลี่เหลียนเจี๋ย” บอกตรง ๆ ว่า เขาไม่ได้รู้สึกอยากทำหนังชุดนี้ต่อไปอีกแล้ว แต่ด้วยโอกาสทางธุรกิจกิจหนังภาคที่ 3 ก็เกิดขึ้นจนได้ คราวนี้หนังได้ผู้กำกับดัง“หลิวเจียเหลียง” มาดูแลการถ่ายทำ พร้อมทีมงานจากฮ่องกงส่วนหนึ่ง ที่ต้องทำงานร่วมกับทีมงานท้องถิ่นของแผ่นดินใหญ่ ที่ได้ช่วยกันสร้างภาคที่ “ดีที่สุด” ในหนังชุด “เสี้ยวลิ้มยี่” ออกมา ภายใต้บรรยากาศการทำงาน ที่พระเอกของเรื่องบอกเองว่า "แย่มาก ๆ"
เรื่องราวของ Shaolin Temple: Martial Art of Shaolin หรือ “มังกรน่ำปั๊ก” ที่เข้าฉายในปี 1984 กลับมาใช้โครงของภาคแรก ที่ว่าด้วยหนุ่มน้อยชาวฮั่น ที่เข้าสู่เส้าหลิน หวังฝึกวิชาเพื่อกลับไปแก้แค้น เป็นเนื้อเรื่องง่าย ๆ ว่าด้วยการล้างแค้นอย่างที่หลาย ๆ คนมักจะดูถูกดูแคลน ว่าหนังจีนก็วนเวียนอยู่กับเรื่องประเภทนี้ แต่อย่างน้อยหนังก็เล่าเรื่องได้ลื่นไหลลงตัวดี สมกับเป็นผลงานของ “หลิวเจียเหลียง” ผู้กำกับหนังกังฟูที่ว่ากันว่า “ยิ่งใหญ่ที่สุด” ในประวัติศาสตร์ของงานสายนี้
หลีเหลียนเจี๋ย สวมบทบาทเป็น "ซีหมิง" เด็กหนุ่มกำพร้าหลวงจีนวัดเส้าหลินเหนือ ที่ออกจากวัดมาเพื่อชำระแค้นที่พ่อและแม่ของเขาถูกฆ่า หลังเฝ้าฝึกวิชาในวัดมาแรมปีจังหวะเวลาที่เหมาะสมก็มาถึงเมื่อถึงงานวันเกิดของ "ไต้เท้าเหอซัว" ขุนนางผู้ทรงอำนาจและโฉดชั่ว ที่อยู่เบื้องหลังการตายของพ่อแม่ ซีหมิง อย่างไรก็ตามเมื่อถึงวันหลงมือ เขากลับพบคนอีกกลุ่มหนึ่งที่จ้องสังหาร เหอซัว อยู่ด้วยเช่นเดียวกัน แต่สุดท้ายการลอบสังหารกลับล้มเหลว ซีหมิง กับจอมยุทธ์หญิง "ซือหม่าเหยียน" ผู้นำกลุ่มลอบสังหารอีกกลุ่ม ได้หลบหนีไปด้วยกัน โดยมี "เฉาเหว่ย" ศิษย์ฆารวาสแห่งวัดเส้าหลินใต้ ตามมาคุ้มครอง ซือหม่าเหยียน ด้วย
ยอดเยี่ยมที่สุดใน "ไตรภาค"
Martial Art of Shaolin เปลี่ยนแปลงฉากหลังของเรื่องราวมาเป็นยุคสมัยราชวงศ์ชิง ที่ถือว่าเป็นพิมพ์นิยมสำหรับหนังว่าด้วยวัดเส้าหลิน กับการวางให้เหล่าหลวงจีนเป็นตัวแทนของการต่อสู้กับการใช้อำนาจกดขี่ของผู้ปกครอง รวมถึงชาวต่างชาติด้วย
การได้ทีมงานจากฮ่องกงมาช่วย ถือว่าเปลี่ยนหนังไปในทางที่ดีอย่างเห็นได้ชัด คิวบู๊แสดงออกถึงความคิดสร้างสรรค์ ดุเดือดเผ็ดมันยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับในเรื่องความสมจริงสมจัง เรียกว่ากำจัดบรรยากาศของ หนังโชว์วูซู บวกกายกรรม อย่างที่เคยเป็นมาในหนังภาคก่อนหน้าไปได้เยอะ เนื้อหาก็ดูหนักแน่น เป็นเนื้อเป็นหนังยิ่งขึ้น ภาษาหนังดูร่วมสมัย ตัวละครมีชีวิตจิตใจมากกว่าที่ผ่าน ๆ มา เรื่องรักสามเส้าที่ใส่เข้ามากก็ไม่เลอะเทอะ และช่วยสร้างสีสันได้
หลิวเจียเหลียง เริ่มต้นหนังด้วยอารมณ์สนุกสนาน กับฉากฝึกฝนหมัดมวยในเส้าหลิน ที่ทำให้บรรยากาศกลับไปคล้ายกับหนังภาคแรก ก่อนจะพาหนังไปสู่ความตึงเครียดมากขึ้น ฉากลอบสังหาร ฉากหนีเอาชีวิต ทำได้อย่างสนุกตื่นเต้น ฉากต่อสู้ท้ายเรื่องนั้น ผู้กำกับยกตัวละครให้ไปบู๊กันกลางน้ำได้อย่างมันสะเด็ด เมื่อหลวงจีนเส้าหลินเพียงสองรูปใช้ไม้พลอง ต่อสู้กับทหารแมนจู ที่อาวุธครบมือกับบนเรือสำราญกลางแม่น้ำ เป็นฉากคิวบู๊หนังกังฟูดั้งเดิม ที่ยอดเยี่ยมที่สุดอีกฉากในยุค 80 เลยทีเดียว
หนังลดทอนตัวละครตัวรุ่นใหญ่ไม่ว่าจะในฝั่งตัวร้าย หรือฝั่งวัดเส้าหลินลง ขับเน้นบทบาทของสามตัวเอกให้เด่นชัดมากขึ้น หลีเหลียนเจี๋ย ดูเป็นคนหนุ่มเลือดร้อนดุเดือดมากกว่าที่แล้วมา น่าจะพูดได้ว่าในวัย 23 ปี ระหว่างถ่ายทำหนังเรื่องนี้ คือช่วงที่ศักยภาพร่างกายของพระเอกนักบู๊อันดับ 1 แห่งจีนแผ่นดินใหญ่สมบูรณ์มากที่สุด คิวบู๊จึงออกมาหนักหน่วงรุนแรงกว่างานหลังจากนี้ของเขาอย่างเห็นได้ชัด
หนังยังมีดารากังฟู หูเจี่ยนเฉียง มารับบทเป็นพระรองของเรื่อง ที่เขาสวมบทบาทเป็นจอมยุทธ์หนุ่มแห่งเส้าหลินใต้ ชื่อสัตย์เถรตรง และเยี่ยมยุทธ์ได้อย่างลงตัว ถือเป็นบทเด่นของนักกีฬาวูซูคนนี้ ที่มีผลงานหนังเพียง 4 เรื่องจึงหันหลังกลับสู่แวดวงศิลปะป้องกันตัวของตนเอง
นางเอกในจอ-นอกจอ
สำหรับบทนางเอกของเรื่อง เป็นของดาราสาวที่มีพื้นฐานมาจากกังฟูเช่นเดียวกัน หวงชิวเหยียน เป็นถึงดาวเด่นของทีมชาติวูซูของจีน จนมีโอกาสได้รับงานภาพยนตร์ในหนังหลายเรื่อง แต่สุดท้ายชีวิตในวงการบันเทิงของเธอก็สิ้นสุดลงในเวลาอันสั้น หลังดาราสาวนักบู๊ตัดสินใจเข้าประตูวิวาห์กับ หลีเหลียนเจี๋ย นั่นเอง
ที่น่าเสียดายยิ่งไปกว่านั้นก็คือ สุดท้ายชีวิตคู่ครั้งนั้นกลับจบลงภายในเวลาเพียงแค่ 2 ปีเศษเท่านั้น ซึ่งต่อมา หลี่เหลียนเจี๋ย ยอมรับว่าเขาไม่ได้รักผู้หญิงคนนี้อย่างจริงใจ และอธิบายว่าเธอมีความรักให้เขาอย่างเต็มร้อย ตรงกันข้ามตนเองกลับสามารถรักเธอตอบได้แค่ 20% เท่านั้น พระเอกคนดังยังอธิบายว่าเหตุผลที่เขาตัดสินใจจูงมือเธอคนนี้เข้าประตูวิวาห์ก็เพราะตอนนี้ตัวเองกำลังอยู่ในช่วงอับโชค มีปัญหาทางสุขภาพ ส่วนชื่อเสียงก็เริ่มถดถอยลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งคุณยายของตนเองเป็นผู้ให้แนะนำว่า การแต่งงานกับ หวงชิวเหยียน นักแสดงสาววัย 22 ปี ที่เขาสนิทสนมด้วย จากการร่วมงานกันในหนัง 2 เรื่อง จะสามารถเปลี่ยนแปลงโชควาสนาต่าง ๆ ในชีวิต รวมถึงทำให้กลับมาโด่งดังอีกครั้งได้
แต่สุดท้ายมันก็ไม่ได้เป็นแบบนั้น ชีวิตคู่ครั้งนี้จบลงในเวลาอันสั้น กว่า หลีเหลี่ยนเจี๋ย จะโด่งดังก็เมื่อเขาจึงพบรักกับดาราสาว นีน่า ลี อดีตมิสเอเชียในกองถ่ายภาพยนตร์เรื่องหนึ่งนั่นเอง เป็นชีวิตคู่ที่เขาบอกว่าถือว่าเป็น "รักแท้" ของตนเอง
คำพูดถึงอดีตภรรยาทั้งเรื่องการแต่งงานเพื่อโชคลาง และการมอบความรักให้กับเธอได้อย่างไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย อาจทำให้ หลี่เหลียนเจี๋ย ดูเป็นคนใจร้ายไปบ้าง แต่เขาก็ยืนยันว่าที่ผ่านมาตัวเองได้พยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุดแล้ว ทั้งช่วยเหลือหางานในวงการภาพยนตร์ให้อดีตภรรยา และยังส่งเสียดูแลเธอกับลูกทั้งสองคนอย่างเต็มที่ ไม่ให้มีอะไรบกพร่อง ซึ่งเขาเองก็เสียใจที่ในฐานะพ่อเขาไม่มีโอกาสได้ดูแล และเฝ้ามองการเติบโตของลูกสาวที่เกิดกับเธออย่างที่ควรจะเป็น
ความอัดอั้นตันใจของ "หลีเหลี่ยนเจี๋ย"
ยังมีเรื่องน่าสนใจอีกอย่างเกี่ยวกับหนังภาค 3 เรื่องนี้ ที่นอกเหนือจากความยอดเยี่ยมของตัวหนังเองแล้ว ก็เห็นจะเป็นเรื่องราวหลังฉาก ที่ไม่ได้ออกมาราบรื่นอย่างที่คาดหวังกันเอาไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาในการทำงานระหว่างทีมงานของจีนแผ่นดินใหญ่ และฮ่องกง
เป็น หลี่เหลียนเจี๋ย เองที่พูดถึงเรื่องนี้แบบตรง ๆ ในหลายปีหลังจากนั้น เขายอมรับว่าไม่ได้อย่างมีส่วนร่วมอะไรกับไอเดียต่าง ๆ ของหนังเรื่องนี้นัก เพราะรู้สึกว่าเต็มที่กับหนังทั้งสองภาคแล้ว ที่สำคัญหนังแทบจะไม่ได้ยกทีมงานจากสองภาคแรกที่ทำงานด้วยกันมาตลอดมาด้วย แต่กลับเลือกใช้คนทำงานเบื้องหลังจากฮ่องกง ร่วมถึงผู้กำกับหนังกังฟูชื่อดัง "หลิวเจียเหลียง" แตกต่างจากหนังสองภาคแรกที่ทีมงานและนักแสดงส่วนใหญ่เป็นชาวจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งทำให้เกิดปัญหาหลาย ๆ อย่างขึ้น
ประการแรกหนังจ่ายค่าแรงให้ทีมงานและนักแสดงทางฝั่งจีนแผ่นดินใหญ่น้อยมาก เพียงคนละ 1 หยวนต่อวัน ขนาดหนังภาคก่อนอย่าง Kids From Shaolin ก็ยังให้ค่าแรงถึง 2 หยวนต่อวันเลย ขณะที่ทีมงานจากฮ่องกงกลับได้ค่าตัวอีกละระดับหนึ่ง บางคนมีเงินเดือนกันเป็นแสนเหรียญฮ่องกง เป็นเหตุการณ์ที่ หลี่เหลียนเจี๋ย เองกล่าวว่าวันนั้นคือวินาทีที่เขาเพิ่งเข้าใจว่า "ความไม่เป็นธรรม" มันคืออะไรกันแน่
ยังมีปัญหาการแบ่งชนชั้นวรรณะ และความไม่เท่าเทียมกัน ระหว่างทีมงานชาวจีนแผ่นดินใหญ่ และฮ่องกง ที่เกิดขึ้นอีกมากมาย ตั้งแต่เรื่องยิบย่อยอย่างอาหารกล่องที่ทีมงานทั้งสองทีมได้รับแจกอาหารที่ไม่เหมือนกัน ชาวฮ่องกงทานอาหารแบบกวางตุ้งที่หามาให้พิเศษ ส่วนพวกเขาชาวจีนแผ่นดินใหญ่ก็กินอาหารท้องถิ่นกัน แม้จะเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ก็คือส่วนหนึ่งของความแตกต่างในการทำงานร่วมกัน ที่ไม่ได้ทำให้เกิดความรู้สึกร่วมแรงร่วมใจในการทำงานเลย
หลี่เหลียนเจี๋ย ยอมรับว่าการมีกลุ่มคนจากสองสังคมที่มีค่าครองชีพต่างกันมาก ทั้งพี่น้องชาวจีนแผ่นดินใหญ่ของเขา กับผู้มาเยือนจากฮ่องกง ได้สร้างบรรยากาศที่แตกแยก แบ่งพรรคแบ่งพวก ไม่ลงรอยกันให้เกิดขึ้นตลอดการทำงาน เขาที่เป็นนักแสดงนำก็ยังได้เงินค่าจ้างน้อยกว่าทีมงานชาวฮ่องกงบางคนเสียอีก
ที่มากไปกว่านั้น ก็คือการไม่ให้เกียรติคนจีน จากทีมงานฮ่องกง อย่างที่ หลี่เหลียนเจี๋ย เล่าว่าวันหนึ่งเขา และเพื่อนตื่นกันตั้งแต่เช้ามืด เพื่อมารอถ่ายทำ แต่ทีมงานฮ่องกง มากันสายมาก ที่แย่ไปกว่านั้นเมื่อผู้กำกับมาถึงกอง กลับบ่นว่าแสงน้อยเกินไป และยกเลิกการถ่ายทำไปแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ไม่มีคำอธิบายใด ๆ ที่จะทำให้ทุกคนเข้าใจ
น่าเสียดายที่การรวมงานกันครั้งแรก (และครั้งเดียว) ของนักบู๊ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของวงการภาพยนตร์จีน และปรมาจารย์แห่งหนังกังฟู ได้ผลลัพธ์ที่ไม่ค่อยสวยงามซักเท่าไหร่ แม้ผลงานจะออกมาอย่างไม่มีที่ติ แต่ประสบการณ์การทำงานที่เกิดขึ้น กลับเป็นตรงกันข้าม ทำให้หลังจากนั้น คนทั้งสองก็ไม่ได้ร่วมงานกันอีกเลย
เกาะติดข่าวบันเทิงและร่วมวงเมาท์ดารากับ “ซ้อ 7” ก่อนใคร ผ่าน SMS โทรศัพท์มือถือทุกเครือข่าย ระบบ dtac - เข้าเมนู write Message พิมพ์ R แล้วส่งไปที่หมายเลข 1951540 ระบบ AIS - กด *468200311 แล้วโทร.ออก ระบบ True Move และ Hutch - เข้าเมนู write Message พิมพ์ ENT แล้วส่งไปที่หมายเลข 4682000 *ค่าบริการเพียง 29 บาท ต่อเดือน ทดลองใช้ฟรี 15 วัน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิก |