ออกตัวกันตั้งแต่บรรทัดแรกนี้เลยว่า ไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตาจะมาคิดอคติกับใครทั้งนั้น แต่พักหลังๆ มานี้ มันมีหนังไทยบางเรื่องซึ่งผมเห็นว่า จงใจเล่นกับเรื่องเซ็กซ์จนดูจะ "ล้ำเส้น" และเกินขอบเขตที่ควรจะเป็น ซึ่งไม่ว่าจะเกิดจากความคึกคะนองของคนทำหนังเรื่องนั้นๆ เอง หรือเพราะคิดว่ามันจะสร้างความขบขันให้แก่คนดู แต่ในสายตาของผู้ชม ผมรู้สึกว่ามัน "มากเกินไป" จนหนักไปทาง "น่าเกลียด"
หมายเหตุไว้ตัวโตๆ ตั้งแต่ตอนนี้เลยว่า สิ่งที่ผมจะพูด ไม่ได้เกี่ยวกับหนังประเภทหนึ่งซึ่ง "ต้องมี" เลิฟซีนตามเนื้อหาของหนัง อย่าง "จัน ดารา" หรือหนังเรื่องไหนก็ตามซึ่งมีเนื้อหาที่ต้องพึ่งพาเรื่องเพศเป็นตัวขับเคลื่อนเรื่องราว แต่เมื่อสำรวจดูแล้ว ผมว่าหนังที่จะพูดถึงต่อไปนี้ ต่อให้ไม่มีเรื่องเพศเข้ามาเกี่ยวข้อง เนื้อหาของหนังก็ยังตอบโจทย์ตัวเองได้
และก่อนที่ใครจะกล่าวหาว่าผมยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดลอยๆ ผมอยากให้ลองถอยความทรงจำย้อนกลับไปดูหนังเรื่อง "อีส้มสมหวัง ภาค 2" อีกครั้งหนึ่ง เพราะในหนังเรื่องนั้น เราจะเห็นแง่มุมทางเพศปรากฏอยู่อย่างโจ่งแจ้ง โอเคล่ะ เราอาจจะแกล้งหลับหูหลับตาทำเป็นมองไม่เห็นฉากที่สมหวัง (เต้-ปิติศักดิ์) "ยกโต๊ะด้วยเครื่องเคราส่วนล่าง" ก็ได้ แต่เนื้อเรื่องในส่วนที่เกี่ยวกับ "น้าค่อม" (ค่อม ชวนชื่น) ที่เลอะเทอะด้วยเรื่องทางเพศก็จะยังเป็นหลักฐานที่ประจานต่อสายตาของเราอยู่ดี
แน่นอน ไม่ว่ามันจะเกิดมาจากเจตนารมณ์ใด แต่ฉากที่น้าค่อมเอาใบหน้าถูไถไปบนหน้าอกหน้าใจของตัวละครสาวเด็กนั่งดริ๊งค์ ก็เป็นอะไรที่ "เกินไป" คือยังไม่ต้องไปพูดถึงการไม่ให้เกียรติผู้หญิงหรอกครับ แต่พฤติกรรมแบบนั้นมันก็ดูน่าเกลียดอยู่แล้วด้วยตัวของมันเอง นั่นยังไม่นับรวมหลายครั้งหลายตอนที่น่าค่อม "เกิดอารมณ์พิศวาส" และชักชวนภรรยามีเซ็กซ์ครั้งแล้วครั้งเล่า จนทำให้เรารู้สึกว่า เออ...มันจะ "เซ็กซ์จัด" อะไรขนาดนั้นกันไม่ทราบ
จริงๆ ก็ยอมรับล่ะครับว่า มันไม่มีอะไรผิดแปลกเลยที่ผัวเมียจะมีอะไรกัน เพียงแต่หนังเอามาเล่าเอามาย้ำจนดู "จงใจให้เยอะเกินจำเป็น" ซึ่งพูดก็พูดเถอะ หนังเอาเวลาที่มาเล่นกับฉากเหล่านี้ ไปให้ฉากอื่นๆ ที่ "มีค่า" มากกว่านี้จะดีกว่าไหม และที่จริงก็คือ หนังอย่าง "อีส้มสมหวัง 2" นอกจากความตลกโปกฮา ผมว่ามันมีความพยายามของคนทำเยอะเหมือนกันที่จะสร้างหนังเรื่องนี้ให้ออกมาดูเป็นหนังฟีลล์กู๊ด (Feel Good) ที่ดูแล้วรู้สึกดีหรือซาบซึ้ง อย่างน้อยๆ ก็เรื่องของครอบครัวคู่รักที่ต้องฟันฝ่าต่อสู้อุปสรรคร่วมกันเพื่อคืนวันที่ดีกว่า แต่หนังดันมาพลาดท่าให้กับ "เรื่องอย่างว่า" เยอะจนดู "เลอะ" อย่างไม่น่าจะเป็น
ว่ากันตามจริง ผมเกือบจะลืมๆ ประเด็นนี้ไปแล้ว แต่พอได้ดูหนังไทยเรื่องล่าสุดอย่าง "ฝันโคตรโคตร" ความคิดนั้นก็วนกลับมาหาผมอีกครั้ง พร้อมกับคำถามว่า มันจำเป็นไหมที่หนังซึ่งโปรโมตและนำเสนอตัวเองว่าเป็นหนังรักซึ้งๆ จะต้องมีฉากเหล่านั้น?
ฉากเหล่านั้นคือฉากอะไรบ้าง?
อันดับแรกเลยที่ผมคิดว่ามัน "เกินขอบเขตความจำเป็น" ก็คือตอนที่ "ด่าง" (แสดงโดยผู้กำกับ พิง ลำพระเพลิง) ตื่นจากฝันเปียก ซึ่งในใจผม คิดว่าหนังคงจบฉากที่ว่านี้ แค่ตอนที่ "ด่าง" ขยุ้มที่นอนด้วยมือเท่านั้นก็พอแล้ว เพราะแค่นั้น คนดูก็พอรู้แล้วล่ะว่า ด่างฝันเปียก แต่หนังกลับไม่หยุดตัวเองแค่นั้น หากยังให้ด่างลุกขึ้นมามองเป้ากางเกงตัวเองพร้อมกับเอื้อมมือไปหยิบกระดาษชำระมาเพื่อจะเช็ด แต่ดีหน่อยที่หนังไม่ปล่อยให้เราเห็นตอนเช็ดคราบแบบเต็มๆ เพราะไม่อย่างงั้น ตาอาจจะบอดได้!!
กับฉากแบบนี้ บางที ผมว่ามันก็ต้องพึ่งศิลปะในการสื่อสารเหมือนกันนะครับ เพราะจริงๆ หนังไม่จำเป็นต้อง "บรรยายละเอียดยิบ" ขนาดนั้นก็ได้ และผมก็เชื่อว่าคนดูคงไม่ได้โง่ถึงขั้นจะไม่รู้ว่าตัวละครนั้นฝันเปียก เพราะก่อนหน้าที่ด่างจะตื่นมา คนดูก็ได้เห็นไปแล้วว่า ในความฝัน เขาได้มีเซ็กซ์กับหญิงสาวคนหนึ่ง และเมื่อตื่นขึ้นมาพร้อมกับมือที่ขยุ้มที่นอนจนแน่น เท่านี้คนดูก็รู้สิ่งที่หนังต้องการสื่อแล้ว ไม่เห็นต้องมีฉากให้ตัวละครลุกขึ้นมานั่งมอง "ของตัวเอง" อะไรเลย เพราะถึงไม่มีฉากแบบนี้ มันก็ไม่น่าจะทำให้หนัง "ขาด" อะไรไปแต่อย่างใด
เรื่องขาดหรือไม่ขาด ผมคิดถึงอีกหลายๆ ตอนในหนัง ไล่ตั้งแต่ด่างจูบปากแลกลิ้นกับหญิงสาวบนรถ หรือฉากที่ด่างดำน้ำลงไปดูก้นสาวๆ ในสระว่ายน้ำ ฉากเหล่านี้ ว่ากันตามจริง ไม่ใส่เข้ามา ผมก็ไม่เห็นว่ามันจะทำให้หนังด่างพร้อยเสียหายตรงไหน แต่กลับทำให้หนังที่ควรจะเป็น Feel Good แบบสะอาดๆ เรื่องหนึ่งมีเรื่องทางเพศเข้ามาปะปนโดยไม่จำเป็น
และก็เช่นเดียวกัน ถ้าแกล้งลืมๆ ไปก่อนว่า คุณพจน์ อานนท์ มีแนวคิดแบบไหนถึงใส่มุกตลกเกี่ยวกับ "อาบอบนวด" เข้ามาในเรื่อง "แต๋วเตะตีนระเบิด" เมื่อหันไปมองหนังเรื่องอีกเรื่องของหม่ำ จ๊กมก อย่าง "วงษ์คำเหลา" เราก็จะพบว่า นอกเหนือไปจากคำผวนหยาบๆ ยังมีมุกลามกแบบชัดเจนอีกต่างหาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มุก "ชัก...ว..." นั้น หนังดูจะสนุกสนานกับมันเสียเหลือเกิน จนต้องย้ำแล้วย้ำอีก
อันที่จริง การหยิบเรื่องทางเพศมานำเสนอในงานสร้างสรรค์นั้นเป็นสิ่งที่ทำได้อยู่แล้วครับ เพราะถ้าไม่หลับหูหลับตา เราจะพบว่า บ้านเมืองเรานั้น มีการพูดถึงแง่มุมทางเพศในงานศิลปะมาแล้วไม่รู้กี่ร้อยปี ทั้งในภาพเขียน เพลงพื้นบ้าน หรือแม้แต่วรรณคดีคลาสสิกๆ อย่าง "ขุนช้างขุนแผน" ไปจนถึง "พระอภัยมณี" (ที่มากมายด้วย "บทอัศจรรย์" ปรุงแต่งจินตนาการไหวหวาม) แต่ทำไม เราถึงไม่รู้สึกว่ามันน่าเกลียดอะไรเลย
...ไม่รู้สึกว่าน่าเกลียด เหมือนกับตอนที่อ่านนวนิยายวิจิตรกามาอันเย้ายวนเรื่อง "หอมดอกประดวน" ของนักเขียนสำนวนเพรียวนม ’รงค์ วงษ์สวรรค์ แล้วเราไม่รู้สึกว่ามันลามกหยาบโลน
และไม่รู้สึกว่าน่าเกลียด เหมือนกับตอนที่ดูหนังอย่าง Betty Blue ที่แม้จะมี "ฉากอย่างว่า" เยอะแยะไปหมด แต่ไม่ได้ทำให้เราประดักประเดิดใจในการรับชมแม้แต่น้อย...
เรื่องเพศในผลงานสร้างสรรค์นั้น ว่ากันตามจริง มันสามารถขยับตัวเองไปสู่การเป็นศิลปะได้ เท่าๆ กับที่มันสามารถจะถูกถีบให้ตกอยู่ในซอกหลืบของคำว่า "อนาจาร" ได้ สุดแต่ว่าคนที่หยิบมันมาใช้สอย จะมีศักยภาพมากน้อยแค่ไหนในการปรุงมันออกมาให้เป็น "ศิลป์" หรือ "เสื่อม"
ครับ, ที่พูดมาทั้งหมด ไม่ได้บอกคิดว่าจะมาตั้งตนเป็นคนดีจริยธรรมสูงส่งอะไร เพียงแต่หลายๆ ครั้ง บอกกันตามตรงว่า อดรู้สึกตะขิดตะขวงใจไม่ได้กับสิ่งที่หนังไทยนำเสนออย่าง "เกินจำเป็น" เหนือสิ่งอื่นใด ไม่ใช่ไม่เข้าใจว่า ความเป็นหนังนั้นสามารถจะหยิบเรื่องอะไรมาเล่าก็ได้ (ไล่ตั้งแต่เรื่องใต้สะดือ ไปจนถึงคติธรรมล้ำเลิศ) และผมก็ไม่ได้จะบอกว่า หนังไทยต้องสะอาดบริสุทธิ์อะไรขนาดนั้น เพียงแต่ถ้ามันดูเกินเลยความจำเป็นของเนื้อหาเรื่องราว ผมมองว่า ก็ไม่ควรจะใส่เข้ามา ก็เท่านั้นเอง
เรื่องแบบนี้ เชื่อเถอะครับว่า ไม่ใช่แค่ผมคนเดียวหรอกที่คิดไปเอง แต่คนอื่นๆ ก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน
ที่สำคัญ ที่ผ่านๆ มา หนังไทยเคยโดนวิจารณ์เละมาแล้วกับเรื่องการใช้คำหยาบ ก่อนคนทำหนังจะค่อยๆ ปรับนิสัยการพูดจาของตัวละครให้มีมารยาทขึ้นมาตามลำดับ และถึงตอนนี้ ผมก็ได้แต่หวังว่า หนังไทยคงไม่โดนด่ารอบสองเพราะเรื่องของการใส่แง่มุมทางเพศเข้ามาแบบไม่ดูตาม้าตาเรือว่า มันตอบสนองหรือเกี่ยวข้องสำคัญต่อเนื้อหาเรื่องราวที่กำลังบอกเล่าหรือไม่อย่างไร...