เมื่อช่วงหลายเดือนก่อนมีดีวีดีหนังจีนเก่าเก็บเรื่องหนึ่งปรากฏขึ้นมาบนแผง ด้วยภาพปก, ชื่อเรื่อง หรือชื่อดาราอาจจะไม่ได้มีอะไรโดดเด่นให้สะดุดหูได้เลย แต่ความจริงแล้วหนังเรื่องที่ว่านี่เข้าขั้น “กังฟูคลาสสิก” กันเลยทีเดียว เลยขอถือโอกาสหยิบหนังเรื่องนี้มาแนะนำให้รู้จักกันครับ
ในยุค 70s – 80s นั้นแนวทางหนึ่งที่หนังกังฟูฟอร์มเล็กทุนต่ำ ไม่ว่าจะจากไต้หวัน หรือฮ่องกงนิยมสร้างกัน ก็คืองานประเภทที่เรียกว่าหนัง ‘vs’ อันเป็นวิธีการทำหนังปั้นเรื่องกันแบบง่าย ๆ ด้วยการจับเอาตัวละคร 2 แบบ แบบมาต่อสู้กัน ไม่ว่าจะเป็น “นินจา”, “เส้าหลิน”, “ลามะ”, “ไทเก๊ก”, “ซามูไร” สุดแล้วแต่ที่ผู้สร้างจะเลือกจับคู่ ซึ่งหนังในแนวทางนี้ที่ได้รับการยกย่องว่า “ที่สุด” เรื่องหนึ่งก็คือ Shaolin vs. Lama หรือ “ลามะถล่มเจ้าอรหันต์” นั่นเอง
โดยทั่วไปแล้วผู้กำกับ “หลีเส้าหนาน” และพระเอกกังฟู “อเล็กซานเดอร์ หลอ” ไม่ใช่ดาวเด่นระดับเกรดเอของวงการอะไรมากมายนัก อย่างน้อยทั้งสองก็ยังมีผลงานเรื่อง ลามะถล่มเจ้าอรหันต์ ที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็น “เพชรยอดมงกุฎ” ของวงการหนังกังฟูไต้หวันเลยก็ว่าได้
อเล็กซานเดอร์ หลอ รวมบทเป็น “ซ่งอี้ติง” ไอ้หนุ่มบ้ากังฟู ที่ออกเดินทางท้าประลองกับจอมยุทธทั่วแผ่นดิน เพื่อเสาะหายอดฝีมือกราบเป็นอาจารย์ จนวันหนึ่งได้โอกาสขึ้นวัดเส้าหลินด้วยความช่วยเหลือจากเณรน้อย แต่ก็กลับถูกจับได้จนโดนตะเพิดออกมานับครั้งไม่ถ้วน ถึงแบบนั้น อี้ติง ก็ยังไม่ละความพยายามเขายังคงวนเวียนอยู่บริเวณวัด หวังจะสมัครตัวเข้าเป็นศิษย์ แม้แต่หาโอกาสขโมยวิชาจากหลวงจีนขี้เมารูปหนึ่งก็ทำมาแล้ว
แต่แล้วด้วยการสอดมือเข้าไปช่วยเหลือหญิงสาวชาวบ้านจาก “แก๊งอินทรีเหิน” กลุ่มอันธพาลจอมยุทธ ที่มีลามะจักรทองผู้ชั่วร้ายเป็นหัวหน้า จนกลายเป็นโอกาสที่ อี้ติง ได้พิสูจน์ตัวเองถึงความอุสาหะ, อดทด และคุณธรรม ที่ถือเป็นคุณสมบัติอันเหมาะสม สำหรับการเป็นศิษย์เสาหลิน เขาจึงได้รับอนุญาตให้ปลงผมบวช พร้อมกับได้ล่วงรู้ถึงความลับของ ลามะจักรทอง ที่ครั้งหนึ่งเคยปลอมตัวเป็นหลวงจีนเข้ามาขโมยวิชา “อี้จิง” ของเส้าหลิน และตอนนี้ก็กลับมาก่อกวนวัดอีกครั้ง พร้อมกับสำเร็จเคล็ดวิชาของพวกลามะกลายเป็นยอดฝีมือคนหนึ่งไปแล้ว ซึ่งวิธีเดียวที่ อี้ติง จะกำราบบุคคลที่ชั่วร้ายผู้นี้ได้ก็คือ การต้องสำเร็จวิชาดัชนีพระพุทธเท่านั้น
คงบอกกันได้อย่างชัดเจนเลยว่าเพราะ “คิวบู๊” ประการเดียวเลยที่ทำให้หนังกังฟูทุนต่ำจากไต้หวัน ที่สร้างเมื่อปี 1983 เรื่องนี้กลายเป็นงานระดับคลาสสิก แม้ร่องรอยของความทุนน้อย รสนิยมแย่จะปรากฏอยู่เด่นชัด ว่ากันตั้งแต่ฉากที่ดูแห้งแล้ง, เครื่องแต่งกายฉูดฉาดเกินความจำเป็น และการใส่มุขตลกเข้ามาแบบผิดที่ผิดทางเข้ามาตลอดทั้งเรื่อง แต่สุดท้าย ลามะถล่มเจ้าอรหันต์ ก็เอาตัวรอดด้วยคิวบู๊ที่สุดยอดถึงกึ๋น!!!
หนังนำเสนอฉากพะบู๊กันแบบมาราธอน เรียกกว่าสละเวลาให้กับฉากต่อยตีไปร่วม 1 ใน 3ของตัวหนังทั้งหมด ส่วนใหญ่เป็นลีลาการต่อสู้แบบ “มวยใต้” สไตล์เส้าหลิน เป็นคิวบู๊ที่เน้นการต่อยตีด้วยหมัดเท้าจากกระบวนวิชาต่าง ๆ ในการปะทะกันเสียเป็นส่วนใหญ่ มีฉากต่อสู้ด้วยอาวุธแทรกเป็นสีสันเข้ามาเล็กน้อย ผสมกับงานคิวบู๊แนวสลิงค์ และหกคะเมนตีลังกา ที่ทำออกมาได้ลงตัวไม่โอเวอร์จนกลายเป็นกายกรรมหน้าจอไปแบบหนังบางเรื่อง
ในยุค 70s – 80s นั้นแนวทางหนึ่งที่หนังกังฟูฟอร์มเล็กทุนต่ำ ไม่ว่าจะจากไต้หวัน หรือฮ่องกงนิยมสร้างกัน ก็คืองานประเภทที่เรียกว่าหนัง ‘vs’ อันเป็นวิธีการทำหนังปั้นเรื่องกันแบบง่าย ๆ ด้วยการจับเอาตัวละคร 2 แบบ แบบมาต่อสู้กัน ไม่ว่าจะเป็น “นินจา”, “เส้าหลิน”, “ลามะ”, “ไทเก๊ก”, “ซามูไร” สุดแล้วแต่ที่ผู้สร้างจะเลือกจับคู่ ซึ่งหนังในแนวทางนี้ที่ได้รับการยกย่องว่า “ที่สุด” เรื่องหนึ่งก็คือ Shaolin vs. Lama หรือ “ลามะถล่มเจ้าอรหันต์” นั่นเอง
โดยทั่วไปแล้วผู้กำกับ “หลีเส้าหนาน” และพระเอกกังฟู “อเล็กซานเดอร์ หลอ” ไม่ใช่ดาวเด่นระดับเกรดเอของวงการอะไรมากมายนัก อย่างน้อยทั้งสองก็ยังมีผลงานเรื่อง ลามะถล่มเจ้าอรหันต์ ที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็น “เพชรยอดมงกุฎ” ของวงการหนังกังฟูไต้หวันเลยก็ว่าได้
อเล็กซานเดอร์ หลอ รวมบทเป็น “ซ่งอี้ติง” ไอ้หนุ่มบ้ากังฟู ที่ออกเดินทางท้าประลองกับจอมยุทธทั่วแผ่นดิน เพื่อเสาะหายอดฝีมือกราบเป็นอาจารย์ จนวันหนึ่งได้โอกาสขึ้นวัดเส้าหลินด้วยความช่วยเหลือจากเณรน้อย แต่ก็กลับถูกจับได้จนโดนตะเพิดออกมานับครั้งไม่ถ้วน ถึงแบบนั้น อี้ติง ก็ยังไม่ละความพยายามเขายังคงวนเวียนอยู่บริเวณวัด หวังจะสมัครตัวเข้าเป็นศิษย์ แม้แต่หาโอกาสขโมยวิชาจากหลวงจีนขี้เมารูปหนึ่งก็ทำมาแล้ว
แต่แล้วด้วยการสอดมือเข้าไปช่วยเหลือหญิงสาวชาวบ้านจาก “แก๊งอินทรีเหิน” กลุ่มอันธพาลจอมยุทธ ที่มีลามะจักรทองผู้ชั่วร้ายเป็นหัวหน้า จนกลายเป็นโอกาสที่ อี้ติง ได้พิสูจน์ตัวเองถึงความอุสาหะ, อดทด และคุณธรรม ที่ถือเป็นคุณสมบัติอันเหมาะสม สำหรับการเป็นศิษย์เสาหลิน เขาจึงได้รับอนุญาตให้ปลงผมบวช พร้อมกับได้ล่วงรู้ถึงความลับของ ลามะจักรทอง ที่ครั้งหนึ่งเคยปลอมตัวเป็นหลวงจีนเข้ามาขโมยวิชา “อี้จิง” ของเส้าหลิน และตอนนี้ก็กลับมาก่อกวนวัดอีกครั้ง พร้อมกับสำเร็จเคล็ดวิชาของพวกลามะกลายเป็นยอดฝีมือคนหนึ่งไปแล้ว ซึ่งวิธีเดียวที่ อี้ติง จะกำราบบุคคลที่ชั่วร้ายผู้นี้ได้ก็คือ การต้องสำเร็จวิชาดัชนีพระพุทธเท่านั้น
คงบอกกันได้อย่างชัดเจนเลยว่าเพราะ “คิวบู๊” ประการเดียวเลยที่ทำให้หนังกังฟูทุนต่ำจากไต้หวัน ที่สร้างเมื่อปี 1983 เรื่องนี้กลายเป็นงานระดับคลาสสิก แม้ร่องรอยของความทุนน้อย รสนิยมแย่จะปรากฏอยู่เด่นชัด ว่ากันตั้งแต่ฉากที่ดูแห้งแล้ง, เครื่องแต่งกายฉูดฉาดเกินความจำเป็น และการใส่มุขตลกเข้ามาแบบผิดที่ผิดทางเข้ามาตลอดทั้งเรื่อง แต่สุดท้าย ลามะถล่มเจ้าอรหันต์ ก็เอาตัวรอดด้วยคิวบู๊ที่สุดยอดถึงกึ๋น!!!
หนังนำเสนอฉากพะบู๊กันแบบมาราธอน เรียกกว่าสละเวลาให้กับฉากต่อยตีไปร่วม 1 ใน 3ของตัวหนังทั้งหมด ส่วนใหญ่เป็นลีลาการต่อสู้แบบ “มวยใต้” สไตล์เส้าหลิน เป็นคิวบู๊ที่เน้นการต่อยตีด้วยหมัดเท้าจากกระบวนวิชาต่าง ๆ ในการปะทะกันเสียเป็นส่วนใหญ่ มีฉากต่อสู้ด้วยอาวุธแทรกเป็นสีสันเข้ามาเล็กน้อย ผสมกับงานคิวบู๊แนวสลิงค์ และหกคะเมนตีลังกา ที่ทำออกมาได้ลงตัวไม่โอเวอร์จนกลายเป็นกายกรรมหน้าจอไปแบบหนังบางเรื่อง