xs
xsm
sm
md
lg

Yamato จากเรือประจัญบานใหญ่ที่สุดในโลกมาเป็นเรือรบอวกาศกู้โลก/ต่อพงษ์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เมื่อปีที่แล้วมีหนังญี่ปุ่นฟอร์มยักษ์ แต่เข้ามาเมืองไทยได้ชนิดเงียบเชียบเต็มที ก่อนที่จะลาโรงไปด้วยรายได้ที่พอเดาๆ กันได้อยู่ แต่กระนั้นหนังเรื่องที่ว่าก็มีอะไรหลายๆ อย่างที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย เพราะว่ากันว่าตัวละครเอกของเรื่อง เป็นหนึ่งใประวัติศาสตร์และความภูมิใจของประเทศญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้

เรื่องที่ว่าก็คือ เรือรบยามาโต้ (Space Battleship Yamato) ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำเงินระเบิดในญี่ปุ่นพระเอกของเรื่องคือ "ทาคูยะ คิมูระ" ซึ่งเป็นจอมดีเดือดประจำเรือรบอวกาศลำนี้ในภาระกิจช่วยให้โลกได้พ้นจากหายนะ พล็อตเรื่องนี้ก็เป็นพล็อตเดียวกับการ์ตูนที่เคยฮิตยุค 70 นั่นแหล่ะครับ บ้านเราเคยมาฉายเป็นการ์ตูนในชื่อ สตาร์ เบลเซอร์

ที่ต้องบอกว่ามันเป็นความภูมิใจของญี่ปุ่นทั้งชาติก็เพราะมันสร้างจากเรือรบยามาโต้ซึ่งได้รับการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่า ไม่เคยมีเรือประจัญบานขอประเทศใดๆ ที่ขนาดใหญ่และมีป้อมปืนที่ใหญ่มากขนาดนี้เลย ด้วยความใหญ่ของมันทำให้เรือรบยามาโต้มาสามารถที่จะยิงกระสุนใส่คู่ต่อสู้ได้ในระยะที่ไกลถึง 42 กิโลโมตร โดยที่คู่ต่อสู้ไม่มีโอกาสแก้ตัวเลย การพัฒนาการลดแรงเสียดทานที่หัวเรือมีต่อน้ำก็เป็นจุดหนึ่งที่ทำให้คู่ต่อสู้ต้องปวดหัว เพราะมันเคลื่อนที่ไปได้แบบว่องไวตรงข้ามกับขนาดของมันอย่างสิ้นเชิง การที่มันมีเทคโนโลยีหรือขนาดที่ใหญ่ที่สุดแบบนี้ทำให้เรือลำดังกล่าวถูกขนานนามว่า เป็นเรือที่ไม่มีวันจม ไม่มีวันที่จะถูกทำลายได้ แต่เอาเข้าจริงเรือลำที่ว่าออกรบเพียงสองครั้งก็ถูกทำลายเสียแล้วครับ!!

โปรเจคท์ยามาโต้นี้เกิดขึ้นหลังจากที่ญี่ปุ่นวางแผนจะยึดพื้นน้ำในฝั่งแปซิฟิคซึ่งพวกเขาเชื่อว่าใครกุมเส้นทางนี้ได้จะเป็นผู้ชนะในสงครามครั้งนี้ และนั่นคือที่มาของเรือรบที่จะต้องทรงอานุภาพที่สุด มีขนาดใหญ่ที่สุด คำสั่งดังกล่าวมีขึ้นในปี 1937 และเริ่มวางกระดูกงูสำหรับเรือรบยามาโต้ที่อู่ต่อเรือที่คูเระในเดือนพฤศจิกายน 1937 นั่นเอง สามปีถัดมายามาโต้ก็ถูกปล่อยมาลอยในน้ำได้สำเร็จท่ามกลางความภาคภูมิใจของกองทัพญี่ปุ่น

ในความเป็นจริงญี่ปุ่นเองก็เสียดายที่จะต้องเอาเรือยักษ์ลำนี้มาใช้ในการสงคราม เพราะขนาดและชื่อเสียงของมันคือเกียรติและศักดิ์ศรีของพวกเขา พูดง่ายๆ ถ้ายามาโต้เกิดพลาดท่าจมขึ้นมา ขวัญและกำลังใจของกองทัพและคนในชาติก็คงไม่เหลือ เพราะฉะนั้นพวกเขาก็เลยคิดว่าจะเอาเรือยักษ์ลำนี้ลอยน้ำไว้เป็นมิ่งขวัญเฉยๆ แต่เมื่อกองทัพอากาศญี่ปุ่นเข้าโจมตี เพิร์ล ฮาเบอร์ ของอเมริกาอย่างเหี้ยมโหดในปี 1941 ยามาโต้จึงต้องออกรบอย่างช่วยไม่ได้ เพราะต้องต้อนรับการมาเยือนด้วยความแค้นของกองทัพเรือสหรัฐทางฝั่งแปซิฟิค

แต่การรบของยามาโต้ที่เป็นการปะทะกับข้าศึกจริงๆ นั้นมีขึ้นเมื่อปี วันที่ 25 ตุลาคม 1944 โดยทำลายเรือบรรทุกเครื่องบินคุ้มกัน (TG 77.4) ที่บริเวณนอกเกาะ ซามาร์ และเป็นครั้งแรกที่เรือประจัญบานยามาโต้ได้ใช้ปืนใหญ่ ขนาด18.1 นิ้วของตัวเองทั้ง 9 กระบอก ยิงเรือพิฆาต โฮเอล (DD-533) ของ สหรัฐฯ จากระยะยิง 33 กิโลเมตรจนจมและทำความเสียหายแก่เรือพิฆาตจอนห์สตัน (DD-557) จนต้องถอนตัวออกจากการรบ ทำความเสียหายแก่เรือบรรทุกเครื่องบินคุ้มกัน แกมเบียร์ เบย์ (CVE-73) จนสุดท้ายเรือสอลำที่ว่านี้ก็ถูกเรือญี่ปุ่นถล่มจนจมอีกเช่นกัน

แต่กระนั้นในการรบจริงๆ จังๆ ครั้งที่ 2 ยามาโต้ก็เสร็จจนได้ เท่านั้น ผมเชื่อว่าหลายคนอดจะสงสัยไม่ได้ว่า อะไรคือสาเหตุหลักที่ทำให้ยามาโต้ต้องพินาศอย่างรวดเร็วขนาดนี้ คำตอบ ก็คือยุคสมัยที่เปลี่ยนไปและระยะเวลาที่เรือยามาโต้ออกมาทำการนั่นเองที่ทำให้เรือประจัญบานที่ใหญ่ที่สุดในโลกลำนี้กลายเป็นเศษเหล็กลอยน้ำในสายตาของอเมริกา

ประการแรกยามาโต้ออกมาสำแดงแสนยานุภาพในช่วงปลายของสงครามแล้ว ต้องยอมรับกันว่าขนาดและพิสัยการยิงของยามาโต้สร้างความเกรงขามให้แก่คู่ต่อสู้ก็จริงอยู่ แต่ขนาดใหญ่ก็ถือว่าเป็นเป้าใหญ่เช่นเดียวกัน ถ้ายามาโต้ไปไหนมาไหนลำเดียวโดดๆ ก็เสร็จ ก็ลองคิดดูนะครับว่า ระยะการยิงของยามาโต้นั้นต้องใช้เครื่องมืออย่างเครื่องบินซีโร่มาช่วยบอกพิกัด เนื่องจากจุดตกของกระสุนมันไกลเกิน เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีเครื่องบินคอยคุ้มกัน หรือมีเรือเร็วคอยขนาบข้างยามาโต้ก็จะกลายเป็นเป้าในการโจมตีได้ง่ายถึงง่ายดายที่สุด

แต่ในช่วงเวลาที่ยามาโต้ออกรบจริงๆ นั้น ญี่ปุ่นเอาเครื่องบินไปทำการคามิกาเซ่หรือใช้เครื่องบินเป็นระเบิดมนุษย์เข้าถล่มฝ่ายตรงข้ามเสียเยอะ แถมในยุทธภูมิมิดเวย์สงครามก่อนหน้านั้นที่ญี่ปุ่นโดนสหรัฐลวงไปถล่มจนทั้งเรือรบ ทั้งเครืองบินเสียหายกันไปหนักหนาที่สุดนั้นจนทำให้แผนการณ์บริหารยามาโต้ที่เคยวางไว้ต้องเปลี่ยนไปจนหมดสิ้น เพราะเครื่องบินญี่ปุ่นและเรือรบของญี่ปุ่นที่พอจะอยู่ในแผนการคุ้มกันยามาโต้ก็แทบจะไม่เหลือแล้ว การออกเรือเพื่อทำภาระกิจในสงครามจึงถือได้ว่าเป็นการแล่นเรือไปหาความตายชัดๆ ผู้บัญชาการรบของยามาโต้ไปจนกระทั่งผู้บัญชาการระดับสูงในกองทัพอื่นๆ ในขณะนั้นก็รู้ดี

ประการที่สอง ช่วงที่เวลาที่ยามาโต้เริ่มวางแผนและสร้างขึ้นนั้นเป็นช่วงที่การรบด้วยการดวลปืนกันในเรือต่อเรือนั้นกำลังมันเลย แต่เมือเวลาที่เรือลำนี้พร้อมจะเดินทาง ปรากฏว่าแนวการทำสงครามมันเปลี่ยนไปเสียแล้วเพราะตัวชี้ขาดของสงครามนั้นกลับมาอยู่ที่ฝูงบินและเครื่องบินทิ้งระเบิดมากกว่า รวมไปถึงการทำการบ้านบนกระดาษให้มากกว่าการดวลในสนามรบ สหรัฐพิสูจน์สมมุติฐานนี้ด้วยการนำเครื่องบินของพวกเขาไล่ถล่มเรือรบญี่ปุ่นกระจุยกระจายในยุทธภูมิมิดเวย์ เพราะแอบถอดรหัสแผนการรบของญี่ปุ่นได้ล่วงหน้า เพราะฉะนั้นการที่กองทัพของพระจักรพรรดิยังคิดจะนำเรือรบขนาดยักษ์ลำนี้ออกมาใช้งานในสงครามจึงเป็นแนวคิดที่ไม่ฉลาดสวนทางกับความเป็นไปของสงครามอย่างยิ่ง

ขณะที่ฝ่ายกองทัพญี่ปุ่นนั้นมองอีกอย่างว่า ในภาวะที่ขวัญและกำลังใจของกองทัพญี่ปุ่นกำลังแย่ พวกเขาจะต้องมีอะไรก็ได้ที่จะเรียกความฮึกเหิมของกองทัพกลับมา และพวกเขาก็เชื่อว่าชื่อเสียงของยามาโต้ในฐานะเรือประจัญบานที่ใหญ่ที่สุดในโลกและเป็นเรือที่ไม่มีวันจมจะเรียกความมั่นใจของทหารกลับมาได้อีกครั้ง

ประการสุดท้ายก็คือเรื่องของน้ำมันครับ เพราะน้ำมันเชื้อเพลงที่ใช้ในการสงครามของญี่ปุ่นในช่วเวลานี้เกิดภาวะขาดแคลนไปทั่ว การใช้ทั้งเรือรบและการใช้เครื่องบินจึงต้องใช้ยามจำเป็นจริงๆ จะไปแล่นเพื่อสร้างขวัญและกำลังใจเหมือนเดิมไม่ได้อีกแล้ว ช่วงหลังๆ ยามาโต้ได้แต่ลอยเรืออยู่เฉยๆ ไม่ได้ออกรบอะไรกับเขา เพราะเปลืองน้ำมัน บางภาระกิจออกไปทำการก็เป็นแค่หน้าที่ของการขนส่งเท่านั้น

แต่ในวันที่ 1 เมษายน 1945 ไฟท์บังคับก็เกิดขึ้น การออกรบเพื่อสำแดงแสนยานุภาพครั้งที่สองเกิดขึ้นเมื่อกองเรือรบของสหรัฐมุ่งหน้าเข้ามาที่โอกินาว่า ยามาโต้ได้รับคำสั่งให้เดินเครื่องเพื่อออกไปสู้รบกับกองเรือรบจำนวนมากเพื่อไม่ให้โอกินาว่าโดนยึด แผนก็คือ พวกเขาจะพุ่งเข้าหาชายหาดแล้วปักหลักมันตรงนั้น โดยเอาป้อมปืนบนเรือทำเป็นป้อมยักษ์ยิงใส่ฝ่ายตรงข้ามไปจนกระทั่งตัวตาย แผนนี้เสมือนเอาก้อนเนื้อโอชะที่ใหญ่ที่สุดในโลกจึงวิ่งเข้าหาเหล่าหมาป่าที่รอเวลาขย้ำอยู่อย่างน่าเวทนา ที่ต้องย้ำว่าน่าเวทนา เพราะแผนการรบและที่ตั้งของเรือที่เตรียมจะไปนั้น ถูกสหรัฐดักและถอดรหัสแผนนั้นได้ กองทัพสัมพันธมิตรรู้ว่า ยามาโต้จะไปทางไหนจะปักฐานตรงไหน ความจริงแล้วพวกเขาเตรียมเรือดำน้ำและตอร์ปิโดไว้ถึงสองลำเพื่อจัดการกับยามาโต้ก่อนที่จะเดินทางมาถึงโอกินาว่า แต่สุดท้ายเพราะความเร็วและการแล่นเรือแบบสลับฟันปลาทำให้เรือดำน้ำที่เตรียมไว้จัดการทำอะไรไม่ได้

ตอนแรกเลยสหรัฐเตรียมเรือรบไว้ 7 ลำเพื่อรับมือโดยกะว่าจะล้อมแล้วยิงให้แหลก แต่เมื่อเครื่องบินสอดแนมเห็นยามาโต้มาลำเดียวโดดๆ สหรัฐเปลี่ยนแผนแทนที่จะรบแบบกินโต๊ะอย่างที่คิดไว้ทีแรก พวกเขาใช้ตอร์ปิโดและเครื่องบินทิ้งระเบิดอีกนับไม่ถ้วนเข้าจัดการป้อมลอยน้ำดีกว่า

7 เมษายน 1945 พวกเขามาถึงที่หมายเมื่อเวลา 8.23 และเรดาร์ของยามาโต้จับการมาเยือนของกองเรือและฝูงบินฝ่ายตรงข้ามได้เมื่อเวลา 10.00 น.แต่กว่าจะเริ่มการโจมตีกันจริงๆก็คือ 12.38 น. ไปสิ้นสุดเอาเวลา 14.23 น. ซึ่งเป็นเวลาอย่างเป็นทางการที่ยามาโต้ระเบิดและจมลงอย่างเป็นทางการ สหรัฐใช้เครื่องบินทิ้งระเบิดทุกขนาดทั้งสิ้น 280 ลำ เรือที่ล้อมไว้อีก 6 ลำ ผลสำรวจพบว่ายามาโต้โดนตอร์ปิโดทั้งหมด 13 ลูก ลูกระเบิดขนาดใหญ่ซึ่งมีขนาด 250กก. - 500กก. ทั้งหมด 6 ลูก ลูกระเบิดขนาดกลางอีกมากกว่า 100 ลูก และลูกระเบิดขนาดเล็กอีกมากกว่า 120 ลูก ทำให้ทหารประจำเรือ 3,056 นาย เสียชีวิตและสูญหาย

ปิดฉากเรือประจัญบานที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่มาผิดที่และผิดเวลาไปอย่างง่ายดาย


กำลังโหลดความคิดเห็น