เมื่อดาวตก 2 สาย พุ่งมาปะทะกัน ย่อมเกิดความเพริศแพร้วสว่างไสว สร้างความสั่นสะเทือนต่อห้วงจักรวาลเป็นธรรมดา
ฉันใดก็ฉันเพล...
เมื่อเทพแห่งเบสร็อกกับเทพแห่งกีตาร์ร็อกโคจรมาพบกัน ย่อมเกิดความสั่นสะเทือนต่อวงการเพลงร็อกเป็นธรรมดา เพราะมันได้ก่อกำเนิดวงดนตรีสุดยอดฝีมือ นาม “MR.BIG” ขึ้น นับเป็นหนึ่งในปรากฏการณ์สำคัญของวงการเพลงร็อกในยุค 90’s
“MR.BIG” เป็นวงประเภท Super Group มี สมาชิกประกอบด้วย
Billy Sheehan-มือเบสขั้นเทพ(ภาษาร็อกสมัยนั้นขนานนามเป็น“มือเบสพญายม”) ผู้เลี้ยงเบสกีตาร์ได้เชื่องยิ่งกว่าหมาพุดเดิ้ล ซึ่งเขาฝากฝีมือเบสไว้กับวง Talas และโด่งดังเปรี้ยงปร้างกับวง David Lee Roth ที่บิลลี่โชว์ลีลาการขยี้สายเบสร่วมกับเทพกีตาร์อย่าง สตีฟ วาย ชนิดคนฟังหัวใจแทบวาย ก่อนที่เขาจะได้รับเชิญให้ไปร่วมงานกับนักดนตรีชั้นเยี่ยมอีกมากมาย
Paul Gilbert-มือกีตาร์ฮีโร่ ที่ฝากผลงานไว้กับวง Racer X และงานเดี่ยวของเขา ผู้ซึ่งมีเทคนิคอันยอดเยี่ยมและมีความเร็วของลูกนิ้วจนนรกเรียกพี่
Pat Torpey-มือกลองครบเครื่อง ที่ตีหนักแน่นราวภูผา กระทืบกระเดื่องสะเทือนเลื่อนลั่นผ่านหูทะลุไปถึงหัวใจ อีกทั้งยังมีดีกรีเป็นคนมิกซ์ดนตรีระดับหัวแถวอีกด้วย
Eric Martin-นักร้องนำ ไอ้หนุ่มหน้าอ่อนน้ำเสียงยอดเยี่ยมเจือกลิ่นโซล ที่มีสรรพสำเนียงกร้าวแกร่งแต่แฝงความเซ็กซี่อยู่ในที
พวกเขาทั้ง 4 มารวมตัวกัน เล่นดนตรีในแนว เฮฟวี่ เมทัล,ร็อก ที่ค่อนข้างต่างจากวงร็อกส่วนใหญ่ในยุคนั้น เพราะเป็นนอกจากจะมากไปด้วยฝีมืออันสุดยอดแล้ว ยังมีสรรพสำเนียงแห่งความเป็นป็อบและเสียงประสานเพราะๆ อวลตลบอยู่ในหลายบทเพลง
MR.BIG ออกอัลบั้มแรกในปี 1989 ใช้ชื่อชื่อเดียวกับวง MR.BIG ชุดนี้ไม่ค่อยประสบความสำเร็จในอเมริกา แต่ข้ามฟากไปดังที่ญี่ปุ่น แดนปลาดิบแทน
ปี 1991 พวกเขาออกอัลบั้มที่ สอง Lean into it ที่ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม จากเพลงสุดยอดฮอตฮิตอย่าง To be with you และ Just take my heart ร็อกบัลลาดหวานพลิ้ว ส่งผลให้ MR.BIG โด่งดังเพียงชั่วข้ามคืน
จากนั้นออกอัลบั้มที่ สาม Bumb Ahead ในปี 1993 มีเพลง Wild World(ของ Cat Steven) ที่มาคัฟเวอร์ใหม่ในแบบร็อก-อะคูสติก ซึ่งก็โด่งดังเป็นพลุแตกเช่นกัน
แล้วต่อด้วยอัลบั้ม Hey Man ก่อนที่ Paul Gilbert จะแยกทางจากวงไป ในปี 1997
อย่างไรก็ตาม MR.BIG ได้ Richie Kotzen มือกีตาร์ฮีโร่มาดเข้มเข้ามาแทนที่ ทำผลงานออกมาอีก 2 อัลบั้ม คือ Get over it ในปี 2000 และ Actual size ที่ออกเฉพาะในญี่ปุ่นขายได้หลายล้านก็อปปี้ ในปี 2001 ก่อนที่พวกเขาจะแยกย้ายไปตามทางของตัวเอง ทิ้งให้สาวก MR.BIG ผิดหวังไปตามๆกัน
MR.BIG เงียบหายไปเกือบ 10 ปี แต่จู่ๆ ปีนี้(2009) สมาชิกวงในยุคแรกที่มีพอลเล่นกีตาร์ ก็ประกาศกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง เพื่อฉลอง 20 ปี นับจากอัลบั้มแรก โดยออกเดินสายทัวร์ร่วมกัน และไม่ลืมที่จะกลับมาเล่นที่เมืองไทยอีกครั้ง ในค่ำวันที่ 16 ต.ค.ที่ผ่านมา ณ ธันเดอร์โดม เมืองทองธานี
งานนี้เท่าที่สังเกตจากแฟนเพลงหูเหล็กที่มาดูคอนเสิร์ต ค่อนข้างมีหลากวัยตั้งแต่รุ่นใหญ่(ผมยาว) 50 อัพ ลงมาถึงรุ่นเยา(ผมเกรียน)นักเรียน ม.ปลาย ร่วมด้วยนักดนตรีจำนวนมากที่ต้องการมาดู(และศึกษา)ฝีมือของนักดนตรีชั้นเทพที่หาดูไม่ได้ง่ายในวงดนตรีบ้านเรา เรียกว่าแฟนเพลง MR.BIG มีค่อนข้างหลากหลาย แต่ว่าบัตรกลับขายได้ประมาณ 70 % ของพื้นที่ฮอลล์(โดม)
และแล้วความมันที่ทุกคนรอคอยก็ระเบิดขึ้นในเวลาประมาณ 20.30 น. ด้วยบทเพลงแรก Daddy, Brother, Lover, Little Boy ที่ช่วงโซโลกลางเพลงทั้ง บิลลี่ และ พอล งัดเอาสว่านไฟฟ้า(หัวพิเศษ) มาโชว์ในมุกหากิน
เปล่า!?! พวกเขาไม่ได้จะเอามาเจาะกีตาร์หรือจะเอามาเจาะหัวสมาชิกในวง หากแต่เอามาใช้โซโลแทนปิ๊คที่เรียกเสียงซี๊ดปากแฟนเพลงได้เป็นอย่างดี
เพลงถัดไปแพทกระหน่ำกลองเปิดหัว นำส่งเข้าสู่เพลง Take Cover ที่ลดดีกรีของเพลงลงมาหน่อย อีริกร้องเพลงนี้ได้เยี่ยมไม่น้อย แล้วต่อด้วย Green-Tinted Sixties Mind ที่พอลโชว์อินโทรด้วยการไล่เสต็ปนิ้วอย่างเหนือชั้น
แล้วต่อด้วย Alive And Kickin ต่อด้วย Next Time Around ที่พอลและบิลลี่แจมกันพอหอมปากหอมคอ
ตามด้วย Hold Your Head Up ก่อนจะสลับอารมณ์ด้วยเสียงเกากีตาร์หวานๆส่งเข้าเพลง Just Take My Heart บัลลาดสุดซึ้ง เพลงนี้อีริคโชว์เสียงหวานๆแต่ทรงพลังให้แฟนเพลงร้องตามกันลั่นฮอล์ พร้อมเรียกเสียงกรี๊ดสลบจากสาวกหนุ่มผมยาวที่หน้าตาถ้าเล่นหนังคงไม่พ้นบทโจรหรือผู้ร้ายบางคนได้เป็นอย่างดี(ชนิดที่สาวๆชิดซ้ายไปเลย)
จากนั้นจังหวะกลับคึกคักกับ Temperamental และ It's For You ก่อนเป็นคิวโชว์โซโลเดี่ยวของ แพท กับการกระหน่ำกลองอย่างแน่นหนัก เหยียบกระเดื่องเบิ้ลรัวเป็นชุด สุดมันชนิดลืมแก่ ลืมตาย
ทั้งวงกลับเข้ามาอีกครั้งกับ Price You Gotta Pay ตามด้วย Wild World เพลงยอดฮิตกับ กับอะคูสติกเพราะๆ โชว์เสียงของอีริคมากกว่าภาคดนตรี แล้วเป็นเพลง Take A Walk
จากนั้นถึงคิวโซโลเดี่ยวของพอล ที่ช่วงแรกพี่แกตั้งต้นโซโลติดบลูส์นิดๆ ก่อนใส่ไม่ยั้ง เร็วบรื๋อ แต่ว่าลูกนิ้วแม่นเปรี๊ยะ ฟังชัดเจนทุกเม็ด แถมยังมีการกัดสายไล่นิ้วชนิดที่หลายคนไม่กลัวสายขาดแต่กลัวลิ้นของพี่พอลจะขาดมากกว่า
ช่วงพอลโชว์ยังไม่หมด เพราะหลังจากเล่นเร็วน้ำไหลไฟแลบ เขาต่อด้วยเทคนิคการเล่นดีเลย์ ก่อนหันมาใช้กีตาร์ 2 คอ ที่มีบิลลี่ออกมาแจมด้วยเบส 2 คอเช่นกัน ทำให้บนเวทีตอนนี้มี 6 คอ(รวมคอของคนเล่นอีก 2 คอ)
พอลเป็นคนเล่นนำ บิลลี่เล่นตามด้วยเสียงเบสปรับแตกนิด รับส่งกันอย่างลงตัว ถือเป็นช่วงการสับประยุทธ์ระหว่าง 2 เทพก็ว่าได้(แต่ไม่ใช่เทพเทือกและเทพไทนะ)
แล้วทั้งวงก็กลับมาอีกครั้งกับ The Whole World's Gonna Know และ Rock & Roll Over ทีนี้ถึงคิวของบิลลี่โซโลบ้าง โอ้วพระเจ้า เขาเล่นเหมือนไม่ใช่คน เล่นเบสยังกะเล่นกีตาร์ทั้งรัวนิ้ว ทั้งจิ้มสาย เล่นฮาร์โมนิค และไล่นิ้วมือซ้ายระรัวระเริงไฟชนิดที่ถ้าใครเอาน้ำมันราดเบสอาจไฟลุกพรึ่บได้
อารมณ์ช่วงนี้หยุดไม่อยู่ วง MR.BIG จึงต่อด้วย Addicted To That Rush ที่ทั้งบิลลี่และพอลจิ้มสายเล่นเปิดเพลงกันอย่างสุดมัน ก่อนที่ทั้งวงจะโบกมือลา ชนิดที่คนทั้งฮอลล์งงกันเป็นแถบ ว่าจู่ๆทำไมจบไปเสียดื้อๆอย่างนั้น
“เฮ้ย!!! To be with you ยังไม่ได้เล่นเลย” แฟนเพลงหลายคนตะโกน พร้อมกับร้องเรียกอังกอร์ สลับกับชื่อวง และชื่อเพลง To be with you อันสุดฮิต
สักพักเดียวแหละ ทั้ง 4 คน กลับมา โดยพอลถือกีตาร์อะคูสติกออกมา แฟนเพลงเริ่มเดาได้ กรี๊ดกันสนั่นฮอลล์ แล้วพอลก็ไม่ทำให้ผิดหวังด้วยการตบรูดสาย “ปิ้ววว... Hold on little girl...”
และ ณ บัดนาว ในธันเดอร์โดม แฟนเพลงพากันร้องคลอเพลง To be with you ดังกระหึ่ม ก่อนที่ทางวงจะจบลงด้วยเพลง Colorado Bulldog อันสุดมัน แต่ก็ดูเหมือนว่ายังไม่สาแก่ใจบรรดาหูเหล็กในฮอลล์ จึงมีการอังกอร์ต่ออีกช่วงเป็นครั้งที่ 2
คราวนี้ MR.BIG ออกมาแบบผิดฝาผิดตัวไปหมด พอลไปตีกลอง แพทมาเล่นเบส อีริคเล่นกีตาร์ แล้วเขา(อีริค)ก็ไม่รีรอ เล่นสุดยอดริฟฟ์อมตะมาในทันทีด้วย Smoke on the Water(ของ Deep Purple) โดยมีบิลลี่ออกมาร้องนำ แบบเซอร์ไพร์สแฟนเพลงไม่น้อย
จากนั้นช่วงโซโลท่อนกลาง มีการสลับตำแหน่งอีกครั้ง บิลลี่ไปโซโลกีตาร์ อีริคไปเล่นเบส แพทมาร้องนำ แล้วแถมด้วยอีก 1 เพลงปิดท้าย โดยแต่ละคนกลับมาประจำในตำแหน่งเดิม ก่อนร่ายมนต์ความมันส่งท้าย กำนัลแก่แฟนานุแฟน
ซึ่งสำหรับคอนเสิร์ตครั้งนี้ ระบบเสียงในธันเดอร์โดมดูจะเป็นปัญหาทั้งกับคนฟังและกับคนคุมเสียงอยู่พอสมควร เพราะเสียงมันก้องสะท้อนไป-มา แถมสภาพพื้นยังดูเหมาะแก่การเชียร์กีฬามากกว่าการดูคอนเสิร์ต
นั่นจึงทำให้คนฟังต้องอยู่ถูกจุดถูกตำแหน่งถึงจะฟังเสียงได้ค่อนข้างเคลียร์ ส่วนเสียงที่เกิดจากทางวงนั้น เสียงเบสของบิลลี่หลายๆช่วง จมและมัวฟังไม่ชัดเจน(จะมีที่ชัดแบบเป็นเม็ดโป้งๆก็ช่วงท่อนกลางของการโซโลเดี่ยว)นับว่าน่าเสียดาย(มาก) เพราะหลายคนตั้งใจมาฟังบิลลี่โชว์เบสโดยเฉพาะ
ส่วนเสียงกีตาร์ของพอลช่วงแรกๆ ของค่อนข้างแหลมโดดเสียงเครื่องดนตรีอื่นๆ ขึ้นมา ก่อนที่ซาวน์เอ็นจิเนียร์จะพยายามปรับให้เข้าที่เข้าทางอยู่เรื่อยๆ สำหรับเสียงกลองนั้น โอเค ผ่าน หนักแน่น จะแจ้งดี ด้านเสียงร้องของอีริค ช่วงแรกก็ฟังเด่นดี แต่ตอนหลังเสียงดนตรีดังขึ้นมาแข่ง เสียงร้องจึงถูกกลืนไปบ้างในบางเพลง
อย่างไรก็ตาม แม้เรื่องเสียงจะเป็นปัญหาไปบ้าง แต่ในด้านฝีมือการเล่นนั้น สมาชิกทั้ง 4 ของ MR.BIG ต่างแสดงให้เห็นว่าพวกเขายังเป็นนักดนตรีรุ่นใหญ่มากฝีมือที่ยังมีไฟโชนกรุ่นอยู่ ทว่าด้วยวัยที่มากขึ้น จึงทำให้ความสดความห้าวลดน้อยถอยลงบ้าง
งานนี้จึงไม่ได้เห็น บิลลี่เดินพล่านบนเวที ลงไปเกลือกกลิ้งทึ้งสายเบส หรือโชว์การเล่นหมุนเบสรอบตัวแบบทีเคยใช้อยู่ประจำ แต่สิ่งที่ได้เห็นคือการเล่นแบบเท่ๆ เก๋าๆ และการเอาใจแฟนเพลงไทยด้วยการยกมือไหว้และกล่าว“ขอบคุณครับ”ในหลายๆครั้ง เรียกเสียงเฮจากแฟนเพลงได้ลั่นฮอลล์
ส่วนพอลนั้นช่วงแรกๆ ดูนิ่งและทื่อไปนิดนึง ก่อนจะมาผ่อนคลายมากขึ้นและเล่นแบบดูเท่ๆในช่วงหลัง ในขณะที่แพทนั้นก็ตีกลองคุมจังหวะได้อย่างดี ส่วนอีริคก็เปล่งพลังเสียงร้องออกมาได้อย่างน้ำเสียงไม่ตก
นับได้ว่าคอนเสิร์ตครั้งนี้เป็นความมันตามมาตรฐาน(สูง)ของ MR.BIG ที่แม้ความมันไม่ล้นทะลัก เหมือนเมื่อครั้งกำลังหนุ่มๆห้าวเป้ง แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ยังไม่ลืมเมืองไทย กลับมาเล่นให้แฟนเพลงบ้านเราได้สะใจกันอีกครั้ง