xs
xsm
sm
md
lg

ตลกสู้ชีวิต “หม่อมเหยิน” ในวันที่ขำไม่ออก ทำธุรกิจเจ๊ง ปัจจุบันขายไอติมมะพร้าว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“หม่อมเหยิน” ตลกสู้ชีวิต เผยบั้นปลายในวัยใกล้ฝั่ง ต้องดิ้นรน ปากกัดตีนถีบ ทำธุรกิจเจ๊งเป็นหนี้เพื่อนนับล้าน หนีตายบินไปทำงานแดนปลาดิบ แต่เกือบถูกจับ เพราะทำงานผิดกฎหมาย หลังชีวิตดีขึ้นกลับมาสู้ต่อที่เมืองไทย ไม่เข็ดลุยทำธุรกิจไอศกรีม จนใช้หนี้สินหมด อ้อนหากมีโอกาสอยากคืนวงการอีกครั้ง

เส้นทางชีวิตของคนในวงการบันเทิง มีขึ้นย่อมมีลงวนเวียนเป็นไปตามวัฏจักร บางคนเคยอยู่จุดสูงสุด ใช้ชีวิตแบบฟุ้งเฟ้อ หลงมัวเมาในชื่อเสียงเงินทอง จนลืมมองบั้นปลายชีวิตในวงการมายา ที่ไม่มีอะไรแน่นอน เฉกเช่นศิลปินตลกที่วันวานเคยมีชื่อเสียงโด่งดังอย่าง “หม่อมเหยิน” หรือ “นายประสิทธิ์ เทศทะวงศ์” ดาวตลกผู้มีฟันเหยิน เป็นเอกลักษณ์โดดเด่น ทำให้เป็นที่จดจำของใครหลายคน แต่ชีวิตในวัยใกล้ฝั่งของเขาในวันนี้ ต้องปากกัดตีนถีบทำงานหาเงินเลี้ยงครอบครัว และชดใช้หนี้สินที่ก่อไว้นับล้าน

จากเด็กวัดจบการศึกษาแค่ระดับชั้นป. 4 แต่มีความทะเยอทะยานอยากเป็นศิลปิน จึงผลักดันตัวเองเริ่มจากการเล่นลิเก และเป็นตลกในวงดนตรีลูกทุ่ง กระทั่งเพื่อนสนิท “จุ๋มจิ๋ม เข็มเล็ก” พาไปรู้จักอดีตดาวตลกชื่อดัง ที่เพิ่งลาโลกไป “ดี๋ ดอกมะดัน” ซึ่งเป็นผู้จุดประกายและตั้งชื่อ “หม่อมเหยิน” โดยเจ้าตัวได้เล่าย้อนถึงความหลังครั้งก่อน รวมถึงชีวิตเมื่อครั้งยังเฟื่องฟูโลดแล่นอยู่ในวงการมายา

“ผมเป็นเด็กวัดอยู่บ้านนอกที่จังหวัดลพบุรี รู้ถึงความลำบาก เลยทะเยอทะยานอยากเป็นศิลปิน พ่อเลยเอามาหัดเล่นลิเก พอดีสมัยนั้นวงดนตรีของ “พรนารายณ์”มาจัดรายการวิทยุอยู่ที่บ้านเกิดของผม และมีจัดการประกวดร้องเพลง ผมเลยไปสมัครเป็นลูกวงเขา เผื่อวันหนึ่งจะได้ไต่เต้าไปเป็นศิลปิน ก็ไปช่วยซื้อน้ำให้เขาบ้าง ช่วยรับสมัครนักร้องให้เขาบ้าง เรียกว่าเขาใช้อะไรก็ทำหมด จนวันหนึ่งได้เล่นดนตรีกับทางวง เพราะมีพื้นฐานการเล่นลิเกอยู่แล้ว ก็เลยได้เล่นตลกในวงดนตรีลูกทุ่งด้วย ตอนนั้น ผมใช้ชื่อว่า ประสิทธิ์ ฟ้าไท

“จนปีพ.ศ.2519 ผมลาออกไปอยู่กับ แอ๊ด-เทวดา ตอนนั้นเขาจัดรายการวิทยุอยู่ที่พิษณุโลก เลยได้รู้จักกันกับ จุ๋มจิ๋ม เข็มเล็ก ปี พ.ศ.2530 เขามาชวนผมไปเล่นตลกที่คาเฟ่ด้วยกันที่กรุงเทพฯ เลยมาเจอกับ ดี๋ ดอกมะดัน ดี๋เห็นเราฟันเหยิน ก็เลย เรียกว่า ไอ้...เหยิน ไอ้...หม่อมเหยิน ใครได้ยินก็เรียกจนติดปากกันมา เราเลยใช้ชื่อนี้มาตลอด”

“สมัยนั้นอยู่กับคณะของดี๋ ดอกมะดันและจุ๋มจิ๋ม เข็มเล็ก ซึ่งเขาก็มีชื่อเสียงมีงานเยอะมาก ชีวิตก็เริ่มสุขสบายขึ้น แต่หลังๆ ดี๋มีละครเยอะไม่ค่อยได้ไปเล่นตลก ผมจึงไปคุมคณะคนเดียว พอนานๆ เข้าด้วยความมีน้ำใจของดี๋ เขาเลยยกคณะให้ผมดูแล ก็เลยตั้งชื่อ คณะหม่อมเหยิน ก็แสดงมาเรื่อยๆ ซึ่งช่วงนั้นมีงานเข้ามาเยอะมาก”

“คืนหนึ่งเรามีงานอย่างน้อย 7-8 ที่ หักค่าลูกน้อง ค่าจ้าง หักโน่นนี่แล้ว อย่างน้อยมันต้องเหลือคืนหนึ่ง 5 พัน หากคืนไหนมีบันทึกเทปวีดีโอ หักค่าลูกน้องแล้วก็เหลือ 2-3 หมื่น ยิ่งงานลอยกระทง เรารับงานตั้งแต่หัวค่ำจนรุ่งเช้า คืนหนึ่งเหลือใช้เป็นแสนๆ ช่วงนั้นมีเงินทองเข้ามาเยอะมาก เลยเอาน้องเอ็ม น้องเอ็กซ์ และน้องเอ ลูกชาย 3 คน มาช่วยกันเล่นตลกด้วยจนเริ่มเป็นที่รู้จัก”

“ตลกถือว่าเป็นบันไดก้าวแรกที่ทำให้เรามีงานแสดงเข้ามา เราได้แสดงเป็นองคุลีมาล ตั้งแต่ช่อง 4 บางขุนพรหม จากนั้นก็มีหนังเรื่องแรก ขอหมอนใบนั้นที่เธอฝันยามหนุน เล่นประกบกับศรราม เทพพิทักษ์ และมีงานแสดงเข้ามาตลอดอย่าง ละคร โรงแรมผี ทางช่อง9 หนังเรื่อง ผีหัวขาด ตอนนั้นก็ยังควบคุมวงตลกด้วย บางทีก็ให้ลูกไปควบคุมวงเองบ้างเวลาเราไปแสดง เพราะช่วงนั้นงานยุ่งมาก ยุคนั้นถือว่าเป็นยุคทองของตลกเลย ชีวิตความเป็นอยู่ก็ราบรื่นสุขสบายมาก”

“เพราะเราเป็นคนเริ่มต้นมาจากศูนย์ เราก็เก็บเงินไว้กินไว้ใช้ยามแก่ แต่คนเราพอมีเงินดี มันก็ลืม สมัยนั้นผมจะต้องขี่รถเป็นฐานะ ไม่ใช่เป็นพาหนะ ความจริงฐานะไม่มีหรอก แต่ก็อยากจะมี และคนเราพอมีเงินก็อยากจะมีเพิ่ม อยากทำโน่นทำนี่ อยากเติมไม่รู้จักเต็ม พอมาตอนนี้มันทำให้เรารู้ว่า การที่เราขี่รถให้เป็นฐานะมันไม่ใช่ จะให้ย้อนเวลากลับไปแล้วมันย้อนไม่ได้ มันสายไปเสียแล้ว มันอาจจะสายเรื่องการเงิน แต่มันยังไม่สายสำหรับชีวิต เราก็ต้องสู้กันต่อ”

ขณะที่เงินทองกำลังไหลมาเทมา ชีวิตของ “หม่อมเหยิน” เริ่มตกต่ำลำบากอีกครั้ง งานเล่นตลกในคาเฟ่หดหาย เพราะเจอพิษเศรษฐกิจ เขาจึงหันเหไปทำธุรกิจร้านอาหาร ซึ่งเป็นชนวนทำให้เกิดหนี้นับล้าน

“ช่วงปี 2546 ตลกเริ่มตกอับกันมาก เพราะเจอปัญหาเศรษฐกิจ คาเฟ่ได้รับผลกระทบ มันพ่วงกันเป็นลูกโซ่ ตอนนั้นมีข่าวว่า ให้ปิดคาเฟ่เที่ยงคืนไม่ให้ปิดตี 2 คิดดูละกันถ้าปิดแค่เที่ยงคืนเราจะเล่นได้สักกี่งาน จาก3ทุ่มถึงเที่ยงคืน มันเวลาน้อยมาก ตอนนั้นหลายคณะถึงขั้นปิดวงเลยทีเดียว คาเฟ่เองก็ต้องเอาตลกคณะใหญ่ๆ ที่มีชื่อเสียงไว้ก่อน ซึ่งคณะใหญ่ก็มีหลายๆ คณะ รวมผมอยู่ในนั้นด้วย”

“ตอนนั้นเหลือเล่นตลกคืนนึงแค่ 2-3 ที่ คณะใหญ่ๆ ก็เจอปัญหานี้เหมือนกัน ตอนนั้นผมไม่สามารถแก้ไขอะไรได้เลย แรกๆ ผมต้องจ่ายเงินให้ลูกน้องอย่างน้อยคืนละพัน แล้วลูกวงผมเยอะมาก อย่างกับพวกเกี่ยวข้าวเลย (หัวเราะ)ไหนจะนักดนตรีอีก 5 คน เด็กเก็บของอีก เวลาเลิกแล้วจ่ายเงินไม่ถูก ถึงขั้นต้องโยนเงินให้แย่งกัน แล้วไปแบ่งกันเอง คือคนมันเยอะจัด แต่เราต้องเลี้ยงดูทุกคน พอเศรษฐกิจแบบนั้นเราเป็นหัวหน้าวงช่วยอะไรได้ไม่มาก ทำได้แค่ช่วยประคับประคองกันไว้ มีน้อยใช้น้อย แต่ไม่ได้ยุบวง”

“ ช่วงเจอปัญหาเศรษฐกิจหนักๆ ผมไปเปิดร้านอาหารที่จ.ระยอง โดยเอาเงินที่เก็บมาตลอดชีวิตการเป็นตลกมาลงทุน ตอนนั้นผมต้องการทำธุรกิจเป็นหลัก เลยไม่ค่อยรับงานแสดงเท่าไหร่ แรกๆ ที่เปิดร้านมีคนมากินแน่นขนัด พอ 3 เดือนคนก็ค่อยๆ จางลง และด้วยความที่เราไม่มีประสบการณ์ด้วย อาศัยว่าอยากทำอย่างเดียว ร้านอาหารอยู่ได้ไม่ถึงปี ผมหมดเงินไป 4 ล้านกว่าบาท เพราะสถานที่มันใหญ่เป็นสวนอาหาร ไหนจะเสียค่าเช่า ค่าน้ำ ค่าไฟ ในส่วนของวงตลกผมก็เอาคณะมาเล่นในร้าน ย้ายทั้งคณะมาที่จ.ระยอง เพราะอยากเลี้ยงลูกน้อง”

“ผมติดค่าเช่าร้านอยู่หลายเดือน ส่วนลูกน้องก็นอนกันเต็มร้านไปหมด พอมีค่าใช้จ่ายเยอะผมเลยขายรถเบนซ์ได้ราคา 9 แสนบาท จากที่ซื้อมา 2 ล้านกว่าบาท เราทำใจเอาวะ....มันไม่ใช่ของเรา พอได้เงินมาก็เคลียร์ให้ลูกน้อง และจ่ายค่าเช่าร้านที่ค้างไว้ แล้วพอมีเงินเหลือติดตัวอยู่บ้าง ผมก็ตัดสินใจกลับมาตั้งหลักที่บ้านในกรุงเทพฯ แล้วเปิดร้านจิ้มจุ่ม ตอนนั้นอยากทำแค่ร้านเล็กๆ เพราะร้านยิ่งหรูมากเท่าไหร่ คนก็ไม่กล้าเข้า แต่ถ้าเปียกบ้าง ดูสกปรกบ้างคนกลับเข้าแน่นร้าน ซึ่งร้านตอนนั้นดูโทรมสกปรกมาก ผมก็เอาไม้มารื้อทำร้านใหม่ เริ่มเอาวงดนตรีกับตลกมาเล่น มีกุ้งเผา อาหารทะเล ไปๆ มาๆ ร้านชักใหญ่ขึ้นเหมือนเดิมอีกแล้ว”

“แนวโน้มร้านตอนแรกดี แต่อย่างว่าเราไม่มีประสบการณ์ เราไม่เคยคิดถึงรายรับ-รายจ่าย มันก็เลยแค่พออยู่ได้ ไม่ถึงกับว่ามีเก็บ จากนั้นปัญหาเริ่มตามมา เงินเริ่มหมด เริ่มเป็นหนี้เพราะเข้าเนื้อ เลยไปยืมเงินเพื่อนที่เป็นผู้จัดการบริษัท ยืม 2 แสนบ้าง 5 แสนบ้าง เพราะมันต้องใช้เงินหมุนเยอะ ยิ่งช่วงหน้าฝนไม่ต้องพูดถึงคนหายไม่เข้าร้านเลย เมื่อไม่มีประสบการณ์ก็เกิดหายนะ ผมประคับประคองร้านจิ้มจุ่มมา 3 ปีกว่า สรุปแล้วร้านนี้หมดเงินไปอีก 3 ล้าน แล้วเป็นหนี้เพื่อนอีก 1 ล้าน”

ตัดสินใจหนีตายบินไปหางานทำที่ประเทศญี่ปุ่น เพื่อส่งเงินมาใช้หนี้ แต่ขณะที่ชีวิตกำลังจะดีขึ้น เจ้าตัวต้องระหกระเหินกลับเมืองไทยบ้านเกิดอีกครั้ง เพราะหวั่นถูกจับในข้อหาหนีเข้าเมือง มาทำงานแบบผิดกฎหมาย

“ผมเคยไปโชว์ตลกที่ญี่ปุ่นมาแล้ว 5 ครั้ง เลยคิดว่าอยากไปทำงานใช้หนี้ แล้วส่งเงินมาให้ทางบ้าน ผมเลยตัดสินใจไปอยู่ที่ญี่ปุ่นกับลูกชาย น้องเอ็กซ์ ซึ่งแต่ก่อนเงินญี่ปุ่นมันดี ไปอยู่ทำงานแค่ 20 วันได้เงินมาล้านกว่าบาท แต่ช่วงที่ผมไปอยู่เงินญี่ปุ่นไม่ค่อยดี งานก็หาลำบาก อย่างผู้หญิงที่เคยมาดูเราแสดง แต่ก่อนจะให้ทิปคืนหนึ่ง 5-6 หมื่นบาท แต่ตอนผมไปเหลือแค่หมื่นนึง ผมก็ตระเวนไปเล่นตลกหลายๆ เมือง อยู่ 2 เดือนกว่าๆ ก็ทยอยส่งเงินมาให้ทางบ้าน”

“ตอนนั้นภรรยาผมยังดูแลร้านจิ้มจุ่มอยู่ แต่ดูได้เดือนกว่าๆ เขาก็โทรมาบอกว่าคงไม่ไหวแล้ว ถ้าเป็นอย่างนี้เงินก็จะหมดไปกับร้านอาหาร จากนั้นเขาก็บินมาอยู่ญี่ปุ่นกับผม ซึ่งตอนนั้นวีซ่าผมใกล้จะหมดแล้ว เหลือแค่ 15 วัน แต่ภรรยาผมยังอยู่ต่อไปได้อีก 2 เดือน เราจึงตัดสินใจอยู่ต่อโดยผิดกฎหมาย แล้วก็ส่งลูกชายกลับประเทศไทยก่อน”

“ช่วงนั้นคนไทยที่นั่นช่วยหางานให้ทำ เขาหาร้านอาหารให้ผมไปอยู่ช่วยเอนเตอร์เทนแขก หลังจากนั้นผมก็ได้ไปอยู่โรงงานแห่งหนึ่ง เป็นแผนกควบคุมหุ่นยนต์ คิดดูสิว่าผมจบแค่ ป.4 ผมยังไปทำกับเขาได้ ด้วยความที่เจ้าของบริษัทเกรงใจคนที่พาผมเข้าทำงาน เขาก็สอนผมจดโปรแกรม ผมก็ทำงานมาเรื่อยๆ จนมีเงินก้อนหนึ่งส่งกลับมาใช้หนี้เพื่อนได้หมด”




“การมาอยู่ญี่ปุ่นถือเป็นจุดพลิกผันของชีวิตเลยก็ว่าได้ ผมมีชีวิตที่ดี มีสภาพจิตใจดีมาก และพอมีเงินเก็บกลับมาตั้งตัวที่ประเทศไทย ผมอยู่ญี่ปุ่น 6 ปีจนวันหนึ่งภรรยาบอก ไม่ไหวแล้วอยากกลับเมืองไทยไปอยู่กับลูก บังเอิญโรงงานที่ผมทำนิวกัง (ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง) มาจับคนไทยที่เข้ามาทำงานแบบผิดกฎหมาย"
 
"ตอนนั้นผมปั่นจักรยานกลับมากินข้าวที่บ้านเลยรอด แต่เจ้าของโรงงานไม่อยากให้เราทำงานต่อ เพราะถ้าถูกจับได้โรงงานก็จะถูกสั่งปิด ผมเลยตัดสินใจไปมอบตัว และขอร้องตำรวจให้ส่งตัวกลับประเทศ ตำรวจเขาก็ใจดีออกใบอนุญาตให้เราอยู่ต่ออีก 1 เดือน เราเลยออกโชว์หาเงินกลับเมืองไทย วันกลับข้าวของเครื่องใช้รวมทั้งรถ 2 คนที่มีอยู่ ผมก็ยกให้คนไทยที่โน่นหมดแล้วกลับมาแต่ตัว”

ไม่เข็ดทำธุรกิจ หลังเท้าแตะถึงเมืองไทยปุ๊บ เจ้าตัวก็ลุยทำธุรกิจไอศกรีมมะพร้าวจากไอเดียตัวเอง และโชคก็เข้าข้างเมื่อการเดินหน้าสู้ชีวิตต่อในครั้งนี้ ประสบความสำเร็จจนกลายเป็นอาชีพหลักในปัจจุบัน

“ตอนอยู่ญี่ปุ่นผมได้ดูโทรทัศน์ และได้ติดตามข่าวสารของประเทศไทย ทราบว่าสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯสิ้นพระชนม์ ผมก็ตั้งจิตอธิษฐานว่า เราคงมีโอกาสได้กลับมากราบพระศพ อยากกลับมาให้ทันพิธี พอได้กลับเมืองไทยพักอยู่ได้ไม่กี่วัน ก็เลยมากราบพระศพสมเด็จพระพี่นางฯ ซึ่งตอนนั้นเขามีจัดงานเป็นเดือนๆ ก็เลยฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า ผมได้สูตรการทำไอศกรีมมาจากคนไทยที่ญี่ปุ่น เขาทำเป็นรสชาติชาเขียว เราก็จะเอามาดัดแปลงทำขายบ้าง”

“ผมบอกลูกชายว่าจะทำไอศกรีมขาย แต่ลูกบอกว่า….อย่าเลยพ่อ พ่อไปขายแบบนั้น ก็หมดสภาพกันพอดี ผมก็บอกกลับไปว่าแต่พ่อมีรูปแบบที่คิดๆไว้ว่าจะขายแบบไหน จากนั้นก็ไปดูมะพร้าวว่าบ้านเราก็มีเยอะน่าจะทำได้ และผมก็นึกขึ้นได้ว่ามีรถตู้คันนี้ (เคาะประตูรถ) ที่ใช้ตอนเล่นตลก แล้วปล่อยทิ้งไว้ในป่าแต่ทุกอย่างยังใช้ได้ ผมเลยเอารถไปติดสติ๊กเกอร์ทำเป็นโลโก้แปะข้างรถ ไปขอเงินภรรยาเพื่อจะจ่าย แต่เขาไม่ให้เพราะกลัวเงินหมดอีก ผมเลยไปขอยืมเงินเพื่อนคนเก่า พอทำรถเสร็จก็เอากลับบ้าน ภรรยาเห็นก็ตกใจ โห....ทำขนาดนี้เชียวเหรอ”

“สิ่งที่ผมกังวลคือสูตรทำไอศกรีม ผมเสียเวลากับการลองผิดลองถูกในการผสมสูตรนานมาก ผมลองผสมสูตรแล้วไปแอบจ้างลูกน้องร้านไอศกรีมให้ปั่นให้ ปั่นครั้งแรกใช้ไม่ได้ต้องทิ้งเป็นถังๆ ลองผิดลองถูกนานเป็นเดือนจนสำเร็จเป็นสูตรที่ใช้ในปัจจุบัน”

“ผมกับภรรยาเอาไปขายครั้งแรกในลานจอดรถ งานพระราชพิธีพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ เพราะไม่รู้ว่าต้องจองที่ขายก่อน ผมเลยเปิดท้ายรถขายในลานจอดรถ วันแรกเอาไปขาย 2 ถังหมดเกลี้ยง รปภ.ก็ถามว่าทำไมมาขายตรงนี้ วันต่อมาเขาเลยจองที่ให้ คราวนี้ที่เหมาะเลย ขายแป๊บเดียวหมด กำลังใจมาเลย จากวันนั้นก็ทำมาเรื่อยๆ ตระเวนขายไปหลายๆ ที่ โดยเฉพาะแถวหน้ามหาวิทยาลัยต่างๆ ตอนนี้ก็มีรถแบบนี้อยู่ 4 คัน ”

“มีคนมาขอซื้อสูตรไอศกรีม เป็นข้าราชการด้วยขายเท่าไหร่เขาก็จะซื้อ แต่ผมไม่เอา เพราะเมื่อก่อนเคยทำกระเช้าเถาวัลย์ใส่ต้นไม้ แล้วมีคนมาขอสูตร บางคนก็มาซื้อตัวอย่างกระเช้า สุดท้ายเขาก็เอาไปทำขายกันเกลื่อนเต็มจตุจักร เราก็โอ๊ย...เข็ดแล้ว ทั้งภูมิใจ เจ็บใจและน้อยใจ ตอนนี้ขนาดผสมสูตรไอศกรีมยังไม่ให้ใครเห็นเลย แม้กระทั่งลูกน้อง เพราะกลัวเขาลาออกไปแล้วจะเอาสูตรไปทำต่อ ผมก็ไปจดลิขสิทธิ์สูตรไอศกรีม แล้วขายเป็นแฟรนไชนส์ดีกว่า”

แม้จะเคยถูกลูกค้า และคนในวงการเดียวกัน พูดจาดูถูกเหยียดหยามว่า เป็นอาชีพที่ไม่มีเกียรติ แต่ “หม่อมเหยิน” ก็ไม่เคยย่อท้อ หรือเก็บเอามาคิดมาก เขายังคงดิ้นรนหาเงินใช้หนี้จนหมด และกำลังสร้างเนื้อสร้างตัว โดยยึดความมานะอดทนเป็นหลัก

“คนที่เป็นศิลปินดาราหรือตลก แล้วอยู่ในช่วงขาลงต้องไปทำธุรกิจอย่างอื่น ผมอยากบอกให้เขารู้ว่า อย่าไปอายในสิ่งที่ไม่ควรอาย เราควรอายในสิ่งที่ไม่ดี เราเป็นคนของประชาชน เขารู้จักเรา ส่วนเขาจะซื้อหรือไม่ซื้อของเราก็ไม่เป็นไร ให้ถือว่าการค้าขายเราควรมีไมตรีจิตรที่ดีต่อลูกค้า บางทีลูกค้ามาพูดจาดูถูกเราก็มี เอ้า! หม่อมเหยินหมดเงินแล้ว มาขายไอศครีมแล้วโว้ย! เขามองว่าลำบากแล้วสิเลยมาทำ บางคนก็ว่าดี มาซื้อไอศกรีมแล้วขอให้ผมเล่นตลกให้ดู ผมก็โอ๊ย....ตลกไม่ออกหรอก เดี๋ยวน้ำลายกระเด็นลงถัง ไม่ต้องกินกันพอดี เราก็ขำๆ เขาก็ชอบใจ ก็มีทั้งด้านบวกและลบ มันนานาจิตตังแต่ไม่ท้อ”

“ผมพูดตรงๆ ว่าเป็นหนี้เป็นสิน ยามมีเรามี แต่เราไม่เจียมตัว บริหารเงินไม่ถูกทาง พอมีเงินหน่อยมันก็อยากได้อยากมีเพิ่ม ลงทุนทำนั่นทำนี่ พอเราหมดตัวก็แล้วแต่คนมอง ถ้าเขามองลบ มันก็เหมือนเป็นการฆ่าตัวเอง แต่ผมภูมิใจกับทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้มา เราได้มาด้วยความมานะอดทน ผมสักคำว่า มานะอดทน ไว้ที่แขนขวาเลย” 
 
“แรกๆ ลูกผมไม่กล้ามาตักไอศกรีม แต่ตอนนี้เขากล้าแล้ว เราค่อยๆ ซึมซับไปเรื่อยๆ รายได้มันอาจเป็นส่วนหนึ่งทำให้เขากล้า ผมมองว่าการทำธุรกิจมันแน่นอนกว่าอาชีพนักแสดง ผมเคยเจอนักแสดงเก่าๆ เขามาเห็นผมแล้วกอด ให้กำลังใจที่ผมกล้ามาทำตรงนี้ ชีวิตผมจะขึ้นๆ ลงๆ ไม่คงที่เหมือนพระท่านเคยบอกผม แล้วมันก็เป็นจริงๆ ผมอยากใช้ชีวิตบั้นปลายสุดท้ายในทางค้าขาย ก็ยังไม่รู้เลยว่าสุดท้ายจะเป็นอย่างไร แต่หนี้ที่ผมเคยยืมเพื่อนมาใช้หมดแล้ว แต่ไม่มีเงินเก็บ เพราะผมลงทุนไปซื้อรถตู้อีก 4 คัน และซื้อถังไอศกรีมซึ่งตอนนี้ก็มีเกือบ 30 ถังแล้ว”

“ผมเคยบอกลูกๆ เอาไว้ พ่อเกิดมาเพื่อศึกษาชีวิตของตัวเอง ไม่ได้เกิดมาเพื่อยื้อแย่งกับใคร ตอนนี้พ่อเหมือนเป็นเด็กวัด ฉะนั้นจึงไม่ยึดติดอะไร ทุกวันนี้ก็บอกลูกนะว่า เวลามันมีค่า ควรจะต้องหาเงินเก็บไว้ยามแก่ ให้นึกถึงว่าอาชีพนักแสดงไม่แน่นอน ถ้าวันหนึ่งไม่มีใครจ้าง ไม่มีใครเอาจะทำอย่างไร และถ้าวันข้างหน้าพ่อตายไปซะจะทำอย่างไร อย่าคิดว่าเราจะทำแค่วันนี้วันเดียว ต้องทำสะสมไว้ สิ่งไม่ดีอย่าไปเก็บมาจำ อย่างน้อยเลยให้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ และต้องรู้จักรับผิดชอบตัวเอง”

แนะการศึกษาไม่ใช่ตัววัดพื้นฐานอาชีพตลก ขอให้ตลกรุ่นใหม่ขำได้แต่หยาบคาย พร้อมคาดหวังอยากกลับคืนสู่วงการอีกครั้ง

“การเป็นศิลปินตลกที่ดี ควรแสดงอะไรที่ไม่ให้มันดูแย่ลง การศึกษาจะสูงหรือต่ำไม่ได้เป็นพื้นฐานของตลก อย่างคำพูด กิริยาที่แสดงออกมา การแสดงตลกด้วยท่าทีที่สุภาพมันก็ขำได้ ไม่จำเป็นต้องหยาบคาย อย่างเช่นโย่ง เชิญยิ้ม ก็ตลกด้วยคำพูด เขาก็แสดงให้ขำได้ ก็อยากให้เขารักษาตรงนี้ไว้”

“ตอนนี้ผมอายุ 63 ปี ตอนทำไอศกรีมแรกๆ ก็มีงานแสดงติดต่อมา แต่ผมต้องปฏิเสธไปเพราะอยากดูแลงานตรงนี้ให้เต็มที่ ผมเคยให้สัญญากับพ่อแก่ว่า เราเป็นคนกล่อมโลก ยังไงก็ไม่ทิ้งการแสดง แต่ผมขอทำการค้าให้ครอบครัวเป็นปึกแผ่นก่อน ซึ่งตอนนี้ก็พอมีเวลารับงานแสดงได้บ้างแล้ว เพราะมีลูกน้องที่สามารถทำงานแทนได้ ผมมีเพลงที่เขียนไว้ประมาณ 2-3 เพลง ด้วย แต่ไม่กล้าเสนอใคร เพราะเราไม่มีเส้นสาย ไม่มีใครสนับสนุน เราก็ได้แต่เขียน บางทีก็เขียนบทละครแนวชีวิตบ้านนอกบ้าง ผมหยุดนิ่งไม่ได้”



กำลังโหลดความคิดเห็น