“เอสเอ็มอีแบงก์” ทุ่มพันล้าน ปล่อยกู้โครงการเช่าซื้อรถตู้โดยสารประจำทางปรับอากาศ NGV เพื่อปรับเพิ่มประสิทธิภาพขนส่งมวลชนและความปลอดภัยของประชาชน พร้อมข้อเสนอพิเศษดาวน์ 5 % ผ่อนนาน 8 ปี พร้อมยกเว้นค่าธรรมเนียมวิเคราะห์โครงการ ให้ประชาชนได้รับบริการที่ดีขึ้นในการใช้บริการสาธารณะ หวังโครงการนี้ช่วยสนองนโยบายรัฐบาลอนุรักษ์พลังงานลดการนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศและกระจายเงินทุนเพื่อช่วยลดการว่างงาน โดยสร้างโอกาสอาชีพใหม่ให้ผู้ประกอบการ และได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์
นายวิชญะ วิถีธรรม โฆษกคณะกรรมการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอีแบงก์) เปิดเผยว่า คณะกรรมการธนาคารได้อนุมัติโครงการสินเชื่อเช่าซื้อรถตู้โดยสารประจำทางปรับอากาศ NGV วงเงินสินเชื่อรวม 1,000 ล้านบาท เพื่อนำมาปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการรถตู้โดยสารที่มีอยู่ในระบบสัมปทานขององค์กรขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ที่ยังไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนรถตู้จากเชื้อเพลิงดีเซลเป็นเชื้อเพลิง NGV ซึ่งมีในระบบจำนวน 6,000 คัน ที่กำหนดให้รถตู้โดยสารต้องปรับเปลี่ยนเป็นรถตู้ใหม่ที่ใช้เชื้อเพลิง NGV ทดแทนรถเก่า ภายในวันที่ 16 สิงหาคม 2552 นี้ รวมทั้งเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการรถตู้ซึ่งเป็นบริการขนส่งสาธารณะที่มีความปลอดภัยกับประชาชนยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ธนาคารได้กำหนดให้ผู้ประกอบการเช่าซื้อรถกับธนาคารราคาเฉลี่ยคันละประมาณ 1.3 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ยระหว่าง 4.75 - 6.75% ขึ้นอยู่กับเงินดาวน์และระยะเวลาการกู้ของผู้ประกอบการ ซึ่งตามหลักเกณฑ์เงื่อนไขธนาคารกำหนดให้สามารถวางเงินดาวน์ต่ำเพียง 5% ของมูลค่าของรถ ส่วนที่เหลือ 95% เป็นสัดส่วนวงเงินเช่าซื้อกับธนาคาร นอกจากนี้ธนาคารให้ข้อเสนอสิทธิพิเศษแก่ผู้ประกอบการโดยผ่อนปรนระยะเวลาชำระได้นานสูงสุดถึง 8 ปี นับเป็นระยะเวลาผ่อนชำระนานที่สุดในตลาดสินเชื่อเช่าชื้อในระบบธนาคาร รวมทั้งได้ยกเว้นค่าธรรมวิเคราะห์โครงการ ค่าประเมินราคาและค่าตรวจรับทรัพย์สินอีกด้วย นอกจากนี้ถ้ากรณีวางเงินดาวน์ตั้งแต่ 20% ของราคาทรัพย์สินสามารถผ่อนปรนไม่ต้องมีผู้ค้ำประกัน จากเงื่อนไขปกติต้องมีบุคคลและนิติบุคคลค้ำประกัน ซึ่งระยะเวลาโครงการสิ้นสุดรับคำขอกู้ภายใน 31 ธ.ค. 2552 และเพื่อเป็นการจูงใจให้มีการปรับเปลี่ยนรถตู้ปรับอากาศเป็น NGV ทั้งระบบ ขสมก. ได้พิจารณายืดระยะเวลาสัมปทานให้แก่ผู้ประกอบการเพิ่ม 10 ปี ซึ่งก่อนหน้านี้ ขสมก. จะกำหนดเป็นระยะเวลาสั้น ๆ ปีต่อปีหรือทุก ๆ 3 ปีเท่านั้น
นายวิชญะ กล่าวว่า หลังพ้นกำหนดระยะเวลาผ่อนชำระกำหนดที่กำหนดให้สูงสุด 8 ปีแล้ว กรรมสิทธิ์รถจะตกเป็นของผู้ประกอบการ ซึ่งเป็นผลดีต่อผู้ประกอบการที่ได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถของตนเอง ช่วยลดการนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศ และประชาชนผู้ใช้บริการจะได้บริการขนส่งสาธารณะที่ดีและปลอดภัยมากขึ้น
