แม้บางครั้งบางคราโดยส่วนตัวจะรู้สึก "แปลกๆ" กับวิธีคิดในการนำเสนอ "เนื้อหา" บางส่วนของสถานีโทรทัศน์ช่อง Thai PBS แต่ทั้งนี้ก็ต้องยอมรับครับว่าโดยรวมส่วนใหญ่ของสถานีโทรทัศน์ช่องนี้เมื่อเทียบกับฟรีทีวีช่องอื่นแล้ว มีเนื้อหาที่มีคุณภาพ "น้ำดี" มากกว่า
คือเอาเป็นว่า ถ้าใครที่เป็นโรคเสพติดทีวีอย่างงอมแงม ชนิดที่ต้องดูเกินวันละกว่า 7 ชั่วโมงซึ่งตามการวิจัยระบุว่าคนๆ นั้นมีโอกาสเข้าสู่ภาวะสมองเสื่อมถึง 50% แล้ว ผมก็ขอแนะนำให้มาเสพติดทีวีช่องนี้จะเป็นการดีที่สุด
เพราะอย่างน้อยๆ หากสมองจะต้องเสื่อมจริงๆ แต่ก็ถือได้ว่าเป็นการเสื่อมที่มีสาระ-คุณภาพครับ 555
สำหรับใครที่เป็นแฟนของช่อง Thai PBS ช่วงที่ผ่านมาจนถึงช่วงนี้ก็คงจะคุ้นกันเป็นอย่างดีกับโฆษณาประชาสัมพันธ์ถึงโครงการภาพยนตร์ วีรชนคนถูกลืม ตอน "ขุนรองปลัดชู" ที่ทางสถานีมีกำหนดจะนำมาออกอากาศให้ได้ชมกันทุกๆ วันจันทร์ในเวลา 23.00 น. เป็นจำนวน 10 ตอนเริ่มตั้งแต่วันจันทร์ที่ 11 ก.ค.
ซึ่งก่อนที่จะถูกตัดเป็นตอนๆ เพื่อออกอากาศทางทีวี ภาพยนตร์เรื่องนี้จะเข้าฉายให้ได้ชมกันในโรงภาพยนตร์สกาล่าทั้งหมด 5 รอบด้วยกัน ในวันพฤหัสที่ 7 ไปจนถึงวันจันทร์ที่ 11 ก.ค. (ดูรายละเอียดรอบที่ฉายและการจองตั๋วได้ในเว็บไซต์ www.thaiunsunghero.com) ขณะที่กิจกรรมอื่นๆ บางส่วนนั้นได้เริ่มมาบ้างแล้ว อาทิ นิทรรศการศิลปะภาพถ่ายและจัดวาง (Photo and Installation) “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” ณ ศูนย์ศิลปะฮอฟอาร์ท ชั้น 4 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ที่มีมาตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. และจะมีไปจนถึงวันที่ 31 ก.ค. ตั้งแต่เวลา 10.00 – 20.00 น. (ปิดวันจันทร์)
ใครสนใจไปดูกันได้
เรื่องราวของ "ขุนรองปลัดชู" นั้นเชื่อว่าคนโดยส่วนใหญ่ที่ไม่ใช่คนจังหวัดอ่างทอง คนประจวบฯ หรือชอบประวัติศาสตร์ อาจจะไม่ค่อยคุ้นหูนัก และนั่นเองที่ทำให้ผู้ที่หยิบเอาเรื่องราวของท่านมานำเสนอให้คนไทยได้รับรู้ใช้คำโฆษณาเสียน่าสนใจว่า "ขุนรองปลัดชู วีรบุรุษสองบรรทัด"
ตามบันทึก (จากหลายๆ แหล่ง) ระบุว่า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในปี พ.ศ.2302 สมัยพระเจ้าเอกทัศขึ้นครองราชย์ ตอนนั้นพม่าโดยพระเจ้าอลองพญาได้รับสั่งให้ "มังระ" ราชบุตรตรี กับ "มังฆ้องนรธา" คุมทหารกว่า 8,000 คนนำทัพบุกเข้ามาลองเชิงกับไทยเพราะเห็นว่าเป็นช่วงผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน มีเรื่องวุ่นๆ ของผู้ที่จะครองราชย์ระหว่างพระเจ้าเอกทัศพระเชษฐา กับพระอนุชาพระเจ้าอุทุมพร รวมถึงการว่างเว้นจากการทำสงครามมานาน โดยอ้างเหตุว่าไทยให้การสนับสนุนกลุ่มกบฏมอญที่หนีมากับเรือฝรั่งซึ่งโดนพายุซัดเข้ามาจอดซ่อมอยู่ที่เมืองมะริด
ฝ่ายอยุธยาทราบข่าวจึงให้พระยายมราชเป็นแม่ทัพคุมพล 3,000 เป็นทัพหน้า ให้พระยารัตนาธิเบศร์คุมทหาร 2 พันเป็นทัพหนุน โดยมี "ขุนรองปลัดชู" ผู้ชำนาญการรบซึ่งตอนนั้นรับตำแหน่งกรมการเมืองวิเศษชัยชาญอาสาสมัครพรรคพวกไพร่พล 400 คนเป็นกอง "อาทมาต" ร่วมทัพไปด้วย
ครั้นพระเจ้าอลองพญาซึ่งมาดูผลงานของลูกชายเกิดความ "ได้ใจ" ที่สามารถยึดเมืองมะริด กับ ตะนาวศรีได้อย่างง่ายดายเตรียมที่จะนำทัพบุกเข้าไปยังกรุงศรีอยุธยา ซึ่งพอทัพของพระยารัตนาธิเบศร์ยกผ่านด่านสิงขร ประจวบฯ ก็ทราบข่าวว่าทัพของพระยายมราชนั้นพ่ายแพ้ พระยารัตนาธิเบศร์เห็นดังนั้นจึงสั่งกองทัพล่าถอยเพื่อไปตั้งหลักยังกรุงศรีอยุธยา ด้านรองขุนปลัดชูจึงอาสานำกองอาทมาตของตนไปตั้งสกัดทัพพม่าอยู่ที่อ่าวหว้าขาว (ปัจจุบันคือ ต.อ่าวน้อย อ. เมืองประจวบคีรีขันธ์) เพื่อเป็นการถ่วงเวลา
แม้จะมีจำนวนที่น้อยกว่ากันมากมายหลายเท่าตัว แต่ด้วยความกาจกล้าเก่งในการรบ กองอาทมาตจึงสามารถยันศัตรูได้ตั้งแต่เช้าจนถึงเที่ยง ก่อนจะถูกฆ่าตายจนหมดสิ้น
ว่ากันว่าวีกรรรมการต่อสู้ของขุนรองปลัดชูกับพรรคพวกได้ปรากฏอยู่ในบันทึกของพม่าด้วย โดยระบุว่า...การตีกรุงศรีอยุธยาครั้งนั้น ได้มีการต่อสู้กองทัพของกรุงศรีอยุธยา ที่ช่องเขาแคบๆ ริมทะเลอย่างประจัญบาน ดุเดือด ก่อนเข้าเมืองกุย เมืองเพชรบุรี เมืองราชบุรี โดยง่าย...โดยหลังเหตุการณ์ดังกล่าวชาววิเศษชัยชาญ ก็ได้ร่วมกันสร้างวัดขึ้นเพื่อรำลึกถึงวีรกรรมของขุนรองปลัดชู ชื่อว่า "วัดสี่ร้อย" รวมถึงในคำขวัญของ อบต.อ่าวน้อย ก็ได้จารึกชื่อของรองปลัดชูไว้เช่นกัน ว่า "โรงสีข้าวพระราชทาน ตำนานเขาตาม่องล่าย หลากหลายกสิกรรม พระนอนใหญ่เขาถ้ำ วีรกรรมขุนรองปลัดชู"
เป็นเรื่องราวคร่าวๆ หลักๆ เกี่ยวกับขุนรองปลัดชู ซึ่งในรายละเอียดนั้นมีความแตกต่างกันไปบ้าง เช่น เรื่องของกองหนุนจำนวน 500 ที่พระยารัตนาธิเบศร์ส่งมาช่วยกองอาทมาตนั้น ในบันทึกของ ทวีศักดิ์ ศรีทองกิติกูล ที่อยู่ในเว็บไซต์ของ อบต.อ่าวน้อย จ.ประจวบคีรีขันธ์ (http://www.aownoi.go.th/webpage/slogan.php?sg=5) ระบุว่าได้ร่วมรบและตายไปกับกองอาทมาตด้วย แต่ส่วนใหญ่ข้อมูลระบุว่ามาไม่ทัน และบางข้อมูลก็ระบุว่ามาทันแต่ไม่ช่วยเพราะเห็นว่าสู้ไปก็แพ้แน่
เช่นเดียวกับสาเหตุการสั่งถอยทัพของพระยารัตนาธิเบศร์ที่ว่ากันว่าเป็นเพราะความขลาดกลัวของท่านมากกว่าอย่างอื่น เนื่องจากตัวท่านรับหน้าที่เป็นกรมวังอยู่หาได้มีความชำนาญในการรบสักเท่าไหร่ (แสดงให้เห็นถึงความไร้ความสามารถของพระเจ้าเอกทัศ) ตลอดจนเรื่องราวเกี่ยวกับวิชาคาถาอาคม ความหนังเหนียว ความคงกระพันชาตรีของขุนรองปลัดชูกับพลพรรคกองอาทมาต ที่ฟันแทงไม่เข้า จนทหารพม่าก็ต้องใช้ช้างเหยียบ ไม้ทุบ กดให้จมน้ำ(ทะเล)ตายอย่างทรมาน ฯ
เปรียบวีรกรรมการเสียสละของขุนรองปลัดชูเทียบกับชาวบ้านบางระจันแล้วก็ต้องบอกว่ามีความคล้ายคลึงและสำคัญไม่แพ้กัน (ซ้ำยังเกี่ยวกับนักรบชาววิเศษไชยชาญเหมือนกันอีกต่างหาก) แต่สาเหตุที่ทำให้วีรกรรมชาวบางระจันถูกหยิบนำมาเผยแพร่ในหลากหลายรูปแบบทั้ง เพลง ภาพยนตร์ ฯ จนเป็นที่คุ้นหูมากกว่าแม้จะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในภายหลังก็ตาม เดาว่าคงจะเป็นเพราะการรบของชาวบ้านบางระจันนั้นลงเอยด้วยเหตุการณ์สำคัญ คือการเสียกรุงฯ ครั้งที่ 2 แต่ของขุนรองปลัดชูกับกองอาทมาตนั้น หลังพระเจ้าอลองพญาตีเข้าไปจนล้อมกรุงศรีอยุธยาไว้ได้ ก็ต้องกลับไปด้วยความพ่ายแพ้ แถมตนเองยังสิ้นพระชนม์ระหว่างยกทัพกลับอีกต่างหาก (ตามพงศาวดารไทยระบุว่าสิ้นพระชนม์เพราะปืนใหญ่(ฝ่ายตนเอง)แตกที่วัดหน้าพระเมรุ แต่ทางพงศาวดารพม่าระบุว่าสิ้นพระชนม์เพราะประชวร(โรคบิด))
ก่อนหน้านี้เรื่องของขุนปลัดชู เคยถูกทำเป็นการ์ตูนมาแล้ว ชื่อ "กองอาทมาท ประกาศศึก" โดยพงษ์พัฒน์ เพชรรัตน์ มีสำนักพิมพ์อาทมาทเป็นผู้พิมพ์ จัดพิมพ์ครั้งแรก กันยายน 2550 โดยจะออกไปในแนวแอ็กชั่น อ่านสนุก ชวนฮึกเหิม
ตามประสาคนที่ชอบหนังแนวแอ็กชั่น เท่ห์ๆ สู้เพื่อบ้าน เสียสละเพื่อเมือง ทันทีที่ทราบข่าวว่าจะมีภาพยนตร์เรื่องนี้ออกมา ผมเองก็อดจะตื่นเต้นไม่ได้ เพราะโดยเรื่องราวของขุนรองปลัดชูนั้นต้องบอกว่าใช่เลย
โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับกอง "อาทมาต" ซึ่งโดยส่วนตัวผมว่าถ้าใครหยิบเอาตำนานเรื่องราวของกองทหารกลุ่มนี้มาทำเป็นหนังมันคงจะสนุก เท่ห์ และมันอย่างแน่นอน
เพราะทหารหน่วยนี้เล่ากันว่าเป็นหน่วยทหารเคลื่อนที่เร็ว ไปมาไร้ร่องรอยคล้ายนินจา เป็นพวกมีคาถาวิชาอาคม ทั้งกำบังกาย อยู่ยงคงกระพัน ทำหน้าที่ตั้งแต่สืบหาข่าว ซุ่มโจมตี เข้าตีประจัญบาน มีความเก่งกว่าพวกทหารที่สวมเกราะ บ้างก็ว่าเป็นพวกทหารมอญ บ้างก็ว่าเป็นกองทหารที่ใช้ "วิชาดาบอาทมาฏ" อันเป็นวิชาการใช้ดาบสองมือที่สมเด็จพระนเรศวรฯ ทรงคิดค้นและถูกบรรจุอยู่ในตำราพิชัยสงคราม แต่มาถูกทำลายลงไปเสียตั้งแต่ก่อนที่กรุงศรีอยุธยาจะแตก โดยทหารกลุ่มนี้จะมีหน้าที่คอยรักษาเท้าช้างของพระมหากษัตริย์ หรือที่เรียกว่า “จตุองคบาท” ซึ่งบ้างก็ว่ามีจริง บ้างก็ว่าเป็นเรื่องแต่งขึ้น
วิชาดาบอาทมาฏนั้นถือได้ว่าเป็นวิชาที่มีความสมบูรณ์แบบมากๆ มีทั้งความรุนแรง รวดเร็ว รับคือรุก รุกคือรับ ไม่เปิดโอกาสให้ฝ่ายตรงข้าม และมุ่งเน้นในการทำลายข้อต่อ-เอ็น ของศัตรูเป็นสำคัญ ว่ากันว่าหากใครที่จบวิชาดาบอาทมาฏชั้นสูง คือวิชาตัดข้อเอ็น 27 ท่า และกระบวนท่าหนุมานเชิญธง 48 ท่านั้น จะสามารถสู้กับคนจำนวน 10 - 20 คนที่เข้ามารุมพร้อมๆ กันได้เลยทีเดียว
คิดแค่นี้ก็มันแล้วครับ
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของภาพยนตร์ วีรชนคนถูกลืม ตอน "ขุนรองปลัดชู" ที่กำกับโดย "สุรัสวดี เชื้อชาติ" นี้ เท่าที่ทราบหนังอาจจะไม่ได้เน้นฉากแอ็กชั่นอลังการ หรือการวางแผนยุทธวิธีการต่อสู้อะไรมากมายนัก แต่จะให้ความสำคัญไปที่เรื่องราวอื่นๆ อาทิ เรื่องของการเมือง-การปกครอง อำนาจรัฐ ความล้มเหลวของผู้ปกครอง ความเห็นแก่ตัวของคนไทยด้วยกันเองที่ทำให้ประเทศอ่อนแอ คนธรรมดาที่มักจะถูกลืม ถูกทอดทิ้ง ไม่ค่อยจะมีคนเห็นคุณค่า ฯ ซึ่งก็เป็นไปตามสไตล์ Thai PBS เขานั่นแหละครับที่ทำอะไรออกมาจะต้องมีสาระ มีนัย ที่จะต้องมาขบคิด ถกเถียงกัน (อันนี้ชมจริงๆ นะครับ ไม่ได้ประชด)
กระนั้นผมก็เชื่อว่าหนังเรื่องนี้คงจะไม่ออกมาเชิงดราม่า วิชาการจ๋า จนดูไม่สนุกเอาเสียเลย อย่างน้อยๆ การรับงานแสดงของพี่เช็ค "สุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ" ในบทขุนรองปลัดชูนั้นก็น่าติดตามแล้วครับว่าจะออกมาเป็นอย่างไร?
ต้องปรบมือดังๆ ให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องในการสร้างสรรค์งานชิ้นนี้ขึ้นมาครับ เพราะนอกจากจะทำให้หลายต่อหลายคน(รวมถึงผม)ไม่หลงลืม ตลอดจนได้รับรู้วีรกรรมของวีรชนท่านนี้แล้ว เรื่องราวที่ยิ่งใหญ่ของ "คนตัวเล็ก" เหมือนกับขุนรองปลัดชูที่ยังมีอีกมากมายหลายคนนั้น หากนำเสนอออกมาได้สนุก น่าสนใจ ชวนติดตาม ผมเชื่อว่ามันจะเป็นเสมือนจิ๊กซอว์ตัวน้อยๆ ที่ทำให้คนรุ่นใหม่สามารถปะติดปะต่อจนเข้าใจประวัติศาสตร์ภาพรวมของชาติไทยเราได้โดยไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าเบื่อ หรืองี่เง่าไร้สาระ
เมื่อนั้นแหละครับ ความรัก ความหวงแหน การมองเห็นคุณค่า ตลอดจนความรู้สึกที่อยากจะเสียสละประโยชน์ส่วนตัวเพื่อประโยชน์ส่วนรวม เพื่อสังคม เพื่อผืนแผ่นดินบ้านเกิดอันหาได้ยากยิ่งในปัจจุบันมันจะเกิดขึ้นมาเอง
หวังนะครับว่าคงจะมีเรื่องราวในลักษณะเช่นนี้ออกมาให้ได้รับทราบกันอีก...