ก่อนที่จะมีชื่อรองว่า “หวงเฟยหง” ดารานักบู๊ชาวจีนแผ่นดินใหญ่ “หลี่เหลียนเจี๋ย” เคยมีเครื่องหมายการค้าเป็นหนังไตรภาคชุด “เสี่ยวลิ้มยี่” ผลงานที่เรียกได้ว่าสร้างชื่อให้เขาอย่างแท้จริง เป็นหนังกังฟูยุค 80s ที่น่าสนใจทั้งตัวงาน และเรื่องราวหลังฉากงานสร้าง ที่สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงของจีนแผ่นดินใหญ่ได้เป็นอย่างดี
Shaolin Temple หรือ “เสี่ยวลิ้มยี่” หนังปี 1982 ผลงานของผู้สร้างจากทางฮ่องกงที่ชื่อว่า บริษัท จงหยวน เป็นฝีมือของนักทำหนังรุ่นลายคาม อย่างผู้อำนวยการสร้าง “ฟุฉี” และผู้กำกับ “จางซิ่งเหยิน” ที่ยกกองถ่ายเข้าไปทำงานร่วมกับทีมงาน และนักแสดง ที่แทบจะเป็นชาวแผ่นดินใหญ่ทั้งหมด โดยเฉพาะนักแสดงนำ นักกีฬาวูซูระดับแชมป์ที่ชื่อว่า “หลีเหลียนเจี๋ย” ที่ต่อมากลายเป็นนักแสดงกังฟูที่ดังที่สุดอีกคนในประวัติศาสตร์ของงานสายนี้ จนกลายเป็นหนังดังแห่งยุค ปลุกให้หนังกังฟูที่เรียกว่าแทบจะหมดลมหายใจไปแล้ว ให้ได้รับความสนใจขึ้นมาอีกครั้ง
เปิดตำนาน เสี่ยวลิ้มยี่ ....
เรื่องราวของ Shaolin Temple เริ่มต้นด้วยการบวชเข้าเป็นพระวัดเส้าหลินของหนุ่มน้อยคนหนึ่ง ที่ดูเหมือนเขาจะมีปัญหาในการรับศีลข้อที่ว่า "ห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิต" ...
หลังจากนั้นหนังจึงเล่าเรื่องย้อนกลับไปถึงจุดเริ่มต้น ในยุคที่สภาพบ้านเมืองจีน กำลังอยู่ในช่วงระส่ำระสายหลัก ชาวบ้านถูกเกณฑ์ไปสร้างเมืองหลวงใหม่ให้กับขุนศึกผู้มักใหญ่ใฝ่สูง ชาวบ้านที่ถูกบีบบังคับใช้แรงงานคนหนึ่งพยายามแข็งข้อ แม้จะมีฝีไม้ลายมืออยู่บ้าง แต่ก็พ่ายแพ้ให้กับเหล่ากองทัพ ที่มีทั้งจำนวน, อาวุธ และความชำนาญในการต่อสู้ที่มากกว่า สุดท้ายชาวบ้านผู้กล้าหาญก็ถูกฆ่า แต่อย่างน้อยเขาก็ยังช่วยให้ลูกชายคนเดียวของตัวเองหนีรอดไปได้
กับเรื่องราวพื้น ๆ มีตัวเอกเด็กหนุ่มชาวบ้าน ผู้ตกเป็นเหยื่อของภัยสงครามการแย่งชิงอำนาจ เสี่ยวลิ้มยี่ ก็เหมือนหนังกังฟูในยุค 70s - 80s ทั่วๆ ไป ที่มีเนื้อเรื่องเรียบง่าย พอจะเปิดพื้นที่สำหรับการระดมฉากต่อสู้ และคิวบู๊ให้ดำเนินต่อเนื่องไปตลอดทั้งเรื่อง
หนังใช้เวลาไม่นานก็พาตัวเองเข้าสู่วัดเส้าหลิน ที่นั้นเด็กหนุ่มได้รับการถ่ายทอดวิชามวย และเพลงอาวุธต่าง ๆ ซึ่งสำหรับเขานี่คือโอกาสชั้นที่จะได้นำไปสู่การล้างแค้น แต่สุดท้ายนอกจากหนี้ชีวิตของบิดาแล้ว เขากลับมีโอกาสช่วยเหลือ “หลี่ซื่อหมิน ” ผู้ก่อตั้งราชวงศ์ถัง ให้รอดพ้นจากภัยอันตรายด้วย
การอนุญาตให้ เสี้ยวลิ้มยี่ ได้เข้าไปถ่ายทำในจีน พร้อมนำแสดงโดยยอดนักกีฬาระดับสมบัติของชาติ คือส่วนสำคัญที่ทำให้หนังเรื่องนี้พิเศษจากงานเรื่องอื่น ๆ ในยุคเดียวกันทั้งหมด ในทางตรงกันข้ามนี่ยังแสดงออกถึงเจตนารมเปิดประเทศในยุค 80s ของพญามังกร ที่ตอนนั้นดูจะแสดงออกถึงความต้องการทำความรู้จักกับโลกภายนอกให้มากขึ้น
เรื่องราวของวัดเส้าหลินในหนังเรื่องนี้ ก็ดูจะมีความแตกต่างจากหนังเส้าหลินมากมายหลายร้อยเรื่อง ที่เคยถูกสร้างมาในฮ่องกง หรือไต้หวัน หนังไม่ใช้ฉากหลังเป็นยุคราชวงศ์ชิง ที่ว่าด้วยต่อสู้เชิงต่อต้านของ กบฏชาวฮั่น กับรัฐบาลแมนจู แต่เป็นเรื่องราวที่ย้อนอดีตไปไกลกว่านั้น ในสมัยต้นราชวงศ์ถัง กับเนื้อหาที่ว่ากันด้วย การสร้างชาติของชาวฮั่น ซึ่งก็ดูจะไปกันได้ดี กับการเป็นหนังที่สนับสนุนโดยรัฐบาล
รสชาติที่แตกต่าง ....
ตามปกติแล้วหนังกังฟูในช่วงปลายยุค 70 จนถึงต้นยุค 80 นั้นมักจะมาคู่กับคำว่า "ทุนต่ำ" แต่นั่นไม่ใช่สำหรับ Shaolin Temple ที่ดูมีการลงทุน สร้างออกมาอย่างประณีต แม้ เสี่ยวลิ้มยี่ จะไม่ได้เป็นหนังกำลังภายในสุดโปรดเรื่องหนึ่งของผู้เขียน แต่ก็ยอมรับว่าหนังชุดนี้มีดีอยู่ไม่น้อย
จุดเด่นที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือ การเล่าเรื่องอย่างไม่รีบร้อน มีความกลมกล่อมอย่างหนังกำลังภายในยุคเก่าตามความถนัดของผู้กำกับ หนังยังใช้ประโยชน์จากการถ่ายทำในจีนแผ่นดินใหญ่ได้อย่างคุ้มค่า ฉายภาพทัศนียภาพอันสวยงามของประเทศจีน ทั้งน้ำตก, แม่น้ำ รวมถึงสิ่งปลูกสร้างสำคัญอย่าง กำแพงเมืองจีน สร้างความแตกต่างให้กับหนังอย่างเห็นได้ชัด ภาพที่ออกมาดูยิ่งใหญ่อลังการ บนฉากหลังแปลกตา แตกต่างจากฉากซ้ำซากในหนังกังฟูฮ่องกงยุคนั้นโดยสิ้นเชิง
ว่ากันที่คิวบู๊ Shaolin Temple มีมวยกังฟูที่สวยงามให้ชม เป็นการแสดงหมัดมวยในแบบเดียวกับกีฬาวูซู ที่เน้นความต่อเนื่องของท่าทาง, มีฉากรำมวย โชว์เพลงอาวุธให้ดูกันอย่างยาวเหยียด ... ต้องยอมรับว่านักแสดงมีทักษะความสามารถกันทุกคน แต่เมื่อถึงฉากพะบู๊ต่อสู้เอาชีพก็ทำได้ถึงพริกถึงขิงดี
แม้หนังจะไม่ได้นำเสนอธรรมะอันลุ่มลึกน่าขบคิดอะไร แต่ก็มีหลายฉากหลายตอนที่พอจะแสดงให้เห็นการตีความหลักคำสอนอยู่บ้าง โดยเฉพาะการแสดงให้เห็นถึงความยากลำบาก ในการรักษาคำสอน และเดินตามทางพุทธศาสนา ในสถานการณ์อันยากลำบาก
ทั้งในฉากตลกโป๊กฮาที่พยายามหาเหตุผลให้กับการบริโภคเนื้อสัตว์และสุราของเหล่าพระสงฆ์ จนไปถึงฉากตึงเครียดที่พูดถึงคำถามที่ว่า พระสามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการฆ่าฟัน ในสถานการณ์ที่จำเป็นที่สุดได้หรือไม่ ... และแบบใดจึงจะเรียกว่า "ความจำเป็น" ... หนังมีคำตอบที่ชัดเจนเป็นเหตุเป็นผลดี อาจจะไม่ใช่คำตอบที่ทุกคนเห็นด้วย แต่ก็เป็นเหตุผลที่น่ารับฟัง
หนังเรื่องแรกในชีวิตหลี่เหลียนเจี๋ย ...
นอกจากความน่าสนใจของตัวหนังแล้ว Shaolin Temple ได้รับการบันทึกว่านี่คือผลงานการแสดงครั้งแรกในชีวิตของ หลี่เหลียนเจี๋ย ที่ในวัย 20 ปีเขาถือเป็นนักกีฬาวูซูระดับแถวหน้าของประเทศ แต่สำหรับวงการบันเทิงแล้ว เป็นวัยที่เขาไม่เคยผ่านการแสดงใด ๆ มาก่อนเลย
Shaolin Temple ใช้เวลาถ่ายทำยาวนานถึงเกือบสองปี ผ่านช่วงเวลาอันเลวร้าย ของสภาพอากาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การทำงานในละแวกแม่น้ำเหลือง และมีหลายฉากหลายตอนที่เหล่านักแสดงต้องลงไปเล่นกันในน้ำ ทุกคนต้องแสดงสีหน้าสีตาสนุกสนานเพลิดเพลิญกับการเล่นน้ำ แต่ความจริงแล้วนั่นคือวิบากกรรมครั้งใหญ่
คนทำงานทั้งเบื้องหน้า และหลังฉาก ทีมงานส่วนใหญ่ ก็เรียกได้ว่ามีประสบการณ์ที่น้อยมาก หลีเหลียนเจี๋ย เองก็ยังยอมรับว่า กองถ่ายหนังเรื่องแรกของเขานั้นแทบจะทำหนังไม่เป็นกันเลย
กับการถ่ายทำอันยาวนานถึงเกือบสองปี, สภาพอาการอันเลวร้าย, ประสบการณ์ทำหนังที่น้อยมาก หลี่เหลียนเจี๋ย ยังยอมรับว่าเขามีความสุขกับการถ่ายทำหนังเรื่องนี้อยู่ไม่น้อย เพราะได้พักจากการฝึกฝนกังฟูอันเข้มงวดที่ตรากตรำอยู่นานหลายปีตั้งแต่เด็กจนโต กับการฝึกฝนวันละ 8 ชั่วโมงเต็ม ที่ใคร ๆ ก็รู้กันดีว่านักกีฬาจีนในยุคคอมมิวนิสต์นั้นฝึกซ้อมกับหนักหนาสาหัสแค่ไหน
เกาะติดข่าวบันเทิงและร่วมวงเมาท์ดารากับ ""ซ้อ 7"ก่อนใคร ผ่าน SMS โทรศัพท์มือถือทุกเครือข่าย ระบบ dtac - เข้าเมนู write Message พิมพ์ R แล้วส่งไปที่หมายเลข 1951540 ระบบ AIS - กด *468200311 แล้วโทร.ออก ระบบ True Move และ Hutch - เข้าเมนู write Message พิมพ์ ENT แล้วส่งไปที่หมายเลข 4682000 *ค่าบริการเพียง 29 บาท ต่อเดือน ทดลองใช้ฟรี 15 วัน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิก |