เพลงรักบ้านนา ตอนที่ 3
ขบวนกลองยาวฉลองชัยชนะ มุ่งตรงมายังบ้านของพร ศรีไพรนั่งอยู่บนหลังควาย มีพวงมาลัยคล้องคอควาย คนอื่นๆ ทั้งรำทั้งเต้นเข้ามา พรปราดเข้ามากางแขนกั้นไม่ให้เมินและทวนเข้ามาในบริเวณบ้าน
“หยุด หยุดอยู่แค่นั้น ห้ามไม่ให้เข้ามาในบ้านของข้าเด็ดขาด เราจะฉลองความสำเร็จกันในครอบครัว มีข้า มีเมียข้า ลูกข้า ไอ้แสนหลานข้า”
“มอๆๆ” ควายร้องท้วงติง
พรนึกได้
“เออ...แล้วก็ไอ้ไฉไลเฉิด...เท่านั้น”
“พ่อ ก็ให้พี่เมินกับพี่ทวนเขาเข้ามาในบ้านหน่อยไม่ได้หรือจ๊ะ ยังไงเขาก็เป็นส่วนหนึ่งของชัยชนะ” ศรีแพรขอร้อง
มหาเฉื่อยเห็นด้วยกับศรีแพร
“ก็นั่นน่ะซี ไหนๆ ก็เป็นการฉลองชัยชนะ ไอ้ศรีไพรกับไอ้ไฉไลเฉิดไถนาชนะเครื่องจักร เราต้องมา ช่วยๆ กันดีใจ”
“นั่นน่ะซีครับลุงมหา นี่ผมก็กะว่าจะอยู่กินข้าวกินปลา เก็บโต๊ะเก้าอี้ส่งวัด ก็ประมาณสัก...สัก...”
ทวนนึกๆว่าจะกี่วันดี เมินรีบแทรกขึ้น
“สามวันครับ กว่าจะล้างถ้วยล้างชาม เก็บโต๊ะเก็บเก้าอี้ เสร็จก็...อาทิตย์นึงพอดีครับ”
“ไม่ได้โว้ย ฉลองแต่พอหอมปากหอมคอ มันหมดสมัยแล้วไอ้เรื่อง ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำอวดรวย น่ะ ไป...ต่างคนต่างแยกย้ายกันกลับ”พรไล่
ศรีแพรอึ้ง
“พ่อ...”
พรหันไปส่งสายตาดุเมีย
“แกด้วยยายสด พาลูกขึ้นบ้าน เดี๋ยวนี้...แน๊ ยังไม่ขยับอีกแน่ะ เดี๋ยว...เดี๋ยวสวยๆ”
สดมองพรอย่างไม่พอใจ
“แกนี่กินน้ำตาลมาเกินไปหรือเปล่า ดุจัง” สดหันไปหาลูกสาว “ไป ศรีแพร ขึ้นบ้านกับแม่ ไอ้แสน ขึ้นบ้าน”
สดรีบดึงศรีแพรกับแสนขึ้นบ้าน ทวนกับเมินชะเง้อมองตามไป ศรีไพรก้าวเข้ามายืนขวาง ทำตาขุ่นๆ ใส่
“ที่พ่อพูดก็ถูกแล้วละ ฉลองก็ต้องมีขอบเขต ยุคนี้เป็นยุคข้าวยากหมากแพง ต้องรู้จักสนุกให้พอดี”
ทวนเซ็งเลย
“ว้า ต้องกลับ...”
ศรีไพรหันไปหาเมิน
“แล้วอย่าลืมที่สัญญาอะไรไว้ล่ะ”
เมินกับทวนหันไปสบสายตากันด้วยความสงสัย ควายส่งเสียงร้อง
“มอๆๆ”
เมินสะดุ้งเบาๆ บ่นพึมพำ
“ครับผม ไม่ลืมสัญญา ผมยอมเป็นลูกแล้วละครับ ไอ้เมินนะ...มีพ่อเป็นควายจนได้ เฮ้อ”
“เอ้า บ้านใครบ้านมันโว้ย” มหาเฉื่อยตัดบท
ศรีไพรยืนกอดอกยิ้มๆ ขณะที่คนอื่นๆ พากันแยกย้ายกลับบ้าน พรเข้ามาโอบไหล่ศรีไพร ภูมิใจในตัวลูก
“เฮ้อ ค่อยหายเครียดหน่อยว่ะ หวังว่าคงไม่มีนัดล้างตาอีกนะ ไอ้ศรีไพร”
+ + + + + + + + + + +
บุญช่วยใช้ผ้าชุบน้ำโปะศีรษะ ทั้งปวดศีรษะและอับอายที่ชิงชัย ไถนาแพ้ควาย ชิงชัยตบโต๊ะปัง แผดเสียงคำรามอย่างคั่งแค้น
“ต้องมี...ต้องมีนัดล้างตาอีก ตาของข้ามันมีแต่หน้าไอ้ศรีไพร กับหน้าควายเต็มไปหมด ไม่ล้างตาข้านอนตาไม่หลับแน่”
“พี่ มันไม่ใช่ความผิดของพี่หรอก แต่มันเป็นความผิดของไอ้เจ๊กตง ไม่รู้มันเกิดจะไปทัวร์เมืองจีนอะไรตอนนี้ แล้วบ้านนาน่ะ มีน้ำมันขายอยู่ที่เดียว ร้านเจ๊กตง” หลิมปลอบ
เลิศถอนใจ
“พอร้านเจ๊กตงปิด รถไถเลยบ้อท่า เอาน้ำมันทอดไข่เจียวใส่ก็ไม่ยอมไป”
สไบหันไปหาบุญช่วย
“พี่ เป็นยังไงบ้างคะ ตั้งแต่กลับมาพี่เอาแต่คลุมหน้าไม่พูดไม่จา”
“ข้าอายน่ะซี เดิมพันที่ลงไปเป็นแสน หมดไม่มีเหลือ แล้วนี่ข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ตอนนี้ไอ้ศรีไพรมันขี่ไอ้ไฉไลเฉิดไปทางไหน ก็คงมีแต่คนโบกมือให้มันอย่างผู้ชนะ”
“พ่อ ฉันขอโอกาสอีกครั้งน่ะ ฉันจะล้างอายให้พ่อ”
“ไม่ใช่ตอนนี้ ไอ้ศรีไพรนี่เห็นมันเด็กมอมแมมอยู่ไม่กี่ปี มันโตขึ้นมาเป็นหอกทิ่มสีข้างข้าจนได้”
“ฉันก็ไม่นึกเลยว่ามันจะโตเป็นสาว แล้วจบมหาวิทยาลัย ไม่ได้เป็นแค่นางงามบ้านนอกเหมือนพี่สาวมัน” สไบไม่วายแว้งกัดศรีแพร
“ไม่สวยเท่าครึ่งของคุณสไบของบ่าวขาหรอกค่ะ” แหว่งรีบเอาใจ
“ชนะไปคราวนี้ มันคงได้ความเชื่อถือจากชาวนา ยิ่งขึ้นมันกำลังหาพวกเพื่อต่อรองกับเรายังงี้ มันยิ่งมีโอกาส เพราะฉะนั้นเราจะประมาทไอ้ศรีไพร...ไม่ได้”
บุญช่วยคิดอย่างแค้นใจ
+ + + + + + + + + + + +
วันต่อมา...
ขณะที่ทวนนอนเอกเขนกอยู่บนกิ่งไม้ ศรีไพรเดินผิวปากมาเก็บเล็บเหยี่ยวก็ชะงัก เมื่อทวนโยนลูกเล็บเหยี่ยวลงบนหัว ศรีไพรเงยหน้าขึ้นมอง
“นาย...”
ทวนยิ้มกวนๆ
“ถามจริงๆ เถอะ ตอนที่ศรีแพรเริ่มเป็นสาวน่ะ มู่ทู่ไปอยู่เสียที่ไหน นึกไม่ออกบอกไม่ถูกว่าตอนเป็นเด็ก แขนขาจะยาวเก้งก้างเหมือนนกกระสามั้ย”
“นี่ นาย...”
“ผมออกมาเก็บเล็บเหยี่ยว เพราะจำได้ว่าตอนเป็นเด็กวัด เรามีผลไม้หลังข้าวก้นบาตรเป็นเล็บเหยี่ยว ไม่ยักรู้แฮะว่ามู่ทู่ก็แทะเล็บเหยี่ยวเหมือนกัน ไหน ดูลิ้น”
ศรีไพรแปลกใจ
“ดูทำไม”
“เด็กบ้านนาของแท้ต้องลิ้นดำปี๋”
“ไม่ให้ดู เอ...ฉันก็คลับคล้ายคลับคลาว่าตอนที่ฉันเป็นเด็กน่ะ มีนกกระยางสองตัว เดินกระหย่องกระแหย่งมาเลาะรั้วมะขามเทศบ้านฉัน แล้วทำคอยืดคอหด เหมือนนกกระปูด แอบดูพี่สาวฉัน”
“น่าน...นึกออกแล้วใช่มั้ยว่าเราเคยเป็นพันธมิตร ลำดับญาติกันได้หรือยังล่ะ คุณควรจะเรียกผมว่า...พี่ทวน คุณพี่ประทวน เพราะผมมีวัยวุฒิสูงกว่า แถมคุณวุฒิก็ยัง...เอ้อ...”
ทวนเกลือบหลุดปากดีที่ชะงักทัน เพราะเขาปกปิดฐานะของตัวเอง แท้จริงแล้วเขาเป็นตำรวจสากลปลอมเข้ามาสืบหาแหล่งผลิตยาเสพติด
“ทำไม มีคุณวุฒิอะไรที่เหนือกว่าบอกมา ที่นายกับเพื่อนของนายหายไปจากบ้านนาตั้งเกือบสิบปี มีคุณวุฒิจากลาดยาวหรือบางขวางล่ะ”
ทวนอึกอัก
“เอ้อ...”
“ถึงฉันจะต้องการพวก ไปสู้กับเศรษฐีบุญช่วย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะยอมรับนายเป็นพี่เขย...พี่เขยของฉันไม่ต้องมีคุณสมบัติร่ำรวยหรอก แต่เขาต้องเป็นคนดี เป็นคนที่ปกป้องคุ้มครองพี่สาวฉันได้”
ทวนเก๊กหล่อทันที
“คนๆ นั้นยืนอยู่ตรงหน้านกกระยาง...เอ๊ย...ศรีไพรนี่ไงครับ”
“ฮึ กะอีแค่ไถนา ยังสู้ไอ้ไฉไลเฉิดไม่ได้เลย ถ้าอยากจะให้ฉันยอมรับนาย นายต้องไถนาร้อยไร่”
ทวนตะลึงร้องออกมาเสียงดัง
“ร้อยไร่...”
ทันใดเมินโผล่เข้ามา พยายามประจบศรีไพรเพื่อจีบพี่สาว
“ถ้าไอ้ทวนมันสำอางค์ติดหล่อ ผมพอช่วยได้นะครับหนูนา ชายวัยฉกรรจ์ หนักเอาเบาสู้อย่างผม มีคุณสมบัติครบถ้วน ที่จะเป็นพี่เขยของหนูนาได้”
ทวนมองเพื่อนแค้นๆ
“ไอ้เมิน นี่...นี่แกกำลังทำลายความน่าเชื่อถือของฉันนะ”
เมินไม่สนทวนหันไปยิ้มให้ศรีไพร
“หรือว่า...ผมไม่มีคุณสมบัติในข้อที่...”
“เอาละ ฉันจะช่วยสงเคราะห์รับเอาไว้พิจารณา เงื่อนไขเดิมๆ ใครไถนาร้อยไร่ด้วยวิธีการดั้งเดิมสำเร็จ... ฉันจะยกพี่สาวให้”
ศรีไพรยิ้มเจ้าเล่ห์ เพราะต้องการจะหลอกใช้เมินและทวน
+ + + + + + + + + + + +
ศรีแพรไล่ตีน้องสาวไปรอบบ้าน เธอโกรธและอับอายที่ ศรีไพรเอาตัวเธอไปต่อรองเพื่อใช้เมินกับทวนไถนา
“ทำไมไปบอกเขายังงั้น นี่ถ้าพี่เมินกับพี่ทวนไถนาร้อยไร่เสร็จ พี่ก็ต้องแบ่งภาคไปเป็นเมียพี่ทวนครึ่งนึง พี่เมินครึ่งนึงน่ะซี”
“มีปัญหาเรื่องไม่ลงตัวอีกแหละพี่” แสนออกความเห็น
“ไม่ลงตัวยังไงวะ” ศรีไพรถามอย่างสงสัย
“ก็ใครจะเอาท่อนบนไป ใครจะเอาท่อนล่างไป”แสนพูดขำๆ
ศรีแพรโกรธ
“ไอ้แสน เดี๋ยวเถอะ เดี๋ยวแม่ก็...”
ศรีไพรยิ้มให้พี่สาว
“พี่ศรีแพร พี่ไม่ต้องห่วงหรอก น้ำหน้าอย่างนายทวนกับนายเมิน จ้างให้ก็ไม่มีปัญญาไถนาร้อยไร่หรอก ท่าทางหยิบโหย่งออกยังงั้น จะไปทำอะไรได้ หรือถึงทำได้...ฉันก็ไม่ยกพี่ให้เขาหรอก”
ศรีแพรหน้าเหวอ
“อ้าว แล้วเอ็งไปสัญญากับเขาทำไม”
ศรีไพรแววตายิ้มเย้ยหยัน
“ฉันจะหลอกใช้เขาน่ะ”
+ + + + + + + + + + + +
เย็นวันนั้น...
ทอกและหมอก ช่วยกันหุงข้าวด้วยหม้อดินที่ดำไปด้วยเขม่าไฟ มีปลาย่างแขวนอยู่ ทวนเดินนำหน้าเมินเข้ามาด้วยท่าทีโกรธจัด เพราะรู้ว่าศรีไพรหลอกใช้แรงงาน
“ยายมู่ทู่นี่เจ้าเล่ห์ยังกับแม่มด ฉันนึกไม่ออกจริงๆ ว่าเป็นน้องสาวของศรีแพรได้ยังไง”
“ทำไมวะ” เมินถามอย่างสงสัย
“แกนึกออกมั้ย ว่าศรีแพรมีน้องสาวตั้งแต่เมื่อไหร่”
เมินส่ายหน้า
“ไม่ออกว่ะ ตอนที่เราเรียนมัธยม ฉันเห็นแต่ศรีแพรคนเดียว”
“ตาพรส่งลูกสาวคนเล็กไปเรียนในอำเภอ จบเกษตรมาจากกรุงเทพฯ โน่น ไอ้ศรีไพรน่ะ มันเพิ่งกลับมาอยู่บ้านนา ตั้งใจจะกลับมาเป็นชาวนา” ทอกบอก
ทวนนิ่งคิด
“แปลก มีแต่คนที่เรียนสูงๆ เขาไปหาประโยชน์ให้ชีวิต แต่ศรีไพรกลับมาเป็นชาวนา”
ขณะเดียวกันนั้น มหาเฉื่อยส่งเสียงมาแต่ไกล
“เอ้า...ไอ้พวกนี้อยู่กันครบทั้งคณะก็ดีแล้ว มะรืนจะถึงวันพระ หลวงพ่อท่านให้พวกเอ็งไปซ่อมหลังคาโบสถ์ ญาติโยมจะได้ไม่สลดสังเวชเวลาเห็นสมบัติศาสนาชำรุด”
“ก็หลวงตาท่านไม่จัดงานหาเงินเข้าวัด จะมีปัจจัยที่ไหนมาซ่อมโบสถ์ล่ะลุงมหา” หมอกแย้ง
“หลวงตาท่านคงอยากให้ฆราวาส สังวรเรื่องวัตถุให้มากน่ะ ท่านไม่อยากทำให้ญาติโยมพากันเพลียบุญเพราะแย่งกันไปสวรรค์น่ะซี” เมินอธิบาย
“บอกธุระหลวงพ่อท่านแล้วข้าจะรีบกลับละ ไม่ไหวว่ะ...ป่าช้านี่ค่ำทีไรวิเวกวังเวงทุกที ข้ากลัวผีหลอก”
มหาเฉื่อยรีบออกไป ทุกคนหันมามองหน้ากันเองด้วยแววตาขยาดๆ เพราะความกลัวผี
อ่านต่อหน้า 2
เพลงรักบ้านนา ตอนที่ 3 (ต่อ)
เช้าวันใหม่ ศรีแพร ศรีไพร สด แสนและชาวบ้าน พากันนำข้าวของไปตักบาตร ทำบุญเมื่อถึงวันพระ หลิมขับรถยนต์ให้สไบ แหว่ง และบุญช่วยนั่ง หลิมแกล้งขับเข้ามากลางวง ทุกคนกระโดดหนีกันกระจัดกระจาย
“ขับรถประสาอะไร คนเดินกันเป็นขบวน ไม่เห็นหรือยังไง” ศรีไพรต่อว่าอย่างไม่พอใจ
“เห็นว่ะ แต่มันเบรกไม่ทัน เลยปล่อยเลยตามเลย” หลิมพูดกวนๆ
“ทีหลังละก็ ขับให้มันช้าๆ หน่อย ใช้รถใช้ถนนน่ะมันต้องแบ่งปันกัน ไม่ใช่ใช้ซะคนเดียว ยังกับชาติที่แล้วจองดาวน์ไว้”ศรีไพรโวย
สไบไม่พอใจ
“นี่ ยายสด แกเลี้ยงลูกยังไง ไหนว่าส่งมันไปเรียนสูงๆไงล่ะ เรียนจบกลับมา ที่ไหนได้ ปากคอมันเหมือนแม่ค้า”
“แม่ค้าปลาค่ะ คุณสไบของบ่าวขา...” แหว่งสอดขึ้น
บุญช่วยมองเหยียด
“ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ใครหัวหงอกหัวดำไม่เว้น นี่น่ะหรือ...คนมีการศึกษา เสียเงินส่งไปเรียนตั้งไกล กลับมามันก็ไม่พ้นเป็นชาวนาเหมือนพ่อแม่แหละวะ”
สดแกล้งดุศรีไพร ประชดบุญช่วย
“เห็นมั้ย...อายมั้ย...แม่เลี้ยงมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย ตอนนี้ตีนเท่าฝาโอ่งแล้วยังไม่มีความคิดอีก เศรษฐีบุญช่วยน่ะแก่จนหัวหงอกแล้วไม่รู้หรือ ไอ้ที่เห็นดำไปทั้งหัวนี่เอาสีทา”
สไบสะดุ้ง หันมาทำตาเขียวใส่สดและศรีไพร ศรีแพรเมินไปยิ้มๆแล้วแดกดัน
“เพราะฉะนั้นทำอะไร ต้องเกรงใจคนหัวสองสีบ้างนะ”
สไบโกรธชี้หน้าศรีแพร
“แก...แกด่าประชดไปถึงหัวท่านเศรษฐี”
ศรีไพรยิ้มเยาะ
“ยาย้อมผมน่ะ เลือกไอ้ที่มันมีคุณภาพหน่อย ยาถูกๆ ยิ่งย้อมยิ่งหนา ยิ่งแก่ก็เลยยิ่ง...”
ศรีไพรหยุดพูดไว้แค่นั้น หลิมหันมาบอกบุญช่วย
“ท่านเศรษฐีครับ ไอ้ศรีไพรมันด่าว่าท่านเศรษฐียิ่งแก่ยิ่ง...โง่”
บุญช่วยสะดุ้งสุดตัว ตาเหลือกไปด้วยความโกรธ
“โอ้ย ข้าทนไม่ไหวแล้วนะ ผมบนหัวของข้าเกี่ยวอะไรกับถนนสายนี้วะ ไป...ไอ้หลิม ทีหลังขับรถอย่าให้มันคับถนนนัก” บุญช่วยหันมามองหน้าศรีไพรอย่างโกรธจัด “เอ็งก็เหมือนกันไอ้ศรีไพร อย่าอวดดีนัก ให้มันรู้มั่งว่าใครเป็นใคร”
หลิมขับรถออกไป ศรีไพร และคนอื่นๆ มองตามไปด้วยความขุ่นเคือง
+ + + + + + + + + + + +
สดเดินนำศรีแพรและศรีไพรรวมทั้งคนอื่นๆ เดินเข้าที่ลานวัด เมิน ทวน ทอกและหมอกกำลังมุงหลังคาโบสถ์ที่ชำรุดอยู่ ต่างก็ชะเง้อมองไปยังศรีแพร ศรีไพรมองหนุ่มๆอย่างรู้ทัน
“แม่ พาพี่ศรีแพรขึ้นศาลาก่อนนะ”
“เอ็งจะไปไหน” สดถามอย่างสงสัย
“ขึ้นธรรมาสน์เทศสอนพวกสัมภเวสีหน่อย พี่ศรีแพร ขึ้นศาลาก่อนเดี๋ยวฉันตามไป”
สด ศรีแพร และแสนเดินขึ้นศาลาไป เมินกับทวนปีนลงมาจากหลังคาหวังจะจีบศรีแพร แต่กระโดดลงมากลับพบศรีไพรยืนอยู่ต่างพากันผิดหวัง ทวนยกมือพนมท่วมหัว
“ไปที่ชอบๆ เหอะ เดี๋ยวจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้”
“จะแถมถังสังฆทานให้ด้วย เกิดชาติหน้าจะได้สวยเหมือนถังสังฆทาน” เมินแหย่
สี่หนุ่มหัวเราะพร้อมกัน
“ก๊ากกก”
ศรีไพรโกรธตาเขียว
“นี่...ที่ไหน”
“อ้า...วัดจ้ะ” หมอกบอกยิ้มๆ
“วัดเป็นเขตอภัยทานใช่มั้ย” ศรีไพรถามเสียงเข้ม
ทวนทำหน้ากวนๆ
“แล้วไงล่ะ”
ศรีไพรจ้องหน้า
“แล้วไง ใจคอจะไม่ยกประโยชน์ให้วันพระวันโกนเลยหรือ วันนี้ญาติโยมชาวบ้านนาเข้าวัดฟังเทศน์ กล่อมเกลาจิตใจให้สะอาดอย่างชาวพุทธ แทนที่จะขึ้นไปมุงหลังคาให้เสร็จประโยชน์จะได้เกิดกับศาสนา นี่มาส่งเสียงเหมือนเปรตขอส่วนบุญ”
เมินยิ้ม
“ก็เพราะวันนี้วันพระน่ะซี พี่ถึงมาดักศรีแพรที่วัดนี่ รู้ว่าศรีแพรต้องเข้าวัดทำบุญ กุศลถึงได้ส่งให้สวยขึ้นทุกวัน”
ทวนมองศรีไพรยิ้มยียวน
“ไม่เหมือนคนบางคน ขนาดมาถึงวัดแล้วยังอดจิกไม่ได้ สงสัยชาติที่แล้วเกิดเป็นไก่ว่ะ”
ทุกคนหัวเราะพร้อมกัน
“ฮาๆๆๆ”
ศรีไพรโกรธ เงื้อมือชะชก
“เดี๋ยวพัด...ฮึ่ม...”
ทวนชี้หน้า
“อย่า ที่นี่เขตอภัยทานห้ามทำร้ายสัตว์ ไม่ยกเว้นแม้แต่สัตว์สองเท้า”
ทันใดนั้นชิงชัยกับเลิศ เดินเข้ามาดักหน้าศรีไพร มีไม้หน้าสามมาครบมือ
“อยู่นี่เองไอ้ศรีไพร ข้าเดินหาซะทั่ววัด ข้าจะมาล้างตาโว้ย”
“ตามีปัญหากับยาย ก็ไปร้านขายยา ซื้อยามาล้างตาซะก็สิ้นเรื่อง” ทวนพูดกวนๆ
ชิงชัยหันขวับไปตวาด
“ไม่ใช่เรื่องของเอ็งอย่ายุ่ง นี่เป็นเรื่องของข้ากับไอ้ศรีไพร ต้องมีนัดล้างตากัน ไม่ยังงั้นมันคาใจโว้ย ส่วนเรื่องของเอ็งกับข้า ยังมีเรื่องต้องล้างแค้น”
“เฮ้ย วันนี้วันพระนะ” เมินปราม
ชิงชัยไม่สนจะอัดศรีไพรให้ได้
“พระเจ้าไม่เกี่ยว มา...ไอ้ศรีไพร เอ็งกับข้ามาต่อยกัน”
ศรีไพรจ้องหน้าอย่างไม่เกรงกลัว
“พรุ่งนี้เจอกันหลังป่าช้าได้มั้ย วันนี้ไม่สะดวกเลยว่ะ”
“ไม่ได้โว้ย พี่ชิงชัยเขากินไม่ได้นอนไม่หลับ ถ้าไม่ได้ล้างตากันในวัด น้ำหนักเขาต้องลดแน่ๆ” เลิศโวยวาย
ศรีไพรถอนใจ
“งั้นไปเจอกันในป่าช้า ตัวต่อตัว”
ศรีไพรเดินนำชิงชัย ทวน เมิน ทอกและหมอก ต่างอ้าปากค้างด้วยความตื่นตระหนก เพราะไม่คิดว่าศรีไพรจะกล้าท้าต่อยกับพวกของชิงชัย
“แม่โว้ย กล้ารับคำท้าของผู้ชายอกสามศอก ไป...” ทวนพูดขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“ตามไปลุ้น” เมินบอก
ทั้งหมดรีบตามศรีไพรไปที่ป่าช้า
+ + + + + + + + + + + +
เมื่อไปถึงป่าช้า ชิงชัยชิงลงมือก่อน ชกหน้าศรีไพรทันทีจนเธอกระเด็นลงไปกอง ชิงชัยตามเข้ามาซ้ำแต่ศรีไพรกลิ้งตัวหลบ สวนเตะตัดขาออกไปทำให้ชิงชัยเซผงะ ศรีไพรกระโดดลุกขึ้นยืน
เมิน ทวน ทอกและหมอกตามเข้ามา ต่างตกตะลึง เมื่อเห็นศรีไพรต่อสู้กับพวกของชิงชัย ด้วยวิชามวยไทย ทวนลืมตัวส่งเสียงตะโกนเชียร์
“เอราวัณเสยงา”
ศรีไพรปัดหมัด แล้วชกเสยคางของชิงชัย ร่างของชิงชัยกระดอนออกไปตามแรงหมัด ก่อนสะบัดตัวกลับมา
“บาทาลูบพักตร์” เมินตะโกนบอก
ศรีไพรซอยเท้าถี่ กระโดดถีบใบหน้าของชิงชัยหงายหลัง ชิงชัยฝืนตัวไม่ให้ล้ม เตะสกัดหมายที่ปลายคางของศรีไพร ทวนป้องปากตะโกนบอก
“ปักลูกทอย”
ศรีไพรใช้ศอกรับลูกเตะของชิงชัยโดยสับศอกที่โคนขา ชิงชัยเซถอยกระโดดเขย่งเพราะเจ็บขาที่โดนศอก เมินเห็นอย่างนั้นก็ตะโกนบอก
“เถรกวาดลาน”
ศรีไพรตามเข้าไปเตะที่ขาพับชิงชัยผงะออกไปยืนไม่ติดทำท่าจะทรุด ทวนรีบตะโกนบอก
“หนุมาณถวายแหวน”
ศรีไพรกระโดดตาม กำหมัดทั้งสองแน่นเสยเข้าปลายคางของชิงชัยเต็มแรง ร่างของชิงชัยลอยขึ้นบนอากาศก่อนที่จะตกลงมานอนหลับสนิทอยู่แทบเท้า ศรีไพรจัดเสื้อผ้าหน้าผม มองไปยังเลิศ
“ไง มีใครอยากจะล้างตาอีกมั้ย”
เลิศตะลึงหน้าตื่นกลัว
“มะ ไม่...ไม่มีจ้ะ เดี๋ยวฉันไปร้านเจ๊กตงซื้อยาล้างตาที่นั่น ง่ายๆ ไม่เจ็บตัวจ้ะ”
ศรีไพรหันมาหาเมิน
“นายล่ะ”
เมินยิ้มแหยๆ
“ไม่มีปัญหาครับ ผมเป็นตากุ้งยิงไม่ต้องล้างตาเดี๋ยวก็หาย”
ศรีไพรจ้องหน้าทวน
“แล้ว นาย...”
“แฮ่ะๆ ผมสายตาสั้น ไม่ต้องใช้ใครล้าง ใช้คอนแทคเลนส์ครับ”
“แล้วจะกรวดน้ำบังสุกุลให้นะ”
ศรีไพรหันไปพูดกับชิงชัย ที่นอนสลบอยู่ก่อนเดินออกไป ทวน เมิน ทอกและหมอกมองตามไปด้วยความตื่นตระหนกกับแม่ไม้มวยไทยของศรีไพร
+ + + + + + + + + + + +
พรโกรธจัดบ่นศรีไพร เมื่อรู้ว่าศรีไพรไปมีเรื่องกับพวกของชิงชัยมา ศรีไพรน้อยใจ นั่งพิงต้นเสาเงียบๆ
“วันนี้วันพระ พระท่านสอนให้ละเว้นการทำบาป แต่ดันไปมีเรื่องกับพวกไอ้ชิงชัย ตอนรับศีลห้ารับยังไง”
“ฉันเห็นพี่ศรีไพรเขาทำปากขมุบขมิบจ้ะ พ่อ” แสนฟ้อง
ศรีไพรหันขวับไปดุแสน
“ไอ้แสน เดี๋ยวเถอะ...”
“พี่ ก็ไอ้พวกนั้นมันหาเรื่องตั้งแต่พ่อยันลูก มันอยากล้างแค้นมันไม่สนหรอกว่าวันไหนวันพระ วันไหนวันโกน” สดเถียงแทนลูกสาว
“แล้วจำเป็นต้องสนองตัญหามันมั้ย แกเป็นแม่ยังไงถึงไม่อบรมสั่งสอนลูก ไอ้ศรีไพรน่ะมันไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะ ถ้ามันจะทำการใหญ่มันต้องทำตัวเป็นผู้ใหญ่ด้วย”
ศรีแพรมองศรีไพรอย่างเห็นใจ
“พ่อ...อย่าด่าน้องเลย วันนี้วันอะไรรู้มั้ย”
“วันพระ”
“แล้วเวลาพ่อรับศีลห้าน่ะ พ่อทำปากยังไง”
แสนทำปากขมุบขมิบ
“พ่อทำปากขมุบขมิบยังงี้ใช่มั้ย ศีลข้อไหนรับได้พ่อก็เปล่งเสียงดัง สาธุ ข้อไหนรับไม่ไหวพ่อก็ทำไม่รู้ไม่ชี้”
พรจ้องหน้าแสนตาเขียว
“ไอ้...”
ศรีไพรเซ็งลุกขึ้น
“ศรีไพร นั่นจะไปไหนน่ะลูก” สดถามอย่างเป็นห่วง
“ฉันจะลงไปนอนกับไอ้ไฉไลเฉิด”
ศรีไพรเดินลงจากบ้านอย่างงอนๆ
“ศรีไพร”
ศรีแพรจะห้ามน้องแต่ พรขัดไว้
“ไม่ต้องไปห้ามมัน ให้มันลงไปนอนกับควายน่ะดีแล้ว มันจะได้ใจเย็นเหมือนควายซะบ้าง สั่งสอนไม่เคยจำ รู้ยังงี้ไม่ให้มันไปเรียนหนังสือหรอก ให้มันมีผัวเป็นชาวนา ปวดหัวน้อยกว่าเยอะ” พรกระแทกเสียงประชด
+ + + + + + + + + + +
ค่ำคืนนั้น...
ศรีไพรนั่งกอดเข่าเศร้าหมอง ลูบไล้ควายด้วยความรัก รอบตัวมีควันจากไฟที่สุมไล่ยุง
“ไม่มีใครเข้าใจฉัน เหมือนอย่างที่แกเข้าใจฉันหรอก...ไฉไลเฉิด ถึงแกจะเป็นควาย แต่แกก็ทำประโยชน์ให้คนได้ดีกว่าคนบางคนอีก แกอยู่กับฉันมาตั้งแต่ฉันยังตัวเล็กๆ แกเป็นทั้งรถไถ รถสปอร์ต รถบรรทุก ฉันใช้แกขนข้าว ขี่หลังแกไปท้องนาด้วยกัน แกเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉันเลย”
ขณะเดียวกันนั้น ทวนค่อยๆคลานผ่านหลังของศรีไพรไป ควายขยับจมูกไปมา
“มอๆๆๆ”
ศรีไพรแปลกใจ
“แกได้กลิ่นอะไรหรือ ไฉไลเฉิด มีผู้บุกรุกใช่มั้ย เดี๋ยว” ศรีไพรแกล้งพูดขู่ดังๆ “ฉันเอาปืนออกมาใส่ลูกก่อน เอาแบบลูกซองดีมั้ย มือฉันไม่ค่อยแม่น แต่ลูกซองระยะแค่นี้รับรองเข้าเป้า...กระจาย”
ทวนรีบยกมือขึ้น รีบออกมาจากที่ซ่อน
“อย่า...อย่าครับ ยอมแพ้ อย่ายิงนะผมกลัว เชื่อ...ไอ้ที่เขาตายกันก็เพราะพวกมือสมัครเล่นนี่แหละ”
ศรีไพรมองทวนอย่างตกใจ
“นาย...มาทำไมค่ำๆ มืดๆ วันนี้วันพระ โจรเปิดทำการด้วยหรือ”
“โธ่ ไม่ได้มาขโมยควาย แต่จะมา...เอ้อ...อ้า...”
“จะมาแอบดูพี่สาวของฉันใช่มั้ย” ศรีไพรถามเสียเข้ม
ทวนหน้าตื่นโบกไม้โบกมือปฏิเสธ
“เปล่า ไม่ได้มาแอบดูพี่สาว แต่จะมาชะเง้อมองหลังคาบ้านน่ะ ไม่ได้เห็นหน้าตาหวาน เห็นหลังคาบ้านก็ยังดี...นิ”
“กลับไปเดี๋ยวนี้นะ ฉันบอกแล้วไงถ้าอยากจะเป็นพี่เขยของฉันต้องไถนาร้อยไร่ให้เสร็จ พรุ่งนี้...ฉันไปรอพวกนายที่นาก่อนตะวันขึ้น ไปซี...”
ทวนเซ็งๆ
“ไปก็ได้ ขี้หวงยังงี้มีทายาทขอไปทำพันธุ์ตัวนึงนะ”
“เดี๋ยวเถอะ...เดี๋ยวก็คชสารเสยงาหรอก”
ศรีไพรง้างหมัดขึ้น ทวนรีบวิ่งหนีไป ศรีไพรมองตามด้วยความขุ่นเคือง
อ่านต่อหน้า 3
เพลงรักบ้านนา ตอนที่ 3 (ต่อ)
ศรีไพรจูงควายออกมายังท้องนาตอนเช้าวันนั้น พลางกวาดสายตามองท้องนาที่ไม่มีผู้คน ก็ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“เอ๊ะ ทำไมยังไม่มีใครมาลงแรงเลยล่ะ”
ทันใดนั้นเสียงทวนดังขึ้น
“มาแล้วครับ มาตั้งแต่ตะวันยังไม่ขึ้น ขี้ตากลบตาอยู่ดีดี๊ แหกขี้ตามาแต่เช้าเลยครับ”
ทวน เมิน ทอกและหมอกโผล่หน้าออกมาจากหลังกองฟาง
“วันนี้ศรีแพรไม่ได้มาด้วยหรือ หนูนา” เมินถามอย่างสงสัย
“พี่ศรีแพรอยู่ทอผ้าที่บ้าน แม่กำลังลับมีด พ่อทำความสะอาดปืนอยู่ ส่วนไอ้แสนก็...”
ศรีไพรยังพูดไม่จบ แสนก็วิ่งส่งเสียงตะโกนมาแต่ไกล
“พี่ศรีไพร...พี่ศรีไพร ไอ้ชิงชัยมันให้ชาวบ้านไปขนยาขนปุ๋ย ที่บ้านเศรษฐีบุญช่วยแน่ะ มันให้เครดิตชาวบ้านผ่อนหนี้ ชาวบ้านเลยแห่กันไปที่นั่น”
ศรีไพรตกใจ
“จริงหรือ”
“เลยไม่มีคนมาลงแขกไถนาที่นี่เลย ไม่เชื่อพี่ไปดูซี”
“ไป...”
ศรีไพรกับแสนรีบวิ่งออกไป ทวน เมิน ทอกและหมอก ต่างมองหน้ากันก่อนที่จะตามออกไป
+ + + + + + + + + + + +
หลิมกับเลิศจัดการแบกถุงปุ๋ยส่งให้ชาวนา ชิงชัย สไบและบุญช่วยต่างยิ้มด้วยความพอใจ แหว่งนั่งพัดให้สไบ
“เอาไป แล้วลงบัญชีให้เรียบร้อย ไม่ต้องรีบร้อนเอามาใช้คืนข้าหรอก ไม่ต้องห่วงเรื่องดอกเบี้ย เป็นธรรมดาของดอกเบี้ยมันมีหน้าที่งอก ก็ปล่อยให้มันงอก ถึงฤดูเก็บเกี่ยว...” บุญช่วยแววตามีเลศนัย
ชิงชัยยิ้มแย้ม พึงพอใจ
“ฉันจะส่งลูกน้องของฉันเอารถไปลงเกี่ยว เห็นมั้ย...ชาวนาไม่ต้องทำอะไรเลย มีรถไถไปลงให้ พอดินได้ที่ก็มีรถหว่าน ข้าวแก่ก็มีรถเกี่ยวไปเกี่ยวให้อีก สวรรค์ของชาวบ้านนา สบายยังงี้จะไปลงแรงให้ลำบากทำมั้ย”
“ไหนจะเหนื่อย ไหนจะร้อน ไหนจะอาบเหงื่อต่างน้ำ ผลผลิตก็สั่งได้ แล้วยังงี้จะกลับไปทำนาแบบดั้งเดิม โง่หรือเปล่า” สไบกล่อม
ชิงชัยรีบเสริม
“ต้องตื่นก่อนสว่าง เอาควายลงไถ สายหน่อยก็ต้องพัก คนกับควายเหงื่อซ่ก...เหนื่อย นี่แค่เริ่มต้นเท่านั้นนะ คิดดูเถอะตอนดำนาก็หลังขดหลังแข็ง แล้วตอนเกี่ยว...”
“หลังแข็งหลังขดเลยจ้ะ พี่” เลิศพูดต่อ
บุญช่วยกวาดสายมองพวกชาวนา แล้วหว่านล้อม
“หันกลับมาทำนาแบบใหม่กันเถอะ ทำได้ปีละตั้งสี่ครั้ง น้ำไม่มี...สนทำไม เครื่องสูบน้ำมี น้ำมันรึ อีกนานกว่าจะหมดจากโลก โลกร้อนรึ ซื้อพัดลมมาใช้ ก็แค่นั้น”
ศรีไพรเดินนำหน้าแสนเข้ามา
“แต่ไอ้วิธีนี้มันหนี้พอกหางหมู หมูมีแต่หนี้จนขยับตัวไม่ไหว เลยต้องตายอย่างหมา” ศรีไพรมองหน้ากล่ำ “นี่มันอะไรกันน่ะน้า ก็ไหนเราพูดกันเข้าใจแล้วไงว่าเราจะลงแขกช่วยกันทำนา”
กล่ำถอนใจ
“ไอ้วิธีแบบเก่ามันก็ดี แต่มันเหนื่อย เศรษฐีบุญช่วยเสนอเครดิตให้ใครไม่เอาก็บ้าแล้ว อยากทำก็ทำไปคนเดียวเหอะ ข้าใช้รถไถรถเกี่ยวดีกว่า”
ชาวนาพากันเดินออกไป ศรีไพรร้อนใจ
“น้า เดี๋ยวก่อน...ฟังฉันก่อน...น้าทำแบบนี้เราจะไม่มีวันหลุดจากวงจรหนี้นะ”
ชิงชัยสะใจ
“เฮ้ย ไอ้ศรีไพร เลิกฝันที่จะพาชาวนากลับไปลำบากเสียทีเถอะ เอ็งไม่มีวันเอาชนะความขี้เกียจของคนได้หรอก เอ็งมาก็ดีแล้ว...”
“คิดบัญชีกับมันเลย มันทำให้คุณชิงชัยเจ็บตัว” สไบยุยง
“สั่งสอนมัน ให้มันรู้ว่าในบ้านนานี่ใครใหญ่ รนหาที่จริงๆ นะ ไอ้ทโมน”
บุญช่วยพยักหน้า ชิงชัย หลิม เลิศ ตั้งมวยก้าวเข้ามาทุกด้าน แสนกับศรีไพรหันหลังชนกัน
“พี่ ทำไงล่ะ พวกมันทั้งฝูง เรามีกันแค่สองคน”
“ไม่รู้ว่ะ ยังคิดอะไรไม่ออก”
“คิดอะไรไม่ออกบอกคุณประทวนกับคุณประเมินได้ ครับผม” ทวนส่งเสียงมา
ทวน เมิน ทอกและหมอก ก้าวออกมาจากที่หลบมุมอยู่ ชิงชัยชะงัก
“ไอ้ทวน ไอ้เมิน”
สไบมองอย่างเหยียดหยัน
“แก มาก็ดีแล้ว ฉันจะให้คนของท่านเศรษฐี จัดการกับพวกแก”
เมินยิ้มเย้ย
“จัดการเรื่องครอบครัวให้ลงตัวก่อนเถอะครับเจ๊ แล้วค่อยจัดการกับคนอื่น”
แววตาสไบส่อพิรุธ รีบส่งเสียงเกลื่อน
“ไอ้เลิศ ไอ้หลิม ฆ่ามัน...”
“ฆ่ามันคำสั่งคุณสไบของบ่าวขา” แหว่งเสริม
หลิม เลิศ ชิงชัย และสมุนในบ้านวิ่งกรูกันออกมา ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันอย่างมีชั้นเชิง ไม่นานนักสมุนของบุญช่วยถูกโยนมากองอยู่ที่แทบเท้าของบุญช่วยและสไบ ชิงชัยถูกโยนมาเป็นคนสุดท้าย
+ + + + + + + + + + +
พรเดินไปมาด้วยความร้อนใจ ศรีแพรทำแผลให้เมิน สดทำแผลให้ทวน เมินแอบจับมือศรีแพร
“เฮ้ย ทำแผลกันเสร็จหรือยังวะ ไอ้แผลแค่นี้มันไม่ตายง่ายๆ หรอก มันอยู่ไกลหัวใจตั้งเยอะ” พรโวยวาย
ศรีแพรทำแผลให้ เมินอย่างห่วงใย
“อย่าให้แผลถูกน้ำนะจ๊ะพี่เมิน เดี๋ยวมันจะอักเสป”
“ถูกน้ำใจของศรีแพร พี่ก็อักเสปจนอกกลัดหนองแล้วละ” เมินออดอ้อน
พรชี้หน้าเมิน
“เฮ้ย ข้าบอกให้เอามือออกจากลูกสาวข้า” พันหันไปไล่ทวน “นี่เมียข้าไอ้ทวน โน่น ไปนั่งโน่น ไกลๆ”
ทวนขยับไปนิด
“นั่งตรงนี้ได้มั้ยครับ มุมนี้เห็นชัดดี”
“ไม่ได้โว้ย โน่น ไปนั่งที่ชานเรือนโน่น ชาวนากลับไปเป็นทาสเศรษฐีบุญช่วยอีกแล้ว แล้วทีนี้เราจะทำยังไงดี”
สดถอนใจอย่างหนักใจ
“นาเราตั้งร้อยไร่ ไม่มีแรงช่วย จะไถทันหว่านหรือ ไม่มีใครมาช่วยลงแรงแล้ว เราจะทำยังไง ศรีไพร”
“คนไปติดสบายกันหมดเลยไม่มีใครอยากเหนื่อย” ศรีแพรบอกอย่างเหนื่อยใจ
ศรีไพรแววตามุ่งมั่น
“ฉันไม่ยอมแพ้หรอกพ่อ เราจะทำนาด้วยวิธีดั้งเดิมให้ชาวนาเห็นว่าเราปลูกข้าวได้ ต้องทำให้พวกเขาเห็น เขาจะค่อยๆ เข้าใจว่าเราอยู่ให้พอได้”
“แต่เรามีกันแค่นี้” สดแย้ง
“แค่นี้แหละแม่ แค่ครอบครัวของเรานี่แหละ มีฉัน มีพ่อ มีแม่ มีพี่ศรีแพร แล้วก็มีไอ้แสน เราจะช่วยกัน...”
ศรีไพรเข้ามากอดสด ศรีแพร และพร แสนเข้ามากอด ครอบครัวกอดกันแน่นด้วยความรู้สึกหดหู่ ทวนกับเมินมองสบสายตากันอย่างเศร้าหมองไปด้วย
+ + + + + + + + + + + +
ตะวันฉายแสงจับท้องฟ้า เสียงไก่ขันบอกเวลาอรุณรุ่ง ศรีไพรจูงควาย สดหาบข้าวของ แสน พร หิ้วสัมภาระทำนาเดินมาตามคันนา
“ไฉไลเฉิดลูกแม่ ลงมือเลย เดี๋ยวแดดเปรี้ยงค่อยพักกินข้าว สายหน่อยพี่ศรีแพรกลับจากตลาดคงเอาข้าวมาส่ง นาแค่ร้อยไร่ให้มันรู้ไปว่าไฉไลเฉิดตัวนี้เอาไม่อยู่”
“มอๆๆๆ” ควายร้องรับคำเจ้านาย
ศรีไพรยิ้มแย้ม
“ขอบใจมากลูกรัก เดี๋ยวไถนาเสร็จจะพาไปสปา”
พรหันมาส่งสายตาดุ
“เฮ้ย จะคร่ำครวญกันอีกนานมั้ย ตะวันน่ะมันไม่รอใครนะโว้ย”
“แหม พ่อก็...ไม่ด่าไม่ใช่ของแท้เลยนะ ก็กำลังจะเอาไอ้ไฉไลเฉิดลงนาอยูนี่ไง๊”
ทันใดนั้นแสนก็ชี้มือไปพร้อมกับตะโกนลั่น
“พี่ศรีไพร ดูนั่น...”
ทวน เมิน ทอก หมอก เดินกอดกันร้องเพลงรักบ้านนามาแต่ไกล พรรีบชักดาบที่เหน็บหลังมาด้วย
“ไอ้ทวน ไอ้เมิน”
สดเข้าห้าม
“อย่า...ไม่ต้องขยับดาบ ดูมันก่อนว่ามันมาทำไม”
ทวนเดินยิ้มแย้มเข้ามา
“ผมมาไถนาตามสัญญา ที่ให้ไว้กับศรีไพรยังไงล่ะครับ เราทั้งหมดนี่ไม่มีนาไม่มีไร่ กินข้าววัดมาตั้งแต่เล็กจนโต สำนึกในคุณข้าวก้นบาตรท่าน ก็เลยมาลงแรงช่วย”
“ใช่ครับ มีแรงพวกเราสี่คน ดีกว่าไม่มีเลย นึกว่าทำนาแลกข้าว กับความเมตตาของ...”
เมินยังพูดไม่จบ พรชี้หน้า
“หยุดนะ เอ็งนึกว่าข้าไม่รู้หรือว่าเอ็งมีแผนจะมาจีบลูกสาวของข้า ข้าคิดถูกแล้วที่ไม่ให้นังศรีแพรมา ไม่ยังงั้น...”
“ตาพร ไอ้เมินกับไอ้ทวน มันอาจจะหวังดีกับเราก็ได้นะ” สดปราม
“มันจะหวังดีอะไร มันหวังจะจีบลูกสาวเราน่ะซี ข้าจะไล่มันไป”
พรขยับดาบ ศรีไพรรีบวิ่งมากางแขนห้ามไว้ กระซิบเบาๆ
“อย่าเชียวนะพ่อ ไอ้พวกนี้มันไม่เท่าไหร่หรอก มีไว้ไม่เสียหลาย เอาไว้กันผี ถ้าพวกไอ้ชิงชัยมันตามมาล้างแค้นเราจะได้มีคนช่วย พ่ออย่าลืมซีว่าชาวนาหันไปเข้าพวกกับเศรษฐีบุญช่วยกันหมดแล้ว”
พรคิดตามที่ศรีไพรบอกก็ชะงักไป
“เอ้อ...”
“ฉันรับรองว่าฉันจะไม่ให้ใครจีบพี่สาวฉัน ฉันจะหลอกไอ้พวกนี้ไว้ใช้”
พรตกใจพูดเสียงดังลั่น
“หลอกใช้เรอะ”
“เบาๆ พ่อ เดี๋ยวพวกมันได้ยิน”
ศรีไพรหันไป เปลี่ยนใบหน้าเป็นยิ้มแย้มพูดเสียงอ่อนโยน
“อ้า...ถ้าคิดจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ ทำมาหากินสุจริตละก็...ยินดีต้อนรับ...สังคมพร้อมที่จะให้โอกาส อ้าแขนรับการกลับตัวของนายสองคนตามนโยบายรัฐบาล” แล้วศรีไพรก็เปลี่ยนมาสั่งเสียงเข้ม “ไป...ไปไถนากับควาย”
ทวนและเมินกับพวก มองหน้ากัน ทำปากขมุบขมิบก่อนลงท้องนาไป ศรีไพรยิ้มพอใจ
+ + + + + + + + + + + +
ที่ร้านเจ๊กตง...
มหาเฉื่อยนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ เจ๊กตงบ่นเอะอะอยู่ในร้านอย่างหัวเสียที่ถูกหลอกไปทัวร์เมืองจีน
“เพียดเกียดทัวร์...เพียดเกียดทัวร์อะไรวะ จ่ายโน่นจ่ายนี่จ่ายนั่น รวมแล้วแพงกว่าซื้อตั๋วเรือบินบินไปเอง ไหนจะเสียเวลาทำมาค้าขาย ไหนจะเสียค่าเพียดเกียดทัวร์อีกล่ะ”
เนี้ยวพยายามอธิบายให้เจ๊กตงเข้าใจ
“โธ่ เตี่ย เพียดเกียดทัวร์สมนาคุณผู้โชคดี ก็ต้องเสียย่อยเสียยับ เสียเบี้ยใบ้รายทางยังงี้แหละ คิดอะไรมากนะเตี่ย เตี่ยได้ไปไหว้บรรพบุรุษ อั๊วก็ได้ไปขึ้นกำแพงเมืองจีน”
เจ๊กตงถอนใจเซ็งๆแล้วหันมาหามหาเฉื่อย
“มหาเฉื่อย ทำไมวันนี้บ้านนามันถึงได้เงียบ อั๊วไม่อยู่มีใครบังอาจมาทำธุรกิจแทนอั๊วมั้ย”
“ที่บ้านนาเราเงียบ ก็เพราะคนมันไม่มีเงินจะใช้น่ะซี เศรษฐกิจไม่ดีใครจะมีอารมณ์ออกมานั่งเล่นหมากรุกที่ร้านลื้อล่ะ”
ขณะเดียวกันนั้น สุมิตรร้องเพลงมาแต่ไกล ขี่รถจักรยานบรรทุกสินค้าเข้ามาขายในหมู่บ้าน
“มาแล้วจ้ะนายจ๋า สุมิตรา ราชา มายัน จากอินตะละเดีย มารับใช้ให้บริการชาวบ้านนา เลือกซื้อสินค้าราคากันเอง มีทั้งเงินสดเงินผ่อน จะดาวน์ไว้ก่อนผ่อนสิบปี หรือจะจ่ายรายวัน มีให้เลือกทุกประเภท ตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเครื่องบินจ้ะ นายจ๋า”
“เฮ้ย เอาครกมาใบ” มหาเฉื่อยตะโกนสั่ง
สุมิตรหยิบครกออกมา
“นี่จ้ะ ท่านมหาเฉื่อยจ๋า ครก...”
มหาเฉื่อยมองขำๆ
“เอ๊ะ มีโว้ย แล้วเครื่องบินล่ะ มีมั้ย”
“จะเอาไอพ่น จัมโบ้ หรืออีร๊อบคอปเตอร์จ๊ะ นายจ๋าท่านมหาเฉื่อย” สุมิตรถามอย่างยิ้มแย้ม
“เอาอีร๊อบคอปเตอร์ก็แล้วกัน”
สุมิตรหยิบ ฮ.เด็กเล่นออกมาวางตรงหน้า มหาเฉื่อยสะดุ้ง
“หา นี่น่ะเรอะอีร๊อบคอปเตอร์”
“แล้วอีร๊อบคอปเตอร์ยังงี้ เอาไปนั่งได้มั้ยวะ ไอ้แขก” เจ๊กตงถามอย่างสงสัย
สุมิตรยิ้มแย้มลอยหน้าลอยตา
“อีนี่นายจ๋า...ฮัดช้า...ฮัดช้า นั่งได้แต่ต้องเผาส่งไปให้ตอนเจ๊กตงไปสุสานนะจ้ะนายจ๋า” สุมิตรหันไปยิ้มหวานให้เนี้ยว “อ้า...อาเนี้ยวจ๋า...ได้ข่าวว่าไปเที่ยวเมืองจีน อีนี้สุมิตราเลยเปิดบริการกาแฟสำเร็จพร้อมชง”
เจ๊กตงไม่พอใจ
“หนอย ไอ้แขก ยังงี้มันแย่งสัมปทานกันนี่หว่า อั๊วขายกาแฟ ลื้อจะมาขายกาแฟสำเร็จรูปได้ยังไงวะ”
“อีนี่นายจ๋า โปรดคิดถึงเส้นทางสายไหม เมื่อก่อนคนจีนคนแขกเดินทางค้าขาย ไปมาหาสู่ ร่วมเรียงเคียงหมอน” สุมิตรทำตาเจ้าชู้ใส่เนี้ยว เนี้ยวมองค้อน “อยู่กันเป็นผัวเมียไม่มีปัญหา แขกเอาผ้าไปขายที่เมืองจีน คนจีนเอาชามาขายที่เมืองอินตะละเดีย สุมิตรามายันขายกาแฟสำเร็จรูปแทนขายมุ้งผิดตรงไหน”
“มันไม่ผิดหรอกย่ะ แต่มันทำให้เตี่ยเสียประโยชน์”
มหาเฉื่อยรีบห้าศึก ระหว่างแขกกับจีน
“เอาละ อย่าทะเลาะกัน ไอ้เรื่องค้าๆ ขายๆ นี่ ต้องให้มันเป็นไปตามกลไกการค้าเสรีโว้ยไอ้เจ๊กตง เอ็งจะใช้วิธีผูกขาดเหมือน...เหมือนเศรษฐีบุญช่วยไม่ได้”
“เศรษฐีบุญช่วย...” เจ๊กตงแปลกใจ
“ตอนนี้เศรษฐีบุญช่วยปล่อยเงินกู้ ปล่อยเครดิตให้ชาวนา ชาวนาเลยแห่ไปเป็นพวก ไอ้ทวนไอ้เมินของข้า เลยต้องไปช่วยไอ้ศรีไพรมันทำนา”
“พี่ทวน พี่เมิน” เนี้ยวตกใจ
“ไม่รู้ป่านนี้มันเป็นยังไงบ้าง”
มหาเฉื่อยถอนใจอย่างเป็นกังวล
อ่านต่อหน้า 4
เพลงรักบ้านนา ตอนที่ 3 (ต่อ)
ทวน เมิน ทอกและหมอก ต่างล้มตัวลงนอนราบกับพื้นด้วยความเหน็ดเหนื่อย เนื้อตัวเปรอะเปื้อนดินโคลน ศรีไพรและแสนก้าวเข้ามา
“ตายมั้ย พี่ศรีไพร พี่เมินกับพี่ทวนเขาไถนาตั้งแต่เช้า ข้าวยังไม่ได้กินเลย”
“ยังไม่ตายหรอก ยังหายใจแผ่วๆ กะอีแค่ไถนาแค่นี้ทำจะเป็นจะตาย แล้วยังงี้ใครได้ไปเป็นลูกเป็นผัว จะเอาตัวรอดมั้ยเนี่ย ไป...ไปกินข้าว”
ทวนนอนหอบเหนื่อย หมดเรี่ยวแรง
“โอย กินไม่ไหว ยกมือไม่ขึ้น”
เมินสภาพไม่ต่างจากทวน
“ฉันก็ขยับเหงือกไม่เป็นว่ะ ไม่มีแรงเคี้ยวข้าวท่าน”
“ฉันด้วย โอย...แดดร้อนจนหน้ามืด” ทอกเสียงแหบแห้งหมดเรี่ยวหมดแรง
หมอกหอบตัวโยน
“ไข้แดดจับฉันเลยพี่ ไอ้ทำนาวิธีนี้นี่...มันเหนื่อยจริงๆ นะ”
ศรีไพรมองสี่หนุ่ม
“คนโบราณท่านถึงได้สอนให้รู้คุณดินรู้คุณน้ำ รู้คุณดวงอาทิตย์ ก่อนหว่านพันธ์ก็ต้องไหว้เมล็ดพันธ์ เรียกว่า...พิธีขวัญข้าว ผู้หลักผู้ใหญ่ท่านถึงใม่ให้เด็กกินข้าวเหลือ เพราะกว่าจะได้มาชาวนาต้องลำบากปลูก”
ทวนเซ็งๆ
“โอย จะมาเลคเชอร์อะไรกันตอนนี้ล่ะ เหนื่อยจนหูอื้อ ฟังไม่รู้เรื่องหรอก”
“ต่อไปนี้จะกินทิ้งกินขว้างมั้ย” ศรีไพรถามเสียงเข้ม
เมินส่ายหน้า
“ไม่แล้วจ้ะ จะกินให้หมดทุกเมล็ดเลย”
ศรีไพรยิ้มพอใจ
“ดีมาก ไปกินข้าวได้...”
ทวน เมิน ทอกและหมอกค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งด้วยความเหนื่อยล้า ศรีไพรมองกิริยาเหน็ดเหนื่อยนั้น ดวงตาเริ่มปราฏกรอยยิ้ม...ขณะเดียวกันั้น หลิมแอบสอดแนมอยู่ไกลๆ
+ + + + + + + + + + + +
หลิมขับมอเตอร์ไซด์เข้ามาจอดที่บ้านบุญช่วย รีบวิ่งขึ้นเรือนนำความไปรายงานเจ้านาย
บุญช่วยนั่งคิดบัญชีโดยมีสไบนวดไหล่อยู่ แต่สไบเล่นหูเล่นตากับชิงชัย อยู่เหนือศีรษะของบุญช่วย แหว่งยืนรอรับใช้อยู่มุมหนึ่ง
“ท่านเศรษฐีครับ...ท่านเศรษฐี”
“ไอ้หลิมกลับมาแล้วค่ะ คุณสไบของบ่าวขา” แหว่งรายงาน
ชิงชัยหันไปมองหน้าหลิม
“ไอ้หลิม ข้าให้เอ็งไปสืบเรื่องไอ้ศรีไพรไง ไม่มีชาวนาหน้าไหนกล้าไปลงแรงช่วยมัน แล้วมันทำนายังไงวะ”
สไบยิ้มหยัน
“ที่มรดกของตาพรเป็นร้อยๆ ไร่ เมื่อก่อนแบ่งให้เช่า แต่พอไอ้ศรีไพรมันมีความคิดจะทำนาแบบเก่า เลยเรียกคืนมาทำเอง ใช้ควายไถ เมื่อไหร่จะเสร็จ ฮึ”
“นี่มันไถกันจนเกือบจะเสร็จแล้วละครับ คุณชิงชัย” หลิมบอกอย่างตื่นเต้น
“อะไรนะ เป็นไปได้ยังไง ชาวนาหน้าไหนไปช่วยมันวะ” บุญช่วยถามอย่างสงสัย
“พวกไอ้ทวนไอ้เมิน กับไอ้ทอกไอ้หมอกครับ แรงบ้านตาพรสามสี่คน ไอ้พวกนั้นอีกสี่ แค่นี้ก็ถมไปแล้วละครับ”
บุญช่วยแค้นใจ
“ไอ้ทวน ไอ้เมิน”
“มันคงไปติดพันนังศรีแพรน่ะซี มันถึงได้ถูกไอ้ศรีไพรหลอกใช้แรง” ชิงชัยน้ำเสียงเย้ยหยัน
“ผู้ชาย โง่อยู่เรื่องเดียว” สไบพูดประชดชิงชัย
บุญช่วยครุ่นคิด
“ทำยังไง ถึงจะตัดแรงไอ้สี่ตัวนั่นออกไป ถ้าไม่มีไอ้ทวนกับไอ้เมิน ไอ้ศรีไพรมันไม่มีวันทำนาสำเร็จหรอก”
“ใช้อิทธิพลของหลวงตาฉุนบีบไอ้พวกนั้นให้หันกลับมาเป็นพวกเรา” ชิงชัยบอกทันที...
+ + + + + + + + + + + +
วันต่อมา...
บุญช่วยรีบนำสมุนมาพบหลวงตาฉุน ขอร้องให้หลวงตา ห้ามไม่ให้พวกทวนไปช่วยศรีไพรทำนา หลวงตาฉุนหูตึงได้ยินเป็นอย่างอื่น บ้วนน้ำหมากใส่กระโถน แล้วหันไปถามบุญช่วย
“อะไรนะ ใครจะเอาอะไรไปคนกับอะไร อย่าไปคนมันเล้ย...โยมบุญช่วย วางเสียเถ๊อะ คนน่ะยิ่งคนมันก็ยิ่งยุ่ง วางซะบ้างจะได้เบา”
บุญช่วยอึ้งไป
“อ้า...ผมไม่ได้มาขอสูตรทำอาหารจากหลวงตาหรอก แต่จะมาขอให้หลวงตาตักเตือนพวกไอ้ทวนกับไอ้เมิน อย่าเข้าไปยุ่งกับเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง เช่นเรื่องไอ้ศรีไพร”
“ใครล่ะ ลูกเต้าเหล่าใคร จะมาให้อาตมาบวชให้เรอะ มีใบรับรองแพทย์มาด้วยหรือเปล่าล่ะ คนเดี๋ยวนี้...ลูกดีๆ ไม่ค่อยให้บวช ลูกติดยาละก็...โยนมาให้วัด”
ชิงชัยเซ็งเลย ที่หลวงตาพูดไม่รู้เรื่อง
“โธ่ หลวงตา ไม่ได้เอาคนมาบวช แต่จะมา...”
สไบถอนใจ ก่อนจะหันไปบอกบุญช่วย
“หลวงตาฉุนหูหนวก สงสัยจะพูดกันไม่รู้เรื่องแล้วละ ฉันว่ากลับเถอะ”
บุญช่วยมองหลวงตาไม่ค่อยพอใจนัก
“วัดเก่าแก่ทรุดโทรม ที่รกร้างแทนที่จะได้ใช้ประโยชน์กลับให้ผีอยู่ ผมมีโครงการย้ายวัด”
หลวงตาพูดไปเรื่องอื่น...
“อย่าไปขัดมันเล้ยคอคนน่ะ ใครอยากพูดอยากคิดอะไรก็...วางเสียเถ๊อะ...เบาดี เมื่อกี้นี้ว่าจะทำบุญบำรุงวัดเท่าไหร่นะ ขออนุโมทนา”
“หลวงตาสวดให้พรแล้วค่ะ คุณสไบของบ่าวขา” แหว่งสอดขึ้น
สไบหันไปดุ
“นังแหว่ง”
หลวงตาหลับตา พนมมือให้พร บุญช่วยจำต้องควักเงินทำบุญ มหาเฉื่อยรีบเก็บเงินใส่ตู้บริจาค
ด้วยความดีใจ บุญช่วยเหล่มองหลวงตาด้วยแววตาขุ่นเคือง
+ + + + + + + + + + + +
ศรีแพรหาบกระจาดอาหารากลางวันมาส่งพวกที่ทำนา เมิน ทวน ต่างส่งเสียงร้องเพลงเกี้ยวศรีแพรอย่างมีความสุข ศรีไพรเดินลุยโคลนขึ้นมา
“นี่ ให้มาทำนานะ ไม่ได้ให้มาร้องเพลงเกี้ยวพี่สาวฉัน ดูแต่ตา มือห้ามแตะ เสียงห้ามส่ง ทำตาหวานก็ไม่ได้ เดี๋ยวพี่ศรีแพรท้อง”
เมินสะดุ้ง
“เฮ้ย คนไม่ใช่ปลากัดนะ”
ทวนส่งยิ้มหวานเยิ้มให้ศรีแพร
“กำลังใจดีๆ ยังงี้ รับรองทำตาย”
ศรีแพรยิ้มให้สองหนุ่ม
“มากินข้าวกันเถอะจ้ะ พี่ทวน พี่เมิน วันนี้ฉันแกงเลียงผักริมรั้วกับปลาย่าง มีน้ำพริกมะขามต้นหน้าบ้านด้วย”
ทวนกับเมิน วิ่งแข่งกันเข้ามาใต้ต้นไม้ ทอกกับหมอกวิ่งตามมา ศรีไพรมองแล้วส่ายหน้าด้วยความเอือมระอา
“แค่พูดถึง พี่ก็น้ำลายไหล...เอ๊ย หกแล้วละจ้ะ พี่มาช่วยไถนาตั้งหลายวันแล้ว ศรีแพรใจร้ายไม่ยอมให้พี่เห็นหน้าเลย” ทวนต่อว่า
“ไอ้ทวน ศรีแพรไม่อยากเห็นหน้าแกน่ะซี ก็เลยอยู่บ้านทำกับข้าว แล้วให้ไอ้แสนไปรับปิ่นโตแทน” เมินยิ้มออดอ้อน “มายังงี้บ่อยๆ พี่เจริญอาหารแน่ๆ เลยจ้ะ”
ขณะเดียวกันนั้น เนี้ยวส่งสียงมาแต่ไกล หิ้วปิ่นโตมาด้วย
“อย่า...อย่าเพิ่งลงมือ รอปิ่นโตของเนี้ยวด้วย เนี้ยวซื้อผลหมากรากไม้มาจากเมืองจีน มีทั้งลูกพลับลูกลิ้นจี่ลูกแปะก้วยแล้วก็ลูกเกาลัดจ้ะ เนี้ยวป้อนให้พี่ทวนนะจ๊ะ”
เนี้ยวเอาอกเอาใจทวน ศรีไพรเบะหน้าด้วยความหมั่นไส้ทวน
“กินเป็นอยู่คนเดียวเลยนะ ของฝากจากเมืองจีนนี่”
“อาเนี้ยว ไม่ต้องป้อนพี่ก็ได้ เดี๋ยวจะมีปัญหากับเตี่ย ไม่ต้องเอาของดีๆ มาให้พี่หรอก ให้เจ๊กตงกินเยอะๆ แกใกล้จะไม่ได้กินแล้วละ”
“ก็เนี้ยวเป็นห่วงพี่ทวนนี่ พี่ทวนหายไปตั้งเกือบสิบปี เนี้ยวคิดถึงพี่ทวนทุกวันเลย ถึงคนเขาจะลือว่าพี่ทวนไปติดคุก ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย ติดคุกยังออกได้ แต่ติดใจออกย๊าก...ยาก”
ขณะเดียวกันนั้น เจ๊กตงถือไม้เรียวส่งเสียงร้องตะโกนมาแต่ไกล
“อาเนี้ยว ลื้อกลับไปขึ้นเล่าเต๊งเดี๋ยวนี้นะ เตี่ยงีบไปวูบเดียว หนอย...แอบเอาของดีๆ แพงๆ มาให้อาทวนอาเมินอีกแล้ว ลื้อรู้มั้ยว่าตอนนี้พวกชาวนาทิ้งนาไปเข้าพวกกับเศรษฐีบุญช่วยหมดแล้ว ลื้อจะเลือกข้างก็ต้องเลือกให้ฉลาด”
“เตี่ย...อั๊วจะอยู่ข้างพี่เมิน อยู่ข้างศรีไพร”
ศรีแพรเข้าไปขวางเจ๊กตง
“เจ๊กตง ไม่เอาน่ะ อย่าตีอาเนี้ยวเลย พวกเราทั้งหมดควรจะรักกันไว้นะ เราคนบ้านนาเหมือนกัน”
เจ๊กตงไม่ฟัง
“ม่ายล่าย...ม่ายให้รัก กลับบ้านเดี๋ยวนี้ไม่ยังงั้นเตี่ยตีหลังขาด ไป...กลับไปอยู่หลังม่านประเพณี รู้จักม่านประเพณีมั้ย อาเนี้ยว”
เนี้ยวหน้าเสีย
“เตี่ย...”
“อั้วขอสั่งห้าม ไม่ให้ลื้อกับอาเนี้ยวรักกันเด็ดขาด ลื้อเป็นคนขี้คุก อั๊วไม่ให้ลื้อรักกับดอกท้อของอั๊ว”
เนี้ยวอึ้งไป
“เตี่ย...”
“ไป กลับ กลับไปขึ้นเล่าเต๊งเดี๋ยวนี้”
เจ๊กตงลากตัวเนี้ยวออกไป ทวนทิ้งช้อนในมือ กินข้าวไม่ลง
+ + + + + + + + + + + +
ทวนเดินลุยลงไปล้างเนื้อล้างตัวในหนองน้ำจนสะอาด ก่อนเดินกลับขึ้นมา ชะงักเมื่อเห็นศรีไพรยืนอยู่ใต้ต้นไม้ พร้อมปิ่นโต
“เอ้า เห็นนายไม่ได้กินข้าวกลางวัน ฉันเลยเอาข้าวมาให้ ไม่ใช่ของเหลือเดนหรอก พี่ศรีแพรแบ่งเอาไว้ให้นาย”
“ขอบใจมากนะศรีไพร ผมไม่หิวแล้วละ”
“ถ้าไม่ได้ไปติดคุกมา ทำไมไม่ฟอกตัวเองให้สะอาดด้วยการพูดความจริง เวลาเกือบสิบปีนี่ จะไม่ให้ใคร แม้แต่หลวงตาท่านรู้เลยหรือว่าไปทำอะไรมา”
“พูดไปก็ไม่มีใครเชื่อ”
“เรื่องมันเหลือเชื่อนักหรือยังไง ถึงพูดให้คนเชื่อไม่ได้ นายน่ะ...พอล้างเนื้อล้างตัวเอาคราบดินออก รูปร่างก็พอดูได้ ไม่มีสัญญานบอกเหตุว่าเป็นพวกผู้ร้าย”
“เริ่มสงสารผมแล้วใช่มั้ย ยอมรับหรือยังว่าผมมีคุณสมบัติพอที่จะเป็นพี่เขยคุณได้”
“ยัง...ยังต้องพิสูจน์กันอีกเยอะ นี่เพิ่งจะไถ ต่อไปก็หว่าน แล้วก็เก็บเกี่ยว พอเกี่ยวเสร็จก็นวด สี แล้วก็ขนข้าวเปลือกขึ้นยุ้ง ยัง...ยังอีกยาว...กว่าจะพิสูจน์ว่าคุณน่ะ...เหมาะสมกับพี่สาวของฉันมากกว่า...ใคร”
ศรีไพรพูดกวนๆ ทวนถอนใจเซ็งๆ
+ + + + + + + + + + +
จ่าสินขับรถกระบะเข้ามาจอดอย่างรีบร้อน หน้าตาของจ่าสินเคร่งเครียดมากๆ ชิงชัยมองอย่างสงสัย
“มีข่าวอะไรหรือ จ่า”
“ไอ้ทวนกับไอ้เมิน คนที่คุณให้ผมไปสืบความนั่นแหละ”
บุญช่วยสนใจขึ้นมาทันที
“มีอะไรหรือจ่าสิน ไอ้สองคนนั่นมันหายไปจากบ้านนาตั้งนาน จู่ๆ มันก็กลับมาเข้าพวกกับศัตรูของเรา”
“ผมได้ข้อมูลมาว่าไอ้สองคนนั่น มันไปเป็นทหาร”
“เกณฑ์ทหารแค่สองปี แล้วหลังจากนั้นล่ะ มันไปไหน”
สไบพูดเซ็งๆ เพราะจ่าสินไม่ได้รู้อะไรเพิ่มขึ้นมาเลย
“เราจำเป็นต้องสงสัยคนแปลกหน้า จ่าก็รู้ว่าเราต้องระวังตัว ถึงไอ้ทวนกับไอ้เมินมันจะเป็นเด็กที่หลวงตาฉุนเลี้ยงด้วยข้าวก้นบาตร แต่ตอนนี้มันเป็นใคร...ทำไมมันกลับมาบ้านนาพร้อมๆ กัน”
ชิงชัยตั้งข้อสังเกตด้วยความสงสัยในตัวเมินกับทวนเป็นอย่างมาก
โปรดติดตามอ่านตอนต่อไป